Open banking in the US: What you need to know

Issuing
Issuing

Stripe Issuing เป็นผู้มอบระบบการให้บริการธนาคารสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพรูปแบบใหม่ แพลตฟอร์มที่ล้ำนวัตกรรม และองค์กรที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. Open Banking คืออะไร
  3. ระเบียบข้อบังคับว่าด้วย Open Banking ในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร
  4. ข้อแตกต่างระหว่าง Open Banking ในสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
    1. ระเบียบข้อบังคับ
    2. การใช้งาน
    3. การเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภค
    4. สิ่งที่ให้ความสำคัญและผลลัพธ์
    5. การเข้าร่วมอุตสาหกรรม
  5. ประโยชน์ของ Open Banking สําหรับผู้บริโภคและธุรกิจ
    1. สิทธิประโยชน์สําหรับผู้บริโภค
    2. สิทธิประโยชน์สำหรับทางธุรกิจ
  6. ความท้าทายในการใช้ Open Banking ในสหรัฐอเมริกา
  7. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับ Open Banking

Open Banking คือแนวทางปฏิบัติของธนาคาร บริษัทฟินเทค และผู้ให้บริการทางการเงินที่จะแชร์ข้อมูลทางการเงินผ่าน API โดยได้รับความยินยอมจากลูกค้า และมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน รวมทั้งส่งเสริมการแข่งขันในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน แม้ว่า คําสั่งว่าด้วยบริการชําระเงินฉบับปรับปรุง (PSD2) และ มาตรฐาน Open Banking ของสหราชอาณาจักรจะบังคับใช้มาตรฐานการกํากับดูแล Open Banking แต่สหรัฐอเมริกาไม่ได้ปรับใช้กรอบกฎหมายที่คล้ายกัน อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการเงินได้เป็นผู้นําในการพัฒนาและนําแนวทางสำหรับ Open Banking มาใช้ในสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากการที่ลูกค้าต้องการบริการทางการเงินแบบบูรณาการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของตนมากขึ้น

แบบสํารวจของ Visa ในปี 2022 พบว่าผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา 87% ใช้ Open Banking เพื่อเชื่อมโยงบัญชีการเงินของตนเข้ากับบริการของบริษัทอื่น ถึงแม้ว่า Open Banking จะดำเนินการภายใต้โครงการริเริ่มที่ขับเคลื่อนโดยตลาดในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีความคืบหน้าในการจัดทําระเบียบข้อบังคับว่าด้วย Open Banking โดยมีสำนักงานคุ้มครองทางการเงินเพื่อผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา (CFPB) ผลักดันให้มีการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้บริโภคและดูแลรักษาความปลอดภัย ปัจจุบัน Open Banking ในสหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้แนวทางปฏิบัติของอุตสาหกรรมและข้อตกลงโดยสมัครใจระหว่างองค์กรเอกชน ซึ่งให้ความสำคัญนวัตกรรมและการสร้างความแตกต่างเพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน

คู่มือนี้จะอธิบายถึงสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับ Open Banking ในสหรัฐอเมริกา หลักการทำงาน แนวทางการกำกับดูแล ตลอดจนข้อแตกต่างจาก Open Banking ในภูมิภาคอื่นๆ

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • Open Banking คืออะไร
  • ระเบียบข้อบังคับว่าด้วย Open Banking ในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร
  • ข้อแตกต่างระหว่าง Open Banking ในสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
  • ประโยชน์ของ Open Banking สําหรับผู้บริโภคและธุรกิจ
  • ความท้าทายในการใช้ Open Banking ในสหรัฐอเมริกา
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับ Open Banking

Open Banking คืออะไร

Open Banking คือแนวทางปฏิบัติของธนาคารและบริษัทการเงินที่แบ่งปันข้อมูลผู้บริโภคกับนักพัฒนาบุคคลที่สามโดยใช้ API (ส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์) แบบเปิดเฉพาะเมื่อผู้บริโภคให้ความยินยอมเท่านั้น ซึ่งนักพัฒนาจะนำข้อมูลนี้ไปใช้สร้างแอปพลิเคชันและบริการทางการเงิน Open Banking ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมธนาคารมีการแข่งขันกันมากขึ้นและพัฒนานวัตกรรมออกมาได้เร็วขึ้น รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินส่วนบุคคล

Open Banking ต่อยอดมาจากแนวคิดที่ว่าผู้บริโภคจะเป็นเจ้าของข้อมูลทางการเงินของตัวเอง และสามารถเลือกแชร์ข้อมูลเหล่านั้นกับผู้ให้บริการบุคคลที่สาม (TPP) เพื่อให้ผู้ให้บริการเหล่านี้สร้างแอปและบริการใหม่ๆ ได้ ระเบียบข้อบังคับอย่างคำสั่ง PSD2 ในสหภาพยุโรปและมาตรฐานว่าด้วย Open Banking ในสหราชอาณาจักรกําหนดให้ธนาคารเปิดระบบของตนให้กับผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต เพื่อให้ผู้ให้บริการเหล่านั้นสร้างบริการและเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายให้แก่ธุรกิจและผู้บริโภค

ระเบียบข้อบังคับว่าด้วย Open Banking ในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร

ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับ Open Banking ในสหรัฐอเมริกายังไม่สมบูรณ์และยังไม่มีกรอบการกํากับดูแลอย่างเป็นทางการที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนอย่างในสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักร การกำกับดูแล Open Banking ของสหรัฐอเมริกานั้นอยู่ภายใต้ข้อบังคับทางการเงิน แนวทางของภาคธุรกิจต่างๆ และมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากมาย ไม่ใช่ระเบียบข้อบังคับแบบรวมศูนย์

การกำกับดูแล Open Banking ในสหรัฐอเมริกามีลักษณะดังต่อไปนี้

  • การคุ้มครองผู้บริโภคและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: มาตรา 1033 ของกฎหมาย Dodd-Frank ถือเป็นหลักเกณฑ์ทางกฎหมายสําหรับระบบ Open Banking ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำหนดให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของตัวเองได้ และแชร์ข้อมูลนี้กับบุคคลที่สามได้อย่างปลอดภัย โดยสำนักงานคุ้มครองทางการเงินเพื่อผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา (CFPB) เป็นหน่วยงานกํากับดูแลหลักในสหรัฐอเมริกาที่ดูแลเกี่ยวกับ Open Banking

  • มาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล: ระเบียบข้อบังคับอย่างกฎหมาย Gramm-Leach-Bliley (GLBA) กําหนดมาตรฐานเกี่ยวกับวิธีการที่สถาบันการเงินต้องนำมาใช้ปกป้องข้อมูลผู้บริโภคและรักษาความเป็นส่วนตัว เมื่อแชร์ข้อมูลผู้บริโภคกับบุคคลที่สาม สถาบันการเงินจะต้องปฏิบัติตามระเบียบที่เข้มงวดภายใต้กฎหมายดังกล่าว

  • มาตรฐานอุตสาหกรรมโดยสมัครใจ: กลุ่มอุตสาหกรรมและสมาคมต่าง ๆ เริ่มสร้างมาตรฐานโดยสมัครใจเพื่ออํานวยความสะดวกในการแบ่งปันข้อมูล ตัวอย่างเช่น Financial Data Exchange (FDX) กลุ่มองค์กรไม่แสวงผลกําไรที่จัดทำและส่งเสริมการใช้มาตรฐาน API เพื่อให้มีการเข้าถึงและแบ่งปันข้อมูลทางการเงินอย่างปลอดภัยและสะดวกง่ายดาย

  • แนวทางและการทํางานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน: หน่วยงานกํากับดูแลต่างๆ ซึ่งรวมถึงหน่วยงานกํากับดูแลของธนาคารกลาง สำนักงานควบคุมเงินตราของสหรัฐฯ (OCC) และองค์กรประกันเงินฝากในสหรัฐอเมริกา (FDIC) ได้ออกแนวทางปฏิบัติสำหรับธนาคารว่าด้วยวิธีจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากความสัมพันธ์ภายนอกประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Open Banking (กล่าวคือการแชร์ข้อมูลกับบริษัทฟินเทคหรือผู้รวบรวมข้อมูล)

ระเบียบข้อบังคับสำหรับระบบ Open Banking ในสหรัฐอเมริกายังอยู่ระหว่างการพัฒนา เป้าหมายของ CFPB ที่ส่งเสริมการใช้งาน Open Banking อย่างค่อยเป็นค่อยไปคือเพื่อสร้างสมดุลระหว่างสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคกับการดูแลความปลอดภัยที่จําเป็น โดยจะค่อยๆ ขยายขอบเขตของ Open Banking ไปเรื่อยๆ

ในเดือนตุลาคม 2023 CFPB ได้เสนอกฎระเบียบว่าด้วยสิทธิ์เกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินส่วนบุคคล (“กฎระเบียบที่เสนอ”) เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงมาใช้ Open Banking กฎระเบียบดังกล่าวจะกำกับดูแลด้านต่างๆ ต่อไปนี้

  • การควบคุมของผู้บริโภค: กฎระเบียบที่เสนอช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของตัวเองและอนุญาตให้แชร์ข้อมูลนี้กับผู้ให้บริการบุคคลที่สามได้อย่างปลอดภัย

  • สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน: กฎระเบียบที่เสนอกําหนดรูปแบบมาตรฐานให้กับการแบ่งปันข้อมูลทําให้ข้อมูลสอดคล้องกันและทุกฝ่ายเข้าถึงได้

  • ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล: กฎระเบียบที่เสนอเน้นความสำคัญของมาตรการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่รัดกุมเพื่อปกป้องข้อมูลผู้บริโภค โดยห้ามไม่ให้บริษัทต่างๆ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนอย่างผิดๆ หรือแสวงประโยชน์ทางการเงินอย่างไม่เหมาะสม

ข้อแตกต่างระหว่าง Open Banking ในสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

แม้ว่าระบบ Open Banking ในสหรัฐอเมริกาจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา แต่ก็ใช้แนวทางที่คล้ายคลึงกับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยให้ความสำคัญกับความยินยอมของผู้บริโภค การสร้างมาตรฐานข้อมูล และการเพิ่มการแข่งขันด้านการเงิน กฎระเบียบที่ CFPB เสนอเป็นก้าวสําคัญสําหรับ Open Banking ในสหรัฐอเมริกา

ต่อไปนี้คือความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง Open Banking ของสหรัฐอเมริกากับสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นสองผู้นําด้านระเบียบข้อบังคับว่าด้วย Open Banking

ระเบียบข้อบังคับ

  • สหรัฐอเมริกา: ไม่มีกฎหมายสำหรับ Open Banking โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมการเงินเป็นผู้ให้คำแนะนำการเริ่มใช้งาน ส่วนแนวทางกํากับดูแลมีจุดมุ่งหมายเพื่อการคุ้มครองข้อมูลและสิทธิ์ของผู้บริโภคภายใต้กฎหมายทางการเงินที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น กฎหมาย Dodd-Frank และกฎหมาย Gramm-Leach-Bliley Act

  • สหภาพยุโรป: Open Banking อยู่ภายใต้คําสั่งว่าด้วยบริการชําระเงินฉบับปรับปรุง (PSD2) ซึ่งกําหนดให้ธนาคารต้องเปิดให้บุคคลที่สามสามารถเข้าถึงข้อมูลบริการธนาคารสําหรับผู้บริโภค ธุรกรรม และข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ผ่าน API หลังจากได้รับความยินยอมจากผู้บริโภคแล้ว

  • สหราชอาณาจักร: สหราชอาณาจักรกำหนดกฎระเบียบสำหรับ Open Banking ของตัวเอง ซึ่งคล้ายกับ PSD2 และอยู่ภายใต้การจัดการของหน่วยงานกำกับดูแลการใช้งานระบบ Open Banking (OBIE) ระเบียบข้อบังคับนี้มีโครงสร้างที่เป็นระบบมากกว่าและมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับวิธีที่ธนาคารและบุคคลที่สามติดต่อปฏิสัมพันธ์กัน

การใช้งาน

  • สหรัฐอเมริกา: การใช้งานเป็นไปโดยสมัครใจและแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบัน ธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งมี API พร้อมแล้วและทำงานร่วมกับบริษัทฟินเทค ในขณะที่ธนาคารอื่นๆ ปรับตัวและนำมาใช้ช้ากว่า

  • สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร: ธนาคารจําเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุง API ที่ TPP นำไปใช้สร้างบริการทางการเงินได้ ซึ่งการดำเนินการนี้จะอยู่ภายใต้มาตรฐานและการกํากับดูแลที่เข้มงวด

การเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภค

  • สหรัฐอเมริกา: การเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคเป็นไปตามหลักการให้ความยินยอมของผู้บริโภคภายใต้กฎหมายความเป็นส่วนตัวที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกให้กับระบบนิเวศ TPP น้อยกว่า

  • สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร: การคุ้มครองข้อมูลผู้บริโภคและการเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภคมีความสำคัญเท่าเทียมกัน

สิ่งที่ให้ความสำคัญและผลลัพธ์

  • สหรัฐอเมริกา: ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความสะดวกสบายของผู้บริโภคและความปลอดภัยของข้อมูลในบริการทางการเงินที่มีอยู่เดิม

  • สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร: ให้ความสำคัญกับการเพิ่มการแข่งขันและการลดค่าใช้จ่ายในภาคธุรกิจบริการทางการเงิน

การเข้าร่วมอุตสาหกรรม

  • สหรัฐอเมริกา: ไม่บังคับให้เข้าร่วม การเข้าร่วมจะเกิดขึ้นผ่านการเป็นพาร์ทเนอร์และการทำงานร่วมกัน ซึ่งบ่อยครั้งมักจะกำหนดโดยกลไกตลาด แนวทางบางอย่างที่อุตสาหกรรมริเริ่มขึ้นมา (เช่น มาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงิน) มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกัน

  • สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร: ธนาคารมีหน้าที่ต้องเข้าร่วมและปฏิบัติตามมาตรฐานกํากับดูแล ซึ่งบังคับใช้กับสถาบันทางการเงินทุกแห่งในรูปแบบเดียวกัน

ตลาด
สหรัฐอเมริกา
สหภาพยุโรป
สหราชอาณาจักร
ระยะของการกำกับดูแล
การพัฒนา กฎที่ CFPB เสนอสำหรับปี 2023 เป็นการเติบโตก้าวใหญ่ มั่นคง PSD2 จัดตั้งกรอบงานที่เชื่อมั่นได้สำหรับ Open Banking มั่นคง มาตรฐาน Open Banking เป็นแนวทางการปรับใช้
ความยินยอมของผู้บริโภค
ศูนย์กลางการแชร์ข้อมูล ผู้บริโภคเป็นผู้อนุมัติการเข้าถึงโดยบุคคลที่สามอย่างชัดเจน ศูนย์กลางการแชร์ข้อมูล มีกลไกการยินยอมที่มีประสิทธิภาพ ศูนย์กลางการแชร์ข้อมูล ผู้บริโภคสามารถควบคุมได้อย่างละเอียด
ขอบเขตข้อมูล
เริ่มต้นจากการมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลทางธนาคารของผู้บริโภค มีโอกาสขยายไปสู่ข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ในอนาคต ครอบคลุมข้อมูลทางการเงินที่หลากหลาย รวมถึงการเริ่มการชำระเงินและบริการข้อมูลบัญชี ครอบคลุมบริการและข้อมูลด้านการเงินในช่วงเท่าๆ กับสหภาพยุโรป
การจัดทำมาตรฐาน
กฎที่ CFPB เสนอมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างรูปแบบการแชร์ข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน การสร้างมาตรฐานที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็น การสร้างมาตรฐานที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็น
การนำไปใช้ในตลาด
การเกิดใหม่ ความสนใจจากฟินเทคและสถาบันทางการเงินแบบดั้งเดิมมีมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราการใช้งานสูง TPP จำนวนมากดำเนินงานในตลาดนี้ อัตราการใช้งานสูง Open Banking ได้กลายเป็นทางเลือกปกติสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจจำนวนมาก
การแข่งขัน
คาดว่า Open Banking จะช่วยเพิ่มการแข่งขันและกระตุ้นนวัตกรรมในบริการทางการเงิน Open Banking นำไปสู่การแข่งขันที่มากขึ้นและมีผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเกิดใหม่ตามมา Open Banking ได้ก่อให้เกิดมาร์เก็ตเพลสที่มีการแข่งขันสูงและนวัตกรรมฟินเทคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ความท้าทาย
หาจุดลงตัวระหว่างความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้บริโภคกับการเข้าถึงที่เปิดกว้าง ทำให้มั่นใจได้ถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง จัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจมี ทำให้มั่นใจว่าธนาคารแบบดั้งเดิมกับ TPP มีการแข่งขันที่ยุติธรรม จัดการการเปลี่ยนแปลงสำหรับธนาคารขนาดเล็ก รับมือกับข้อสงสัยที่ผู้บริโภคอาจมี

ประโยชน์ของ Open Banking สําหรับผู้บริโภคและธุรกิจ

Open Banking ช่วยปรับปรุงบริการด้านการเงิน สร้างโอกาสและสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ

สิทธิประโยชน์สําหรับผู้บริโภค

  • การจัดการทางการเงินส่วนบุคคล: Open Banking ช่วยให้ผู้บริโภครวบรวมข้อมูลทางการเงินจากหลายบัญชีไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งจะให้มุมมองทางการเงินแบบองค์รวมและช่วยอํานวยความสะดวกด้านการจัดงบประมาณ การติดตามค่าใช้จ่าย การกําหนดเป้าหมายทางการเงิน ตลอดจนบริการแนะนําการลงทุน

  • ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอัจฉริยะ: เมื่อใช้ Open Banking API บริษัทฟินเทคจะสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ เช่น เงินกู้ ประกันภัย และตัวเลือกการลงทุนที่ปรับตามความต้องการและโปรไฟล์ความเสี่ยงของผู้บริโภคแต่ละราย ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับอัตราดอกเบี้ยถูกลง อนุมัติวงเงินได้รวดเร็วขึ้น และเพิ่มระดับความพึงพอใจของลูกค้า

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: Open Banking มีฟีเจอร์การเงินดิจิทัลที่สะดวกและใช้งานง่าย เช่น การชําระเงินภายในคลิกเดียว การออมเงินอัตโนมัติ และข้อมูลเชิงลึกด้านการเงิน

  • ที่ปรึกษาหุ่นยนต์และการลงทุนอัตโนมัติ: Open Banking ช่วยให้ที่ปรึกษาด้านการเงินที่เป็นหุ่นยนต์เข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้คําแนะนําด้านการลงทุนมีความแม่นยํามากขึ้นและจัดการพอร์ตโฟลิโอให้นักลงทุนแบบอัตโนมัติได้

  • เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน: Open Banking ช่วยให้ผู้ที่เข้าถึงสินเชื่อได้จำกัดหรือบุคคลที่ไม่สามารถใช้บริการธนาคารแบบดั้งเดิมได้เท่าที่ควรสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ TPP จะขยายสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ให้กับประชากรได้ในวงกว้างโดยใช้แหล่งข้อมูลทางเลือกและอัลกอริทึมขั้นสูงมาประเมินใบสมัครเงินกู้และสินเชื่อ

สิทธิประโยชน์สำหรับทางธุรกิจ

  • โซลูชันการชําระเงิน: Open Banking ช่วยให้วิธีการชําระเงินรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากขึ้น ตัวอย่างเช่น TPP จะเริ่มการชําระเงินจากบัญชีผู้บริโภคได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาวิธีการแบบเก่าได้

  • การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน: การรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินจากหลายแหล่งช่วยให้ธุรกิจได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์เกี่ยวกับพฤติกรรม รูปแบบการใช้จ่าย และโปรไฟล์ความเสี่ยงของผู้บริโภค ซึ่งธุรกิจต่างๆ สามารถนําข้อมูลนี้ไปใช้จัดทำแคมเปญการตลาดแบบกําหนดเป้าหมายและปรับปรุงการบริการลูกค้าได้

  • โมเดลธุรกิจใหม่ๆ: Open Banking ช่วยส่งเสริมให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ในภาคธุรกิจการเงิน ธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่มฟินเทคต่างใช้ Open Banking API เพื่อสร้างแพลตฟอร์มและบริการมาทดแทนผลิตภัณฑ์ของสถาบันธนาคารแบบเก่า

  • การป้องกันการฉ้อโกงและการรักษาความปลอดภัย: Open Banking ช่วยให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปสามารถจําแนกธุรกรรมที่น่าสงสัยและป้องกันการฉ้อโกง ได้โดยการช่วยให้มองเห็นกิจกรรมทางการเงินอย่างครอบคลุมมากขึ้น

  • บริการทางการเงินที่ผสานรวมในตัว: Open Banking ช่วยให้ธุรกิจนอกภาคการเงินผสานบริการทางการเงินเข้ากับสินค้าหรือบริการของตนได้ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสามารถเสนอสินเชื่อแบบทันทีหรือผลิตภัณฑ์ประกันภัยในขั้นตอนการชําระเงิน ส่วนแอปการเดินทางแบบร่วมโดยสารก็สามารถให้บริการโซลูชันการชําระเงินในแอปได้

  • โซลูชันด้านการเงินสําหรับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME): SME จะได้รับประโยชน์จากโซลูชันที่ใช้ระบบ Open Banking เช่น การคาดการณ์กระแสเงินสด การออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ และสิทธิ์เข้าถึงตัวเลือกการจัดหาเงินทุนทางเลือก

  • ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: ธุรกิจที่หันมาใช้ระบบ Open Banking เป็นกลุ่มแรกๆ จะมีความได้เปรียบในการเสนอบริการทางการเงินอันล้ำสมัยที่เน้นลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด และกระตุ้นการเติบโตในระยะยาว

ความท้าทายในการใช้ Open Banking ในสหรัฐอเมริกา

การใช้ Open Banking ในสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง ได้แก่

  • ระเบียบข้อบังคับ: ระเบียบข้อบังคับของสหรัฐฯ ยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ แตกต่างจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร ที่ระเบียบข้อบังคับด้าน Open Banking เสถียรและอยู่ตัวแล้ว ความไม่แน่นอนนี้อาจส่งผลให้สถาบันการเงินและบริษัทฟินเทคบางแห่งไม่อยากลงทุนกับโครงการริเริ่มเกี่ยวกับ Open Banking

  • ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล: การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนกับ TPP จะทําให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้น มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ระเบียบข้อบังคับด้านการคุ้มครองข้อมูลที่รัดกุม และกลไกการให้ความยินยอมที่ชัดเจน จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและปกป้องข้อมูลจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการละเมิดข้อมูลได้

  • การสร้างมาตรฐานและการทํางานร่วมกัน: API และรูปแบบข้อมูลจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อให้สถาบันทางการเงินและ TPP ทั้งหลายทํางานร่วมกันได้ หากไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ก็อาจสร้างอุปสรรคทางเทคนิคและขัดขวางการพัฒนาระบบนิเวศ Open Banking

  • ระบบแบบเก่า: สถาบันทางการเงินหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาพึ่งพาระบบแบบเก่าที่ล้าสมัย ซึ่งอาจจะเข้ากับเทคโนโลยี Open Banking ไม่ได้ การอัปเกรดระบบเหล่านี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้

  • ความไว้วางใจจากผู้บริโภค: ผู้บริโภคอาจจะไม่ต้องการให้ข้อมูลทางการเงินกับ TPP เนื่องจากกังวลเรื่องการรักษาความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ดังนั้น อุตสาหกรรมจึงต้องให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับประโยชน์ของ Open Banking และสร้างแนวทางการแชร์ข้อมูลที่โปร่งใส

  • การแข่งขันและพลวัตของตลาด: Open Banking อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมธนาคารดั้งเดิม ส่งผลให้บริษัทฟินเทคและผู้เล่นนอกภาคธุรกิจธนาคารแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้น สถานการณ์นี้อาจทําให้สถาบันการเงินแบบเก่าเผชิญกับความท้าทาย โดยอาจต้องปรับโมเดลธุรกิจและลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

  • ความรับผิดและการจัดการความเสี่ยง: อุตสาหกรรมต้องกำหนดว่าใครคือผู้รับผิดชอบในกรณีที่เกิดการละเมิดข้อมูล การฉ้อโกง หรือปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระบบ Open Banking รวมทั้งต้องระบุความรับผิดอย่างชัดเจนเพื่อปกป้องผู้บริโภคและธุรกิจ

  • ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมและมอบความคุ้มครองอย่างสมดุล: มาตรฐานและระเบียบข้อบังคับของ Open Banking ต้องส่งเสริมสร้างสรรค์นวัตกรรมและปกป้องผู้บริโภคอย่างสมดุลกัน กล่าวคือ ระเบียบข้อบังคับควรจะยืดหยุ่นเพียงพอให้เกิดการทดลองและสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคด้วย

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับ Open Banking

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้จะช่วยให้คุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ Open Banking ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

  • เริ่มต้นใช้งานอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เริ่มด้วยโปรเจกต์นําร่อง โดยเน้นกรณีการใช้งานหรือกลุ่มลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง จากนั้นทดสอบ ปรับปรุง และปรับขนาดอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดความเสี่ยงและเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด

  • ความปลอดภัยของ API: ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม เช่น OAuth 2.0 ในการตรวจสอบสิทธิ์และอนุมัติ เข้ารหัสสําหรับการส่งข้อมูล และตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยเป็นประจําเพื่อระบุหาและแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ นอกจากนี้ควรออกแบบ API ให้ปรับเปลี่ยนและปรับขนาดได้เพื่อรับมือกับปริมาณการใช้งานและความต้องการที่เพิ่มขึ้น

  • ประสิทธิภาพของ API: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์และตรวจสอบติดตามที่มีประสิทธิภาพเพื่อติดตามประสิทธิภาพของ API ระบุปัญหาติดขัด และร่นระยะเวลาตอบกลับ ตลอดจนวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า และปรับแต่งข้อเสนอของคุณให้สอดคล้องกัน

  • ธรรมาภิบาลข้อมูลและกลไกการให้คํายินยอม: กําหนดนโยบายที่ชัดเจนสําหรับการเข้าถึง การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูล รวมทั้งขอความยินยอมอย่างชัดแจ้งและละเอียดจากลูกค้าก่อนแชร์ข้อมูลกับ TPP นอกจากนี้ควรกำหนดแนวทางปฏิบัติที่โปร่งใสสำหรับการแชร์ข้อมูลและทำให้ลูกค้าสามารถควบคุมข้อมูลของตัวเองได้

  • ประสบการณ์ของนักพัฒนา: สร้างเอกสารประกอบที่มีเนื้อหาครอบคลุม ตลอดจน SDK (ชุดเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์) และสภาพแวดล้อมแซนด์บ็อกซ์ เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชันและบริการต่อยอดจาก Open Banking API ของคุณได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ควรสร้างชุมชนของนักพัฒนาและมอบช่องทางขอการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมและการทํางานร่วมกัน

  • พาร์ทเนอร์ด้านฟินเทค การเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทฟินเทคจะช่วยเร่งกระบวนการปรับใช้ Open Banking ของคุณได้ เพราะคุณจะได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์เกี่ยวกับลูกค้า และการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของพาร์ทเนอร์มาช่วยพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ และขยายการเข้าถึงลูกค้า

  • การเปลี่ยนแปลงของระเบียบข้อบังคับ: ติดตามข้อกําหนดทางกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรมล่าสุดเกี่ยวกับ Open Banking เพื่อจะได้ปฏิบัติตามข้อกําหนดและคงไว้ซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขัน

  • การมีส่วนร่วมของลูกค้า: ให้ข้อมูลลูกค้าเกี่ยวกับประโยชน์ของ Open Banking และวิธีการที่คุณใช้และปกป้องข้อมูลของลูกค้า รวมทั้งแจ้งแนวทางการแชร์ข้อมูล กลไกการให้ความยินยอม และมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างกระชับและชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและนำไปใช้

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: ออกแบบอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและประสบการณ์ที่ใช้งานง่ายให้แก่ลูกค้า สร้างโซลูชัน Open Banking ที่เข้าถึงได้และใช้งานง่าย ซึ่งเชื่อมต่อการทํางานกับขั้นตอนการทํางานในปัจจุบัน

  • การทดลอง: Open Banking พัฒนาและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ควรเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อจะได้มอบบริการทางการเงินที่เหนือกว่า

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Issuing

Issuing

ระบบการให้บริการธนาคารสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพรูปแบบใหม่ แพลตฟอร์มที่ล้ำนวัตกรรม และองค์กรที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

Stripe Docs เกี่ยวกับ Issuing

ดูวิธีใช้ Stripe Issuing API สร้าง จัดการ และแจกจ่ายบัตรชำระเงินสำหรับธุรกิจของคุณ