การเปลี่ยนแปลงค่าบริการอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของธุรกิจของคุณได้อย่างรวดเร็ว เมื่อราคาเพิ่มขึ้น ยอดขายก็อาจลดลง แต่หากลดราคาลงต่ำเกินไป อัตรากำไรก็อาจเหลือน้อยได้เช่นกัน และเมื่อต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น แรงบีบคั้นในการกำหนดค่าบริการให้ถูกต้องจะเพิ่มขึ้นไปด้วย โดย 84% ขององค์กรขนาดเล็กและขนาดกลางทั่วโลกระบุว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นปัญหาหลักในปี 2024
บริษัทต่างๆ ที่ต้องการหาวิธีเพิ่มรายรับให้สูงสุดสามารถจัดทำการทดลองเพื่อทดสอบราคาในตลาดและดูปฏิกิริยาของลูกค้าได้ โดยเราจะอธิบายวิธีออกแบบ ดำเนินการ และปรับปรุงการทดลองกำหนดค่าบริการเพื่อเพิ่มพูนรายรับไว้ที่ด้านล่างนี้
เนื้อหาหลักในบทความ
- การทดลองกำหนดค่าบริการคืออะไร
- เป้าหมายของการทดลองกำหนดค่าบริการคืออะไร
- ธุรกิจสามารถจัดทำการทดลองกำหนดค่าบริการประเภทใดได้บ้าง
- คุณจะออกแบบการทดลองกำหนดค่าบริการที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
- คุณจะใช้และจัดการการทดสอบกำหนดค่าบริการอย่างไร
- คุณจะวิเคราะห์ผลการทดลองกำหนดค่าบริการอย่างไร
- Stripe Billing ช่วยอะไรได้บ้าง
การทดลองกำหนดค่าบริการคืออะไร
การทดลองกำหนดค่าบริการเป็นวิธีการทดสอบอย่างมีแบบแผนว่าลูกค้าจะตอบสนองอย่างไรเมื่อคุณเปลี่ยนราคาของผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยคุณต้องจัดทำการทดสอบที่มีการควบคุมโดยที่องค์ประกอบทั้งหมด (เช่น ผลิตภัณฑ์ ฟีเจอร์ ขั้นตอนการชำระเงิน) ยกเว้นราคาจะไม่เปลี่ยนแปลง กลุ่มหนึ่งจะเห็นราคาปัจจุบัน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะเห็นราคาอื่น จากนั้นคุณก็จะวัดความแตกต่างในแง่การลงทะเบียน รายรับเฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) และอัตราการรักษาลูกค้าระหว่างกลุ่มเหล่านี้
คุณต้องให้ค่าบริการเป็นตัวแปรเพียงตัวเดียวเท่านั้น เพราะหากผลิตภัณฑ์เปลี่ยนไปหรือมีแคมเปญการตลาดทับซ้อนกัน คุณจะไม่อาจทราบได้ว่าองค์ประกอบใดกันแน่ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ดังกล่าว
เป้าหมายของการทดลองกำหนดค่าบริการคืออะไร
จุดประสงค์ของการทดลองกำหนดราคาคือหาคำตอบว่าลูกค้ามีพฤติกรรมอย่างไรเมื่อคุณเปลี่ยนแปลงราคา โดยการทดลองกำหนดราคาสามารถช่วยคุณได้ดังนี้
ค้นหาราคาที่มีประสิทธิภาพ
การเรียกเก็บเงินต่ำเกินไปหรือสูงเกินไปเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับบริษัทต่างๆ การทดลองกำหนดราคานั้นจะสามารถแสดงจุดราคาที่ลูกค้าจะซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณและจุดราคาที่ลูกค้าจะไม่ซื้อได้
ดูผลของการเปลี่ยนแปลงค่าบริการต่อรายรับ
บางครั้ง หากอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินคงที่ คุณก็สามารถเพิ่มรายรับด้วยการปรับราคาให้สูงขึ้นได้ แต่บางครั้ง การลดราคาก็จะช่วยเพิ่มรายรับด้วยการดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้เช่นกัน
ประเมินความอ่อนไหวของกลุ่มลูกค้า
ในการทดลองกำหนดราคา คุณสามารถดูว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นและลดลงได้แบบเรียลไทม์ โดยคุณจะเห็นว่าใครเป็นผู้ที่ยังคงยอมใช้จ่ายเมื่อคุณปรับราคาขึ้นและใครเลิกใช้บริการ วิธีนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าลูกค้ากลุ่มใดที่คุณปรับราคาขึ้นได้อีกและกลุ่มใดไม่ควรขึ้นราคา
ลองใช้โมเดลใหม่ๆ
จากการสำรวจของ Stripe ในปี 2024 69% ของผู้นำธุรกิจด้านการชำระเงินตามรอบบิลทั่วโลกระบุว่าตนวางแผนที่จะเปิดตัวโมเดลค่าบริการใหม่ในปีหน้า เนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับการเลิกใช้บริการ หากคุณกำลังพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ชุดผลิตภัณฑ์, การชำระเงินตามรอบบิล หรือการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน การทดลองกำหนดราคานี้ก็อาจทำให้ลดอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ลงได้ เพราะคุณได้ทดลองกับลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ดูก่อนแล้ว
ติดตามการรักษาลูกค้า
แพ็กเกจการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะช่วยลดอัตราการเลิกใช้บริการและช่วยให้ลูกค้ายังคงใช้บริการต่อเนื่องยาวนานขึ้น การติดตามการรักษาลูกค้าในระหว่างการทดลองจะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงโมเดลค่าบริการเพิ่มศักยภาพในการรักษาลูกค้าเอาไว้ได้หรือเพียงดึงดูดผู้ที่สนใจในข้อเสนอชั่วคราวเท่านั้น
หากทดลองอย่างมีประสิทธิภาพ การทดลองการกำหนดราคาจะสรุปความสัมพันธ์ระหว่างราคากับอุปสงค์ในตลาดจริง และช่วยให้คุณกำหนดราคาที่สมดุลระหว่างมูลค่าของลูกค้ากับรายรับที่ยั่งยืนได้
ธุรกิจสามารถจัดทำการทดลองกำหนดค่าบริการประเภทใดได้บ้าง
ประเภทการทดลองกำหนดค่าบริการที่คุณควรดำเนินการจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการทราบ โดยรูปแบบที่พบบ่อยมีดังนี้
การทดสอบราคาแบบ A/B: แบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่มโดยวิธีสุ่มและแสดงราคาที่แตกต่างกัน (เช่น $50 สำหรับกลุ่มหนึ่ง และ $45 สำหรับอีกกลุ่มหนึ่ง) การทดสอบรูปแบบง่ายๆ นี้แสดงให้เห็นว่าราคาส่งผลต่อการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินและ รายรับโดยตรงอย่างไร
การทดสอบแบบแบ่งระดับหรือแบบหลายตัวเลือก: ทดสอบรายการผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมด ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) อาจจัดทำการทดลองที่โดยนำเสนอแพ็กเกจบริการหลายระดับ ได้แก่ ระดับ Basic ที่ราคา $19, ระดับ Pro ที่ราคา $49, และระดับ Enterprise ที่ราคา $99 วิธีนี้จะวัดความเต็มใจของลูกค้าที่จะจ่ายเงินเพื่อใช้งานฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน และจะแสดงให้เห็นได้ว่าการแบ่งบริการเป็นหลายตัวเลือกจะส่งผลให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกระดับกลางๆ ไว้ก่อนหรือไม่
เปรียบเทียบการจัดชุดสำเร็จกับการจำหน่ายแยกรายการ: ลองรวมผลิตภัณฑ์หรือบริการไว้ในแพ็กเกจเดียว (เช่น "จับคู่ X กับ Y ในราคา $99") และขายแต่ละรายการแยกกันเพื่อดูว่าโมเดลค่าบริการแบบใดช่วยเพิ่มยอดใช้จ่ายโดยรวมได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าลูกค้าชอบวิธีการกำหนดราคาแบบเป็นแพ็กเกจหรือแบบแยกรายการมากกว่ากัน
ส่วนลดและโปรโมชัน: มอบคูปองหรือส่วนลด (เช่น "ส่วนลด 20% ในเดือนนี้") ให้กับลูกค้ากลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ให้อีกกลุ่มหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์จากสองกลุ่ม คุณจะรู้ได้ว่าโปรโมชันช่วยเพิ่มยอดขายได้มากพอที่จะชดเชยอัตรากำไรที่น้อยลงจากสินค้าลดราคาได้หรือไม่ นอกจากนี้คุณยังจะได้รู้ด้วยว่าส่วนลดประเภทต่างๆ (เช่น การหั่นราคา การจัดส่งฟรี การทดลองใช้ฟรี) ส่งผลต่อการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินอย่างไร
การกำหนดราคาเชิงจิตวิทยา: ทดสอบหลักฐานทางจิตวิทยา เช่น การกำหนดราคาให้น่าดึงดูด (เช่น $49.99 แทนที่จะตั้งเป็น $50), การกำหนดราคาแบบมีตัวเปรียบเทียบ (เช่น "ลดจาก $129 เหลือ $99) และการตั้งเงื่อนไขจำกัด (เช่น แสดงราคาในรูปแบบข้อเสนอจำกัดเวลา) รูปแบบเชิงจิตวิทยาเช่นนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมอย่างแยบยลและสามารถนำไปทดสอบเช่นเดียวกับตัวแปรอื่นๆ ได้อีกด้วย
การทดลองแบบไดนามิกหรือแบบตามการใช้งาน: เพิ่มราคาเมื่อความต้องการสูงขึ้นหรือเรียกเก็บเงินต่อธุรกรรมแทนที่จะคิดค่าธรรมเนียมตายตัว การทดสอบลักษณะนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงการกำหนดราคาครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม การทดสอบเพียงไม่นานก็จะบอกได้ว่าลูกค้ายอมรับรูปแบบที่ยืดหยุ่นเช่นนี้ได้หรือไม่
การทดสอบเฉพาะกลุ่ม: ทดสอบด้วยอัตราราคาสำหรับนักเรียนที่ต่ำลงหรือส่วนลดระดับภูมิภาค และเปรียบเทียบผลลัพธ์กับผลลัพธ์ที่ได้จากราคามาตรฐาน วิธีนี้จะช่วยให้คุณประเมินได้ว่าลูกค้าบางกลุ่มยินดีจ่ายเท่าใด
คุณจะออกแบบการทดลองกำหนดค่าบริการที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
หากคุณออกแบบการทดลองกำหนดราคาไม่ดีพอ คุณจะไม่ทราบว่าผลลัพธ์นั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยวิธีออกแบบการทดสอบให้คุณได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มีดังนี้
กำหนดขอบเขตคำถาม
เริ่มจากการตั้งสมมติฐานที่ตรวจสอบได้ชัดเจนมากกว่าการทดสอบโดยใช้ราคาที่สูงขึ้นเพียงอย่างเดียว (เช่น "การลดราคาจาก $50 เป็น $45 จะเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินได้มากพอที่จะเพิ่มรายรับรายเดือนขึ้น 10% หรือไม่") สมมติฐานแบบนี้บังคับให้คุณระบุทั้งตัวแปรที่คุณจะเปลี่ยนและตัวชี้วัดที่คุณจะประเมินได้
เลือกตัวแปรหนึ่งรายการ
จุดราคา รอบการเรียกเก็บเงิน การจัดชุดสินค้า และส่วนลดล้วนเป็นปัจจัยที่ทดสอบได้ แต่ต้องไม่ทดสอบพร้อมกัน หากคุณเปลี่ยนทั้งราคาและชุดฟีเจอร์ คุณจะไม่สามารถระบุได้ว่าการเปลี่ยนแปลงใดที่ส่งผลให้ได้รับผลการทดลองนั้นๆ ออกมา
ตั้งค่ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดสอบ
กลุ่มควบคุมจะทดสอบด้วยราคาปัจจุบันตลอด ส่วนกลุ่มทดสอบจะได้รับราคาตัวแปร ซึ่งโดยปกติแล้ว การกำหนดราคาแบบสุ่มให้กับกลุ่มจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด บางครั้งธุรกิจที่มีปริมาณการชำระเงินต่ำอาจกำหนดกลุ่มพื้นฐานตามภูมิภาคหรือช่วงเวลาของปี แต่อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น ช่วงเทศกาลและกลยุทธ์ของคู่แข่ง
กำหนดตัวชี้วัดของคุณล่วงหน้า
เลือกตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของคุณ เช่น อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน มูลค่าคำสั่งซื้อเฉลี่ย รายรับสุทธิ อัตราการเลิกใช้บริการ มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า เป็นต้น ให้กำหนดเกณฑ์ความสำเร็จเอาไว้ (เช่น "ราคาที่เป็นตัวแปรจะถือว่าผ่านเกณฑ์หากอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินเพิ่มขึ้น 15% โดยไม่ลด ARPU") โดยให้กำหนดขีดจำกัดที่จะบอกคุณว่าควรหยุดทดสอบเร็วกว่ากำหนดหรือไม่หากรายรับลดลง
ใช้เครื่องมือคำนวณศักยภาพ
การทดลองที่ทำให้เกิดการลงทะเบียนจำนวนไม่กี่รายการไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ ให้ใช้เครื่องมือคำนวณศักยภาพแทน เนื่องจากเครื่องมือทางสถิตินี้จะช่วยให้คุณทราบจำนวนผู้เข้าร่วมหรือจุดข้อมูลที่จำเป็นต่อความน่าเชื่อถือของผลการทดสอบ รวมถึงระยะเวลาที่แนะนำสำหรับการทดลองด้วย การทดสอบกำหนดราคาจำนวนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญ
ควบคุมตัวแปร
หลีกเลี่ยงการเปิดตัวฟีเจอร์หรือโปรโมชันใหม่ในระหว่างการทดสอบ ปรับสภาพแวดล้อมการทดสอบให้สม่ำเสมอเพื่อให้คุณสามารถระบุได้อย่างน่าเชื่อถือว่าราคาเป็นตัวขับเคลื่อนผลลัพธ์จริงๆ
ตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานของคุณ
ระบบการเรียกเก็บเงินแบบเดิมไม่สามารถรองรับการใช้หลายราคาควบคู่กันได้เสมอไป Stripe Billing นั้นสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงการทดลองด้วย ดังนั้น คุณจึงสามารถสร้าง ID ราคาหลายรายการสำหรับผลิตภัณฑ์เดียวกัน กำหนดเส้นทางให้กับลูกค้าแบบสุ่ม และจัดทำรายงานแยกต่างหากได้ ไม่ว่าคุณจะใช้สแต็กการเรียกเก็บเงินแบบไหนก็ตาม โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกค้าระบุราคาตามที่กำหนดไว้ ตั้งแต่หน้าแลนดิ้งเพจไปจนถึงใบแจ้งหนี้
คุณใช้และจัดการการทดสอบการกำหนดค่าบริการอย่างไร
เมื่อคุณออกแบบการทดลองเรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องเริ่มดำเนินการและจัดการการทดสอบด้วยวิธีที่ไม่สร้างความยุ่งยากให้กับลูกค้าหรือทีมของคุณ ซึ่งวิธีการที่เหมาะสมมีดังนี้
ให้ข้อมูลทุกคนอย่างสอดคล้องกัน: แจ้งให้ทุกคนที่โต้ตอบกับลูกค้าหรือจัดการกับรายรับ (เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายการตลาด ฝ่ายการเงิน) ได้ทราบเมื่อเริ่มการทดลองแล้ว ทีมงานภายในของคุณต้องพร้อมตอบคำถามหากมีผู้ถามเข้ามา
เริ่มทดลองอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เริ่มทดลองกับการใช้งานในปริมาณไม่มากก่อน เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดในการออกใบแจ้งหนี้ แล้วจึงขยับขยายไปสู่ปริมาณที่มากขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณควบคุมความเสียหายได้ในกรณีที่เกิดความขัดข้องหรือกรณีที่ผลการทดสอบไม่ดีเท่าที่ควรได้
ดูข้อมูลเรียลไทม์ แต่ตัดสินใจในภายหลัง: แดชบอร์ดควรติดตามตัวชี้วัดการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน รายรับ และการป้องกันขณะที่ข้อมูลเข้ามา หากรายรับลดลง ก็ควรหยุดการทดลอง ทั้งนี้คุณไม่ควรรีบหยุดการทดลองแต่เนิ่นๆ เนื่องจากผลการทดลองในช่วงแรกไม่ได้บ่งบอกถึงภาพรวมทั้งหมดเสมอไป
ทดสอบอย่างตรงไปตรงมา: อย่าปล่อยให้ลูกค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มหนึ่งกลายไปเป็นลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง (เช่น การแชร์ลิงก์หรือการสลับอุปกรณ์) อย่าปล่อยให้การทดลองที่สำคัญๆ ทับซ้อนกันเองเนื่องจากจะรบกวนผลการทดสอบซึ่งกันและกัน
ปกป้องประสบการณ์ของลูกค้า: ค่าบริการเป็นสิ่งที่ผู้ใช้จะเห็นได้และนำไปพูดต่อกัน ดังนั้นหากคุณกำลังทดสอบราคาที่แตกต่างกันในตลาดเดียวกัน ให้ลองพิจารณาว่าคุณจะรับมือกับการที่ลูกค้านำราคามาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร บางบริษัทก็จะจัดทำการทดสอบในรูปแบบข้อเสนอแบบจำกัดเวลาเพื่อลดทอนภาพจำเรื่องการกำหนดราคาไม่ยุติธรรมลงไป
ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม: การเรียกเก็บค่าบริการ 2 รายการพร้อมกันอาจทำให้สแต็กการเรียกเก็บเงินทำงานยากขึ้น ทั้งนี้ Stripe Billing จะช่วยให้เรียกเก็บค่าบริการที่แตกต่างกันทำได้ง่ายขึ้น และรวมศูนย์การดำเนินการทั้งหมดไว้ในที่เดียว
คุณวิเคราะห์ผลการทดลองกำหนดราคาอย่างไร
เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลง คุณจะต้องตรวจดูข้อมูลดิบที่ได้มา โดยมีวิธีวิเคราะห์ผลการทดลองกำหนดราคาของคุณดังต่อไปนี้
เริ่มจากนัยสำคัญ
ตรวจสอบว่าผลลัพธ์นั้นถูกต้องหรือไม่ในทางสถิติ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน 2% นั้นจะส่งผลเพียงเล็กน้อยหากกลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก ให้ใช้ตัวเลข เช่น ค่า P และช่วงความน่าเชื่อถือ หรือใช้แพลตฟอร์มการทดลองของคุณเพื่อยืนยันว่าผลลัพธ์นั้นถูกต้องทางสถิติ
พิจารณาเมตริกหลักร่วมกัน
จัดเก็บผลลัพธ์ของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดสอบซึ่งได้แก่ อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน เงินค่าคำสั่งซื้อเฉลี่ย, ARPU และกำไรขั้นต้น ไว้ข้างเคียงกัน การบันทึกตัวชี้วัดแยกกันจะไม่ให้ภาพรวมที่สมบูรณ์ ค่าบริการที่สูงขึ้นอาจลดอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน แต่ยังคงเพิ่มรายรับได้ ในขณะที่ส่วนลดอาจเพิ่มการลงทะเบียนได้มาก แต่ทำให้อัตรากำไรลดลงมากเช่นกัน ตรวจสอบตัวชี้วัดทั้งหมดร่วมกันเพื่อให้ได้คำตอบที่รอบด้าน
แบ่งส่วนข้อมูล
แยกผลลัพธ์ออกเป็นกลุ่มประชากรต่างๆ เช่น ธุรกิจใหม่เทียบกับธุรกิจหมุนเวียน องค์กรเทียบกับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือภูมิภาค A เทียบกับภูมิภาค B การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้กลุ่มหนึ่งเพิ่มขึ้นและอีกกลุ่มหนึ่งลดลงได้ในบางครั้ง การเปรียบเทียบผลลัพธ์ในกลุ่มหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่งก็จะสามารถบอกได้ว่าควรปรับใช้ราคาของคุณกับลูกค้าทุกคนหรือควรเจาะจงเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
พิจารณาระยะยาว
การบรรลุเป้าหมายระยะสั้นอาจมีข้อเสียในระยะยาวซุกซ่อนอยู่ ให้พิจารณาว่าลูกค้าที่ได้มาจากการเสนอส่วนลดจะเลิกใช้บริการเร็วกว่าหรือไม่ หรือลูกค้าที่ยอดชำระเงินสูงกว่าให้การมีส่วนร่วมได้มากกว่าหรือไม่ หากคุณติดตามการรักษาลูกค้า คะแนนผู้สนับสนุนสุทธิ อัตราการคืนเงิน หรือปริมาณการสนับสนุน ก็ให้พิจารณาปัจจัยเหล่านี้ด้วย การบรรลุเป้าหมายจากการกำหนดราคาที่ส่งผลลบต่ออัตราความพึงพอใจในภายหลังนั้นไม่ถือเป็นการบรรลุเป้าหมายเสียทีเดียว
เปลี่ยนผลการทดสอบให้กลายเป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจ
คำนวณผลลัพธ์ระยะยาวจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลง: ตัวอย่างเช่น "ค่าบริการระดับนี้ช่วยเพิ่มรายรับต่อผู้เข้าชมได้ 5% ซึ่งเทียบเท่ากับ X ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีหากเปิดตัว" อธิบายผลลัพธ์โดยใช้ข้อกำหนดที่ผู้บริหารและทีมการเงินสนใจ
ตัดสินใจ จากนั้นจัดทำเอกสาร
ใช้สูตรราคาที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดหากตรงตามเกณฑ์ความสำเร็จของคุณ หากไม่ตรงตามเกณฑ์ดังกล่าว ให้ใช้ค่าบริการปัจจุบันหรือออกแบบการทดสอบครั้งถัดไป ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร โปรดบันทึกข้อมูลที่คุณได้เรียนรู้ ซึ่งได้แก่ตัวแปร ผลกระทบ และตัวเลข การทดลองกำหนดราคาแต่ละครั้งจะสอดคล้องต่อเนื่องกันไป และบันทึกที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณปรับปรุงผลลัพธ์เหล่านั้นได้ในระยะยาว
เป้าหมายคือการสร้างชุดข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับปฏิกิริยาของตลาดต่อราคา เพื่อให้คุณมีหลักฐานเชิงประจักษ์เมื่อเริ่มการประเมินราคาครั้งต่อไป
Stripe Billing ช่วยอะไรได้บ้าง
Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและบริหารจัดการลูกค้าได้ตามที่คุณต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าง่ายๆ ไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานและสัญญาที่ตกลงกันทางการขาย เริ่มรับชำระเงินแบบตามแผนล่วงหน้าจากทั่วโลกได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ด หรือใช้วิธีสร้างการผสานการทำงานแบบกำหนดเองโดยใช้ API
Stripe Billing ช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้
กำหนดค่าบริการแบบยืดหยุ่น: ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้เร็วขึ้นด้วยโมเดลการกำหนดค่าบริการที่ยืดหยุ่น ซึ่งมีทั้งแบบตามการใช้งาน แบบแบ่งระดับ ค่าธรรมเนียมคงที่บวกค่าธรรมเนียมส่วนเกิน และอีกมากมาย ทั้งยังรองรับคูปอง การทดลองใช้งานฟรี การแบ่งชำระตามสัดส่วน และส่วนเสริมในตัวอีกด้วย
ขยายไปทั่วโลก: เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินด้วยการเสนอวิธีการชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ Stripe ยังรองรับวิธีการชำระเงินในแต่ละประเทศมากกว่า 125 วิธีและกว่า 130 สกุลเงิน
เพิ่มรายได้และลดอัตราการเลิกใช้บริการ: ให้คุณเก็บรายรับได้มากขึ้นและลดการเลิกใช้บริการโดยไม่สมัครใจด้วย Smart Retries และระบบอัตโนมัติสำหรับกระบวนการกู้คืน เครื่องมือการกู้คืนของ Stripe ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนรายรับกว่า 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ในปี 2024
เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้เครื่องมือภาษีแบบโมดูลาร์ การรายงานรายรับ และข้อมูลของ Stripe เพื่อรวมระบบรายรับหลายระบบให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์ภายนอกได้อย่างง่ายดาย
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ