How to sell a small business: A guide for business owners

Atlas
Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การเตรียมพร้อมในการขายธุรกิจขนาดเล็ก
    1. การทำความเข้าใจมูลค่าธุรกิจของคุณ
    2. การเพิ่มความน่าสนใจให้กับธุรกิจของคุณ
    3. การตัดสินใจเลือกเวลาที่เหมาะสมในการขาย
  3. วิธีที่ใช้กันทั่วไปในการขายธุรกิจขนาดเล็ก
    1. การขายทางตรง
    2. การจ้างนายหน้าซื้อขายธุรกิจ
    3. มาร์เก็ตเพลสซื้อขายธุรกิจทางออนไลน์
    4. การประมูล
  4. วิธีการขายธุรกิจขนาดเล็ก
    1. การทำการตลาดให้กับธุรกิจของคุณเพื่อการขาย
    2. การจัดทำการเสนอขายให้น่าสนใจ
    3. ข้อควรพิจารณาในการรักษาความลับ
    4. การเจรจาเพื่อขาย
    5. การทำความเข้าใจมุมมองของผู้ซื้อ
    6. กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองให้มีประสิทธิภาพ
    7. ข้อควรพิจารณาทางกฎหมายและการเงิน
    8. เอกสารทางกฎหมาย
    9. นัยทางภาษีจากการขาย
  5. วิธีปิดการขายธุรกิจขนาดเล็ก
    1. การสรุปข้อตกลง
    2. ข้อควรพิจารณาหลังการขาย
  6. Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร
    1. การสมัครใช้งาน Atlas
    2. การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ
    3. การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด
    4. การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ
    5. เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก
    6. Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

คุณต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัยในการตัดสินใจว่าจะขายธุรกิจขนาดเล็กหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะของตลาด เวลาที่เหมาะกับเจ้าของรายนั้นๆ และเวลาที่ธุรกิจอาจมีมูลค่าสูงสุด การเข้าซื้อธุรกิจขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 10% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีการขายธุรกิจมากกว่า 2,300 แห่ง เป็นมูลค่ารวม 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านล่างนี้ เราจะพาไปดูวิธีขายธุรกิจขนาดเล็กตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงเรื่องซับซ้อนและผลที่อาจตามมา ข้อมูลที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กต้องรู้มีดังนี้

เนื้อหาหลักในบทความ

  • การเตรียมพร้อมในการขายธุรกิจขนาดเล็ก
  • วิธีที่ใช้กันทั่วไปในการขายธุรกิจขนาดเล็ก
  • วิธีการขายธุรกิจขนาดเล็ก
  • วิธีปิดการขายธุรกิจขนาดเล็ก

การเตรียมพร้อมในการขายธุรกิจขนาดเล็ก

คุณต้องเตรียมพร้อมเป็นอย่างมากจึงจะขายได้สำเร็จ และเพื่อให้คุณพร้อมที่สุด ให้ทำงานนี้ให้เสร็จก่อนที่จะเริ่มสนทนากับผู้ที่มีโอกาสจะซื้อ

การเตรียมพร้อมสำหรับการขายธุรกิจขนาดเล็กมาอย่างรอบคอบจะมีลักษณะดังนี้

การทำความเข้าใจมูลค่าธุรกิจของคุณ

วิธีการประเมินมูลค่าธุรกิจ

  • วิธีประเมินตามสินทรัพย์: วิธีนี้เป็นการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสำหรับธุรกิจของคุณ โดยการนำสินทรัพย์ทั้งหมดมาบวกกันและลบด้วยหนี้สิน วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มีทรัพย์สินที่จับต้องได้อยู่เป็นจำนวนอย่างมาก

  • วิธีแบบการคูณผลกำไรหรืออิงตามรายได้: วิธีนี้มุ่งเน้นที่โอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจของคุณ กำไรในปัจจุบันจะปรับไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น ฐานลูกค้าและโอกาสในการเติบโต แล้วคูณด้วยตัวเลขที่สะท้อนถึงมาตรฐานในอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ

  • วิธีแบบอิงตามมูลค่าในตลาด: วิธีนี้จะเปรียบเทียบธุรกิจของคุณกับธุรกิจคล้ายๆ กันที่เพิ่งขายไป วิธีนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าตลาดพร้อมที่จะจ่ายเงินเท่าใดเพื่อซื้อธุรกิจแบบคุณ

  • การวิเคราะห์ค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด (DCF): DCF จะคาดการณ์กระแสเงินสดและหักลดตามมูลค่าในปัจจุบัน วิธีนี้เป็นการมองไปข้างหน้าและคำนึงถึงศักยภาพในการเติบโตและความเสี่ยง

ความสำคัญของบันทึกทางการเงินที่ถูกต้อง

  • ความไว้วางใจและความโปร่งใส: บันทึกที่ถูกต้องจะเพิ่มความไว้วางใจและความโปร่งใสในสายตาของผู้ที่จะซื้อ โดยแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจของคุณ

  • พื้นฐานในการประเมินมูลค่า: บันทึกเหล่านี้เป็นรากฐานในการประเมินมูลค่าธุรกิจทุกวิธี หากไม่มีข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้อง การประเมินมูลค่าก็จะเป็นได้แค่การคาดคะเนเท่านั้น

  • การระบุแนวโน้มและรูปแบบ: บันทึกโดยละเอียดจะช่วยให้คุณเห็นแนวโน้มทางการเงิน ซึ่งสำคัญต่อการทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของธุรกิจและพื้นที่ที่มีโอกาสในการเติบโต

  • การช่วยให้เจรจาต่อรองได้สะดวกขึ้น: ในการเจรจาต่อรอง บันทึกที่ละเอียดถูกต้องอาจมีประโยชน์อย่างมาก โดยช่วยให้คุณอธิบายเหตุผลที่ตั้งราคาเสนอขายเช่นนั้นได้ และอาจเป็นปัจจัยชี้ขาดในการพูดคุยกับผู้ที่จะซื้อหรือนักลงทุนได้เลย

การเพิ่มความน่าสนใจให้กับธุรกิจของคุณ

การยกระดับสถานะทางการเงิน

  • การเพิ่มรายรับและการสร้างรายรับหลายช่องทาง: กลยุทธ์ในการเพิ่มรายรับอาจรวมถึงการขยายฐานลูกค้า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ และการสำรวจตลาดใหม่ๆ การสร้างรายรับหลายช่องทางก็ช่วยให้ธุรกิจของคุณพึ่งพารายได้จากทางเดียวน้อยลง ธุรกิจจึงมั่นคงมากขึ้น

  • การลดค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพ: การวิเคราะห์และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะช่วยเพิ่มผลกำไร วิธีนี้อาจรวมถึงการเจรจาทำสัญญาใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพของซัพพลายเชน และการใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

  • การจัดการหนี้: การจัดการและลดหนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดูน่าสนใจในแง่การเงินมากขึ้น งบดุลที่ดีพร้อมหนี้ในระดับที่จัดการได้ก็จะช่วยดึงดูดผู้ซื้อ

การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

  • การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ: การทบทวนและพัฒนาขั้นตอนทางธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความแตกต่าง วิธีนี้อาจเป็นการเปลี่ยนงานซ้ำๆ ให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ การปรับปรุงระบบขั้นตอนการทำงาน หรือการนำหลักการบริหารจัดการแบบลีนเข้ามาใช้ก็ได้

  • การผสานการทำงานเทคโนโลยี: การใช้เครื่องมือในการจัดการสินค้าคงคลัง ความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมาก

การแก้ไขปัญหาทางกฎหมาย

  • การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: ตรวจสอบว่าธุรกิจของคุณปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการขอรับใบอนุญาตและหนังสืออนุญาตที่จำเป็น การปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และการปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงาน

  • การแก้ไขปัญหาการฟ้องร้อง: จัดการและแก้ไขข้อพิพาทหรือการฟ้องร้องทางกฎหมาย ธุรกิจที่ไม่มีปัญหาด้านกฎหมายย่อมเป็นที่สนใจของผู้ที่จะซื้อได้มากกว่า

  • การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา: การมีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและการคุ้มครองสิทธิดังกล่าว เช่น เครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณ

การตัดสินใจเลือกเวลาที่เหมาะสมในการขาย

สภาวะของตลาด

  • แนวโน้มในอุตสาหกรรมและสภาพเศรษฐกิจ: การประเมินสถานะปัจจุบันและการคาดการณ์อุตสาหกรรมของคุณเป็นเรื่องสำคัญ ตลาดที่เฟื่องฟูย่อมเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของคุณ แต่หากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงภาวะตกต่ำ ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่า

  • การดำเนินการของคู่แข่ง: การคอยดูว่าคู่แข่งทำอะไรบ้าง เช่น การควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ หรือการออกจากวงการ จะช่วยให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดและจังหวะเวลาที่เหมาะสม

  • ความสนใจของผู้ซื้อ: ช่วงเวลาที่ผู้ซื้อให้ความสนใจสูงกับธุรกิจที่คล้ายๆ กับคุณอาจบ่งบอกว่าถึงช่วงเวลาที่เหมาะแก่การขายแล้ว

ข้อควรพิจารณาส่วนบุคคลและการเงิน

  • ความพร้อมสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน: ประเมินความพร้อมของตัวคุณที่จะปล่อยวางธุรกิจ โดยอาจเป็นการไตร่ตรองความผูกพันทางอารมณ์ แผนการใช้ชีวิตหลังขายธุรกิจ และบทบาทของคุณในช่วงเปลี่ยนผ่าน

  • เป้าหมายทางการเงิน: กำหนดเวลาขายตามวัตถุประสงค์ทางการเงินของคุณ ให้แน่ใจว่าการขายนั้นเป็นไปตามความต้องการทางการเงินของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเกษียณ การลงทุนในกิจการใหม่ๆ หรือเป้าหมายส่วนตัวอื่นๆ ก็ตาม

  • นัยทางภาษี: พิจารณาผลทางภาษีที่จะตามมาจากการขายธุรกิจ การกำหนดช่วงเวลาขายเพื่อลดภาระด้านภาษีอาจส่งผลต่อเงินได้สุทธิของคุณ

วิธีที่ใช้กันทั่วไปในการขายธุรกิจขนาดเล็ก

การขายธุรกิจขนาดเล็กทำได้หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงแตกต่างกันไป ก่อนจะเลือก ให้ประเมินตัวเลือกทั้งหมดเพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะกับเป้าหมายของคุณที่สุด คุณหวังว่าจะได้อะไรจากการขายธุรกิจขนาดเล็ก และคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ซึ่งคุณจะต้องตอบคำถามดังกล่าวในขั้นตอนนี้

ด้านล่างนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับวิธีที่ใช้กันทั่วไปในการขายธุรกิจขนาดเล็ก

การขายทางตรง

การขายทางตรง คือ การที่เจ้าของขายธุรกิจของตนให้กับผู้ซื้อโดยตรง โดยไม่มีนายหน้าซื้อขายหรือตัวแทนมาเป็นคนกลาง เจ้าของธุรกิจจะมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในทุกช่วงของขั้นตอนการขาย ตั้งแต่การหาผู้ซื้อไปจนถึงการปิดข้อตกลง แนวทางนี้เป็นแบบลงมือปฏิบัติจริง จึงต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับมูลค่าของธุรกิจเป็นอย่างดี มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมาย และมีทักษะการเจรจาต่อรองที่ยอดเยี่ยม

การขายทางตรงทำงานอย่างไร

  • การเตรียมการ: ขั้นตอนแรก คือ การประเมินธุรกิจของคุณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์งบการเงิน การประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ และการทำความเข้าใจตำแหน่งในตลาดของธุรกิจนั้นๆ เจ้าของธุรกิจมักเลือกให้มืออาชีพช่วยประเมินมูลค่าเพื่อให้ได้ราคาขายที่แม่นยำ

  • การทำการตลาดให้กับธุรกิจ: เมื่อคุณทราบมูลค่าของธุรกิจเป็นที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการทำการตลาดผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เครือข่ายธุรกิจ ผู้ติดต่อในอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือการโฆษณาในท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าถึงผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะสนใจซื้อธุรกิจแบบคุณ

  • การจัดการกับข้อสงสัยและการเจรจาต่อรอง: เมื่อผู้ที่จะซื้อแสดงความสนใจ คุณจะต้องตอบข้อสงสัย ให้ข้อมูลที่จำเป็น และร่วมพูดคุยเจรจาเกี่ยวกับข้อกำหนดต่างๆ และราคาขาย ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องอาศัยทักษะการสื่อสารและการเจรจาต่อรองที่ยอดเยี่ยม

  • การสรุปข้อตกลง: หลังตกลงข้อกำหนดกันได้แล้ว ให้จัดการเรื่องกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่างข้อตกลงในการขาย การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และอาจรวมถึงการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายให้มาดูแลในขั้นตอนนี้

  • การปิดการขาย: ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการโอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ซึ่งต้องมีการลงนามในเอกสารทางกฎหมาย การโอนสินทรัพย์ และการรับชำระเงิน

ข้อดีและข้อเสียของการขายทางตรง

ข้อดี

  • การควบคุมได้แบบเบ็ดเสร็จ: คุณจะควบคุมการขายได้เต็มที่ทุกแง่มุม ตั้งแต่การตั้งราคาไปจนถึงการเลือกผู้ซื้อ

  • ความคุ้มค่า: วิธีนี้ช่วยประหยัดค่าคอมมิชชันและค่าธรรมเนียมของนายหน้าซื้อขาย ซึ่งอาจช่วยให้ทำกำไรจากการขายได้มากขึ้น

  • การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา: ร่วมพูดคุยเจรจาอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมากับผู้ซื้อ จึงช่วยให้การทำข้อตกลงเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อเสีย

  • ใช้เวลานานและกินแรง: การจัดการทุกแง่มุมในการขายต้องใช้ทั้งแรงและเวลาเป็นอย่างมาก

  • การเข้าถึงได้จำกัด: เมื่อไม่มีเครือข่ายของนายหน้าซื้อขาย คุณก็อาจจะหากลุ่มผู้ที่จะซื้อได้น้อยกว่า

  • ความเสี่ยงที่จะตั้งราคาต่ำเกินไป: หากไม่มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ คุณก็อาจประเมินมูลค่าในตลาดสำหรับธุรกิจของคุณผิดไปได้

ความเหมาะสมสำหรับธุรกิจต่างๆ

การขายทางตรงเหมาะที่สุดสำหรับ

  • ธุรกิจที่ระบุกลุ่มผู้ซื้อได้ง่าย เช่น ธุรกิจในท้องถิ่นซึ่งเป็นที่รู้จักในชุมชนเป็นอย่างดี

  • ธุรกิจเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเจ้าของมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในวงการนั้นๆ

  • ธุรกิจที่เจ้าของอยากจะเข้าไปจัดการด้วยตัวเองและมีทักษะที่จำเป็นในการจัดการขั้นตอนการขาย

เจ้าของที่มีความสัมพันธ์ภายในวงการนั้นๆ เป็นอย่างดี เจรจาต่อรองได้อย่างสบายใจ และยินดีที่ใช้เวลาอันมีค่ากับขั้นตอนการขายจะเหมาะมากกับการขายทางตรง วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่เชี่ยวชาญในการรับมือกับการเจรจาต่อรองที่ซับซ้อนและงานกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายธุรกิจ

การจ้างนายหน้าซื้อขายธุรกิจ

นายหน้าซื้อขายธุรกิจเป็นคนกลางที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งช่วยจัดการการขายธุรกิจขนาดเล็กให้คุณได้ นายหน้าซื้อขายธุรกิจจะเชี่ยวชาญด้านการขายธุรกิจและประเมินมูลค่า ทำการตลาด เจรจาต่อรอง และจัดการกับเรื่องกฎหมายที่ซับซ้อนได้อย่างชำนาญ นายหน้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างผู้ขายกับผู้ที่จะซื้อ ช่วยให้ขั้นตอนการขายเป็นไปอย่างราบรื่นและมักรวดเร็วยิ่งขึ้น

การจ้างนายหน้าซื้อขายธุรกิจทำงานอย่างไร

  • การเลือกนายหน้าซื้อขาย: ขั้นตอนนี้จะเริ่มจากการเลือกนายหน้าซื้อขายที่เหมาะสม โดยมีการดูข้อมูลและประเมินนายหน้าซื้อขาย ตลอดจนพิจารณาประสบการณ์ อัตราความสำเร็จ และความคุ้นเคยกับวงการของคุณ

  • การประเมินมูลค่าและการลงประกาศ: เมื่อคุณว่าจ้างนายหน้าซื้อขายแล้ว นายหน้าก็จะประเมินมูลค่าธุรกิจของคุณอย่างถี่ถ้วน เพื่อตั้งราคาขายที่เหมาะสม จากนั้นจึงทำประกาศโดยละเอียดพร้อมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจของคุณและจุดที่ช่วยดึงดูดผู้ที่จะซื้อ

  • การทำการตลาดและคัดกรองผู้ซื้อ: นายหน้าซื้อขายจะใช้เครือข่ายของตนและกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อดึงดูดผู้ที่จะซื้อ นายหน้ายังคัดกรองผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะซื้อเหล่านี้ด้วย เพื่อให้มีเพียงคนที่สนใจซื้อจริงๆ และเข้าเกณฑ์เท่านั้นที่จะได้ไปต่อในขั้นตอนต่อไป ซึ่งช่วยประหยัดแรงและเวลาให้กับคุณได้

  • การเจรจาต่อรองและข้อเสนอ: นายหน้าซื้อขายจะช่วยเจรจาต่อรองกับผู้ที่จะซื้อ นายหน้าจะให้ข้อเสนอกับคุณ ให้คำแนะนำ และช่วยให้คุณเข้าใจผลที่จะตามมาของข้อเสนอแต่ละรูปแบบ

  • การปิดการขาย: หลังรับข้อเสนอแล้ว นายหน้าซื้อขายก็จะประสานงานด้านกฎหมายและการเงินให้กับการขายนั้นๆ นายหน้าจะทำงานร่วมกับทนายความ นักบัญชี และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

  • การเปลี่ยนผ่านหลังการขาย: นายหน้าซื้อขายมักให้ความช่วยเหลือในช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการขาย โดยช่วยในการส่งต่อธุรกิจให้กับเจ้าของคนใหม่ และช่วยให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อตกลงในการขายอย่างครบถ้วน

ข้อดีและข้อเสียของการจ้างนายหน้าซื้อขายธุรกิจ

ข้อดี

  • ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์: นายหน้าซื้อขายมีความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด การประเมินมูลค่า และข้อกำหนดทางกฎหมาย ซึ่งช่วยให้มีโอกาสขายสำเร็จมากขึ้น

  • การประหยัดเวลา: นายหน้าซื้อขายจะจัดการงานที่ซับซ้อนและใช้เวลานานในการขาย เพื่อให้คุณมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการดำเนินธุรกิจ

  • การเข้าถึงตลาดในวงกว้างยิ่งขึ้น: นายหน้าซื้อขายมีเครือข่ายและทรัพยากรทางการตลาดอยู่มากมาย จึงช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนที่มีโอกาสมาซื้อได้กว้างมากขึ้น

ข้อเสีย

  • ค่าใช้จ่าย: การจ้างนายหน้าซื้อขายจะมีค่าคอมมิชชัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคาขาย ซึ่งอาจเป็นเงินจำนวนมากก็ได้

  • การควบคุมได้น้อยกว่า: คุณจะต้องปล่อยให้นายหน้าซื้อขายเป็นผู้ดูแลและตัดสินใจในบางเรื่องของขั้นตอนการขาย

  • ความผันผวนของคุณภาพ: นายหน้าซื้อขายอาจมีประสบการณ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จในการขาย

ความเหมาะสมสำหรับธุรกิจต่างๆ

การจ้างนายหน้าซื้อขายธุรกิจเหมาะอย่างยิ่งสำหรับ

  • เจ้าของธุรกิจที่ไม่มีเวลาหรือไม่เชี่ยวชาญในการจัดการการขายด้วยตนเอง

  • ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับความซับซ้อนด้านกฎหมายและการเงินในการขายธุรกิจ

  • ธุรกิจที่อาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดได้ในวงกว้าง เพื่อดึงดูดผู้ที่จะซื้อได้หลากหลายกลุ่ม

วิธีนี้เหมาะสำหรับเจ้าของที่ไม่ค่อยอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนการขายนัก โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของมืออาชีพแทน แต่ไม่ค่อยเหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะเลี่ยงค่าคอมมิชชันหรือควบคุมการขายได้แบบเบ็ดเสร็จรอบด้าน

มาร์เก็ตเพลสซื้อขายธุรกิจทางออนไลน์

มาร์เก็ตเพลสซื้อขายธุรกิจทางออนไลน์ คือ แพลตฟอร์มดิจิทัลที่เจ้าของธุรกิจสามารถลงประกาศขายธุรกิจของตนได้ แพลตฟอร์มเหล่านี้มีผู้ที่จะซื้อใช้งานกันอยู่ในวงกว้าง ตั้งแต่ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลทั่วไปไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่อยากจะขยายธุรกิจ มาร์เก็ตเพลสเหล่านี้มีวิธีที่ทันสมัย เข้าถึงได้ และมักจะคุ้มค่าในการเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อที่หลากหลายจากสถานที่ตั้งและวงการต่างๆ

มาร์เก็ตเพลสซื้อขายธุรกิจทางออนไลน์ทำงานอย่างไร

  • การเลือกแพลตฟอร์ม: ขั้นตอนแรกคือการเลือกมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ให้เหมาะสม แพลตฟอร์มต่างๆ รองรับธุรกิจหลายประเภทและหลายขนาด การเลือกแพลตฟอร์มให้ตรงกับโปรไฟล์ธุรกิจของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญ

  • การจัดทำประกาศขาย: เมื่อเลือกแพลตฟอร์มแล้ว คุณจะจัดทำประกาศขายธุรกิจ ประกาศขายมักจะมีรายละเอียดต่างๆ เช่น ผลประกอบการทางการเงินของธุรกิจ สินทรัพย์ ตำแหน่งในตลาด และราคาที่เสนอขาย การใส่รูปภาพคุณภาพสูงและคำอธิบายที่ครบถ้วนจะช่วยให้ประกาศของคุณเป็นที่สนใจมากขึ้นได้

  • การจัดการกับข้อสงสัย: เมื่อมีคนที่สนใจซื้อติดต่อคุณมาผ่านแพลตฟอร์ม คุณจะต้องจัดการกับข้อสงสัยเหล่านี้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม และอาจนัดพูดคุยหรือโทรพูดคุยเพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจเพิ่มเติมต่อไป

  • การเจรจาต่อรองในการขาย: คุณจะต้องเจรจาต่อรองเกี่ยวกับข้อกำหนด ราคา และรายละเอียดเฉพาะอื่นๆ ในการขายกับผู้ซื้อโดยตรงเช่นเดียวกับการขายทางตรง

  • การสรุปข้อตกลง: หลังตกลงข้อกำหนดกันได้แล้ว ขั้นตอนทางกฎหมายก็จะเริ่มขึ้น ซึ่งมักจะใช้ข้อตกลงทางกฎหมาย การโอนสินทรัพย์ และการรับรองการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • การปิดการขาย: ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการโอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจต้องให้ทั้งสองฝ่ายมาลงนามในเอกสารทางกฎหมายและทำธุรกรรมทางการเงินให้เสร็จสิ้น

ข้อดีและข้อเสียของมาร์เก็ตเพลสซื้อขายธุรกิจทางออนไลน์

ข้อดี

  • การเข้าถึงในวงกว้าง: แพลตฟอร์มเหล่านี้มีกลุ่มเป้าหมายอยู่เป็นจำนวนมาก คุณจึงเข้าถึงผู้ที่จะซื้อได้อย่างหลากหลาย

  • ความคุ้มค่า: การลงประกาศในมาร์เก็ตเพลสทางออนไลน์มักมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการจ้างนายหน้าซื้อขาย

  • ความสะดวก: ขั้นตอนจะคล่องตัวมากขึ้นและสามารถจัดการได้จากทุกที่ จึงดำเนินการได้อย่างที่ต้องการ

ข้อเสีย

  • ความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวน้อยกว่า: คุณจะไม่มีคนคอยให้คำแนะนำแบบเฉพาะตัวและให้ความเชี่ยวชาญตลอดขั้นตอนเหมือนกับเวลาที่ใช้บริการนายหน้าซื้อขาย

  • คุณภาพของผู้ซื้อที่ผันผวน: คุณอาจได้รับการสอบถามจากผู้ซื้อที่ไม่เข้าเกณฑ์หรือไม่ได้คิดจะซื้อจริงๆ ซึ่งทำให้คุณเสียเวลาในการตรวจสอบกลุ่มคนเหล่านี้

  • โอกาสที่จะมองข้ามรายละเอียดไป: เมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ คุณก็อาจมองข้ามแง่มุมสำคัญๆ ของขั้นตอนการขายได้ เช่น การประเมินมูลค่าอย่างเหมาะสมหรือการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

ความเหมาะสมสำหรับธุรกิจต่างๆ

มาร์เก็ตเพลสซื้อขายธุรกิจทางออนไลน์เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ

  • ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่มีการนำเสนอคุณค่าอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา

  • เจ้าของธุรกิจที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและการสื่อสารทางออนไลน์

  • ผู้ที่มองหาวิธีการขายธุรกิจที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้เป็นวงกว้าง

วิธีนี้เหมาะกับเจ้าของที่มั่นใจว่าตัวเองจะจัดการขั้นตอนการขายได้และชอบทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า แต่ไม่ค่อยเหมาะสำหรับธุรกิจที่ซับซ้อนหรือธุรกิจที่ต้องมีการรักษาความลับและความสุขุมรอบคอบเป็นอย่างมากในขั้นตอนการขาย

การประมูล

การประมูลคือการนำเสนอธุรกิจขนาดเล็กให้กับกลุ่มผู้ที่จะซื้อ และมีการยื่นราคาประมูลแข่งกันแบบกำหนดเวลา การประมูลจะอยู่ในรูปแบบออนไลน์หรือพบหน้ากันก็ได้ โดยเป็นวิธีที่พร้อมปรับเปลี่ยนและอาจช่วยให้ขายธุรกิจได้รวดเร็ว การประมูลมีความโดดเด่นในเรื่องที่ช่วยให้รับรู้มูลค่าของธุรกิจในตลาดได้ผ่านการประมูลแข่งกัน

การประมูลทำงานอย่างไรในการขายธุรกิจ

  • การเลือกรูปแบบการประมูล: ตัดสินใจว่าจะเลือกใช้การประมูลแบบพบหน้าหรือทางออนไลน์ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีข้อดีและการบริหารจัดการแบบเฉพาะตัว โดยการประมูลออนไลน์จะช่วยให้เข้าถึงคนได้มากกว่า ส่วนการประมูลแบบพบหน้าจะให้ประสบการณ์แบบดั้งเดิมที่เห็นหน้าเห็นตากันมากกว่า

  • การเตรียมพร้อมสำหรับการประมูล: ขั้นตอนนี้จะเป็นการประเมินมูลค่าของธุรกิจ รวบรวมเอกสารทางการเงินและกฎหมายที่จำเป็นทั้งหมด และจัดทำคำอธิบายที่น่าสนใจเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ การนำเสนอธุรกิจให้น่าสนใจจะช่วยให้คนอยากเสนอราคาแข่งกันมากขึ้น

  • การทำการตลาดให้กับการประมูล: การโปรโมตที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้มีผู้เข้าร่วมการประมูลเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการลงโฆษณาบนสื่อสิ่งพิมพ์ในวงการนั้นๆ และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ หรือการใช้เครือข่ายเพื่อดึงดูดผู้ที่จะซื้อ

  • การดำเนินการประมูล: ในวันประมูล ผู้เสนอราคาจะเสนอราคาภายในกรอบเวลาที่กำหนด การประมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์อยู่ตลอด ซึ่งทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเร่งรีบ

  • การสิ้นสุดการขาย: หลังจากได้ราคาประมูลที่สูงที่สุดแล้ว การขายก็จะสิ้นสุดลง โดยจะมีการดำเนินการทางกฎหมาย การจัดการธุรกรรมทางการเงิน และการโอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ

ข้อดีและข้อเสียของการประมูล

ข้อดี

  • โอกาสที่จะขายได้เร็ว: การประมูลอาจช่วยให้ขายธุรกิจได้เร็วกว่าวิธีอื่นๆ

  • ราคาที่เป็นไปตามตลาด: การเสนอราคาแข่งกันอาจทำให้ได้ราคาสูงขึ้น ซึ่งช่วยให้แน่ใจว่าธุรกิจถูกขายไปตามราคาในตลาดที่แท้จริง

  • ความตื่นเต้นและความรีบเร่ง: บรรยากาศการประมูลอาจสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ซื้อ ส่งผลให้ได้ราคาประมูลที่สูงขึ้น

ข้อเสีย

  • ความไม่แน่นอนของราคาปิดประมูล: ไม่มีใครรับประกันได้ว่าการประมูลจะช่วยให้คุณขายได้ในราคาตามที่คาดไว้

  • ค่าใช้จ่ายในการเตรียมพร้อมและการทำการตลาด: การจัดประมูลอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน โดยเฉพาะการประมูลในสถานที่จริง

  • โอกาสได้ราคาประมูลที่ต่ำลง: หากมีคนสนใจอยู่ไม่มากหรือไม่มีคนที่อยากจะประมูลจริงๆ ธุรกิจก็อาจขายได้ต่ำกว่าราคาในตลาด

ความเหมาะสมสำหรับธุรกิจต่างๆ

การประมูลเหมาะอย่างยิ่งสำหรับ

  • ธุรกิจที่มีการนำเสนอคุณค่าอย่างชัดเจนและน่าสนใจ ซึ่งดึงดูดผู้ที่สนใจซื้อได้หลายราย

  • ธุรกิจเฉพาะกลุ่มที่อาจไม่ได้มีมูลค่าในตลาดที่ชัดเจน และอาจได้ประโยชน์เมื่อมีการประมูลแข่งกัน

  • เจ้าของที่อยากจะรีบขายและพร้อมรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของราคาขายขั้นสุดท้าย

การประมูลเหมาะกับเจ้าของธุรกิจที่พร้อมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นและความไม่แน่นอนในขั้นตอนการแข่งประมูล แต่ไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่มีราคาขายไว้ในใจอยู่แล้วหรืออยากให้ขั้นตอนการขายสามารถควบคุมและคาดการณ์ได้มากกว่า

วิธีการขายธุรกิจขนาดเล็ก

เมื่อคุณจัดเตรียมธุรกิจ กำหนดเวลาที่เหมาะสม และเลือกวิธีการขายได้แล้ว ก็ให้จัดการขั้นตอนการขายด้วยวิธีดังนี้

การทำการตลาดให้กับธุรกิจของคุณเพื่อการขาย

  • บอกจุดขายหลักๆ ในธุรกิจของคุณที่จะช่วยดึงดูดคนให้เข้ามาซื้อ ซึ่งอาจจะเป็นฐานลูกค้า ความสามารถในการทำกำไร ตำแหน่งในตลาด หรือเทคโนโลยีหรือขั้นตอนที่เป็นกรรมสิทธิ์ใดๆ ก็ได้
  • กำหนดแพลตฟอร์มที่เหมาะที่สุดในการทำการตลาดให้กับธุรกิจของคุณ ซึ่งอาจจะเป็นเว็บไซต์ในวงการนั้นๆ โดยเฉพาะ นายหน้าซื้อขายธุรกิจ หรือเครือข่ายธุรกิจในท้องถิ่น
  • พัฒนาสื่อการตลาดที่เน้นให้เห็นจุดแข็งในธุรกิจของคุณโดยไม่เปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ซึ่งอาจจะเป็นเอกสารสรุปหรือเอกสารให้ข้อมูลที่ช่วยให้เห็นภาพรวมโดยไม่บอกรายละเอียดที่เป็นความลับ

การจัดทำการเสนอขายให้น่าสนใจ

  • มุ่งเน้นเรื่องที่ทำให้ธุรกิจของคุณดูน่าสนใจและสร้างกำไร เน้นแง่มุมต่างๆ เช่น รายรับที่มั่นคง ศักยภาพในการเติบโต ฐานลูกค้าประจำ และความได้เปรียบในการแข่งขัน
  • เตรียมอธิบายถึงเหตุผลที่ขายธุรกิจนั้นๆ เพราะคนที่จะซื้อก็มักถามเช่นนี้ การชี้แจงด้วยเหตุผลจะช่วยให้ผ่านขั้นตอนนี้ไปอย่างราบรื่นขึ้นได้
  • ปรับการเสนอขายไปตามความสนใจและข้อกังวลของคนที่จะซื้อ ทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรและธุรกิจของคุณจะตอบโจทย์ความต้องการหรือเป้าหมายนั้นๆ ได้อย่างไร

ข้อควรพิจารณาในการรักษาความลับ

  • คุณควรเก็บเรื่องที่ตั้งใจจะขายธุรกิจเอาไว้เป็นความลับ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงาน ลูกค้า และซัพพลายเออร์
  • ทำข้อตกลงการไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) กับคนที่จะซื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่พูดคุยกันไปในระหว่างขั้นตอนการขายจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ
  • จำกัดปริมาณข้อมูลที่คุณนำมาพูดคุย จนกว่าอีกฝ่ายจะแสดงให้เห็นว่าสนใจที่จะซื้อจริงๆ และลงนามใน NDA แล้ว

การเจรจาเพื่อขาย

  • เตรียมตัวไว้เลยว่าการเจรจาจะใช้เวลานานและต้องมีการพูดคุยหารือกันไปมา ความอดทนเป็นสำคัญ
  • ทำความเข้าใจผลกำไรของคุณ รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขที่คุณยินดีตอบตกลงหรือเจรจาต่อรอง
  • ใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น นายหน้าซื้อขายธุรกิจ ทนายความ หรือนักบัญชี เพื่อช่วยในการเจรจาต่อรองและปกป้องผลประโยชน์ของคุณ

การทำความเข้าใจมุมมองของผู้ซื้อ

  • พยายามทำความเข้าใจแรงจูงใจ ข้อกังวลใจ และวัตถุประสงค์ของผู้ซื้อ วิธีนี้จะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนแนวทางและรับมือกับปัญหาที่อาจเป็นเรื่องสำคัญต่ออีกฝ่ายได้
  • เตรียมพร้อมในการให้ข้อมูลอย่างละเอียดและตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำเนินงาน การเงิน และตำแหน่งในตลาดสำหรับธุรกิจของคุณ

กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองให้มีประสิทธิภาพ

  • มุ่งให้เกิดสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย โดยให้ทั้งคุณและผู้ซื้อพึงพอใจกับข้อตกลง
  • มีความยืดหยุ่นและเปิดรับแนวทางที่สร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยรับมือกับความต้องการของทั้งสองฝ่ายได้
  • สื่อสารอย่างชัดเจนในทันที และพูดถึงปัญหาหรือข้อกังวลใจที่อาจเกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

ข้อควรพิจารณาทางกฎหมายและการเงิน

  • ตรวจสอบอีกครั้งว่าเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายครบทั้งหมด และได้ส่งมอบใบอนุญาต หนังสืออนุญาต และความยินยอมที่จำเป็นทั้งหมดให้กับเจ้าของรายใหม่
  • จ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมายและการเงินมาตรวจสอบเอกสารและข้อตกลงทั้งหมด เพื่อให้คุณได้รับผลประโยชน์สูงสุดและปกป้องสิทธิ์ต่างๆ ของคุณ

เอกสารทางกฎหมาย

  • หนังสือรับรองการขาย: เอกสารนี้จะเป็นการโอนสินทรัพย์ธุรกิจให้กับผู้ซื้อ
  • ข้อตกลงการซื้อสินทรัพย์: ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อกำหนดและเงื่อนไขในการขาย รวมถึงระบุสินทรัพย์ที่มีการขาย
  • ข้อตกลงห้ามค้าแข่ง: อาจจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้คุณเริ่มทำธุรกิจแข่งกับคนที่ซื้อธุรกิจไปภายในกรอบเวลาและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กำหนด

นัยทางภาษีจากการขาย

  • ทำความเข้าใจว่าการขายจะต้องเสียภาษีอย่างไร รวมถึงภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ และวางแผนตามความเหมาะสม
  • ปรึกษากับที่ปรึกษาด้านภาษี เพื่อดูกลยุทธ์ในการลดภาระด้านภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอยู่เสมอ

วิธีปิดการขายธุรกิจขนาดเล็ก

การปิดการขายธุรกิจขนาดเล็กเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หากดำเนินการอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้ขายได้สำเร็จ แต่หากดำเนินการไม่ถูกต้อง ก็อาจส่งผลเสียต่อธุรกรรมได้ โดยวิธีปิดการขายมีดังนี้

การสรุปข้อตกลง

  • การดำเนินการตรวจสอบข้อมูล: ในขั้นตอนนี้ ผู้ซื้อจะประเมินธุรกิจของคุณ ให้จัดเตรียมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด เช่น บันทึกทางการเงิน รายชื่อลูกค้า และสัญญาทางกฎหมาย ความโปร่งใสจะช่วยสร้างความไว้วางใจและหลีกเลี่ยงปัญหาในช่วงนาทีสุดท้ายได้

  • การหาเงินทุนมา: หากผู้ซื้อจำเป็นต้องใช้เงินทุน ก็จะใช้ขั้นตอนนี้ในการจัดการเรื่องเงินกู้หรือแหล่งเงินทุนให้แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ในฐานะผู้ขาย หากเข้าใจสถานะทางการเงินของผู้ซื้อ ก็จะช่วยให้คุณมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะดำเนินการซื้อได้เป็นที่เรียบร้อย

  • การเจรจาต่อรองข้อกำหนดขั้นสุดท้าย: แม้จะมีข้อตกลงเบื้องต้น แต่ก็อาจต้องปรับเปลี่ยนข้อกำหนดบางอย่างอยู่บ้าง ซึ่งอาจรวมถึงราคาขายสุดท้าย ข้อกำหนดในการชำระเงิน หรือเงื่อนไขอื่นๆ คุณควรให้ความยืดหยุ่นแต่หนักแน่นในประเด็นสำคัญๆ

  • การจัดเตรียมข้อตกลงการขาย: ข้อตกลงการขายเป็นเอกสารทางกฎหมายที่จะสรุปทุกแง่มุมของการขายนั้นๆ เอกสารนี้ควรระบุข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วน โดยครอบคลุมเรื่องต่างๆ ได้แก่ สินทรัพย์และหนี้สิน ทรัพย์สินทางปัญญา และสัญญาของพนักงาน ให้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายมาร่างหรือตรวจสอบเอกสารนี้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

  • การจัดการช่วงเปลี่ยนผ่าน: เมื่อขายธุรกิจ เรื่องสำคัญที่คนมักมองข้ามก็คือธุรกิจจะดำเนินงานอย่างไรในช่วงส่งต่อธุรกิจให้กับเจ้าของคนใหม่ คุณจะช่วยฝึกอบรมหรือให้ความช่วยเหลือหรือไม่ คุณจะแนะนำเจ้าของคนใหม่ให้กับลูกค้าและพนักงานหรือเปล่า การวางแผนเพื่อให้ช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นอาจส่งผลต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของธุรกิจมากทีเดียว

  • การเข้าทำข้อตกลง: ขั้นตอนนี้จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย โดยทุกฝ่ายจะลงนามในเอกสารที่จำเป็นและชำระเงิน คุณควรพาทนายความไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนที่วางไว้

ข้อควรพิจารณาหลังการขาย

  • การจัดการกับภาระผูกพันหลังการขาย: หากคุณตกลงจะอยู่ช่วยธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านไปอีกระยะหนึ่ง คุณก็ควรทำตามคำมั่นสัญญานั้นในช่วงนี้ ซึ่งอาจจะเป็นการฝึกอบรมเจ้าของคนใหม่ การแนะนำให้รู้จักกับผู้ติดต่อรายสำคัญ หรือช่วยจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับลูกค้าในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง

  • การจัดการเรื่องการเงิน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจัดการเรื่องการเงินทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เช่น การชำระหนี้หรือภาระผูกพันใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ให้ปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อทำความเข้าใจนัยทางภาษีจากการขายและวิธีจัดการรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลง: แจ้งลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพนักงานให้ทราบถึงการเปลี่ยนเจ้าของ วิธีการแจ้งและเวลาที่แจ้งเรื่องนี้อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์และชื่อเสียงที่ธุรกิจมีอยู่ได้

  • การปล่อยวาง: ใช้เวลาทบทวนเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะเกษียณอายุ เริ่มต้นกิจการใหม่ หรือออกไปพักผ่อน ก็ให้คำนึงถึงเรื่องอารมณ์และสิ่งที่ต้องทำในการก้าวออกมาจากธุรกิจ

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคำแนะนำทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความนี้ คุณควรขอคำแนะนำจากทนายความที่มีอำนาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินงานในเขตอำนาจศาลนั้นๆ เพื่อรับคำแนะนำที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

Stripe Atlas จะช่วยคุณได้อย่างไร

Stripe Atlas สร้างรากฐานด้านกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คุณสามารถระดมทุน เปิดบัญชีธนาคาร และรับชำระเงินได้ภายใน 2 วันทำการจากทุกที่ทั่วโลก

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทกว่า 75,000 แห่งที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้ Atlas ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่าง Y Combinator, a16z และ General Catalyst

การสมัครใช้งาน Atlas

การสมัครเพื่อจัดตั้งบริษัทกับ Atlas ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที คุณจะเลือกโครงสร้างบริษัทของคุณ จากนั้นจะยืนยันได้ทันทีว่าชื่อบริษัทของคุณใช้งานได้หรือไม่ และเพิ่มผู้ร่วมก่อตั้งได้ไม่เกิน 4 คน นอกจากนี้ คุณยังตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งหุ้นอย่างไร สำรองหุ้นบางส่วนไว้สำหรับนักลงทุนและพนักงานในอนาคต แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และลงนามเอกสารทั้งหมดแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจะได้รับอีเมลเชิญให้ลงนามในเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน

การรับชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN ของคุณ

หลังจากจัดตั้งบริษัทแล้ว Atlas จะยื่นเอกสาร EIN ให้คุณ ผู้ก่อตั้งที่มีหมายเลขประกันสังคมของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์มือถือจะมีสิทธิ์รับการประมวลผลแบบเร่งด่วนของ IRS ขณะที่ผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ จะได้รับการประมวลผลแบบมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้เวลานานขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ Atlas ยังเปิดใช้การชำระเงินและการธนาคารก่อนที่จะได้รับ EIN เพื่อให้คุณสามารถเริ่มรับชำระเงินและทำธุรกรรมก่อนที่จะได้รับ EIN ได้

การซื้อหุ้นของผู้ก่อตั้งแบบไร้เงินสด

ผู้ก่อตั้งสามารถซื้อหุ้นเริ่มต้นโดยใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น ลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร) แทนเงินสดได้ โดยมีหลักฐานการซื้อที่จัดเก็บไว้ในแดชบอร์ด Atlas คุณต้องมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณมีทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าสูงกว่านั้น โปรดปรึกษาทนายความก่อนที่จะดำเนินการต่อ

การยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) อัตโนมัติ

ผู้ก่อตั้งสามารถยื่นเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ โดย Atlas จะยื่นเอกสารให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาหรือนอกสหรัฐอเมริกา โดยใช้จดหมายรับรองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (USPS Certified Mail) และติดตามข้อมูล คุณจะได้รับเอกสารการเลือกสถานะภาษี 83(b) ที่ลงนามและหลักฐานการ การยื่นเอกสารโดยตรงในแดชบอร์ด Stripe

เอกสารทางกฎหมายของบริษัทระดับโลก

Atlas ให้บริการเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการเริ่มดำเนินธุรกิจบริษัทของคุณ โดยเอกสารของบริษัทประเภท C ของ Atlas ได้รับการสร้างขึ้นโดยร่วมงานกับ Cooley ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายการร่วมลงทุนชั้นนำของโลก โดยเอกสารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณระดมทุนได้ทันทีและช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทของคุณจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยครอบคลุมถึงแง่มุมต่างๆ เช่น โครงสร้างกรรมสิทธิ์ การแจกจ่ายหุ้น และการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

Stripe Payments ฟรีหนึ่งปี พร้อมเครดิตและส่วนลดสำหรับพาร์ทเนอร์มูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

Atlas ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ระดับแนวหน้าเพื่อมอบส่วนลดและเครดิตสุดพิเศษกับผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้แก่ส่วนลดสำหรับเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านวิศวกรรม ภาษี การเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการปฏิบัติงานจากผู้นำอุตสาหกรรมอย่าง AWS, Carta และ Perplexity เรายังมอบตัวแทนที่จดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ให้คุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปีแรกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในฐานะผู้ใช้ Atlas คุณยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก Stripe เช่น การประมวลผลการชำระเงินแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Atlas ช่วยคุณจัดตั้งธุรกิจใหม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และเริ่มใช้งานได้เลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas