การเรียกเก็บเงินถือเป็นหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญในการทำธุรกิจและเป็นขั้นตอนที่มีผลโดยตรงต่อกระแสเงินสดขององค์กร ระบบการเรียกเก็บเงินมักมีขั้นตอนต่างๆ เช่น การออกใบแจ้งหนี้ การส่งมอบเอกสารประกอบการชำระเงิน และการรับชำระเงินด้วยเช็คหรือโอนเงินเข้าบัญชี แม้กระบวนการนี้อาจดูเป็นเหมือนเรื่องทั่วไป แต่จริงๆ แล้วต้องปฏิบัติด้วยความแม่นยำสูง ทั้งในด้านการเตรียมเอกสารและการจัดการตั้งแต่ต้นจนจบ
บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียกเก็บเงินในประเทศไทย ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร การออกใบแจ้งหนี้ ไปจนถึงการติดตามการชำระเงิน และขอแนะนำตัวช่วยที่ทำให้ขั้นตอนการวางบิลเป็นไปได้ง่ายขึ้น
เนื้อหาหลักในบทความ
- การเรียกเก็บเงินในประเทศไทย
- การเตรียมเอกสารสำหรับการเรียกเก็บเงิน
- ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินในประเทศไทยมีอะไรบ้าง
- Stripe Billing ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร
การเรียกเก็บเงินในประเทศไทย
การเรียกเก็บเงิน หรือ การวางบิล (Billing) คือกระบวนการที่ผู้ให้บริการหรือผู้ขายสินค้าดำเนินงานทางเอกสารเพื่อแจ้งให้ผู้ซื้อหรือผู้ใช้บริการทราบถึงรายละเอียดการชำระเงินตามที่ตกลงกันไว้ เป็นกระบวนการสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็กหรือองค์กรขนาดใหญ่ก็ต้องมีระบบการเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง ช่วยป้องกันปัญหาเรื่องการชำระเงินล่าช้า อีกทั้งยังสามารถช่วยลดข้อผิดพลาดและข้อขัดแย้งระหว่างคู่ค้าได้อีกด้วย
ประเทศไทยยังมีการใช้เอกสารกระดาษและการชำระเงินด้วยเช็คกันอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ หน่วยงานราชการและองค์กรขนาดใหญ่ต่างๆ มักมีระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวดและซับซ้อนกว่าทั่วไป ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรมีความเข้าใจในขั้นตอนของระบบการเรียกเก็บเงิน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
การเตรียมเอกสารสำหรับการเรียกเก็บเงิน
การเตรียมเอกสารสำหรับการเรียกเก็บเงิน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "การวางบิล" เป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้การชำระเงินเป็นไปอย่างมีระบบแบบแผนและสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเอกสารหลักๆ ที่ใช้มีดังนี้
ใบแจ้งหนี้ (Invoice)
เอกสารเพื่อแจ้งยอดเงินที่ต้องชำระสำหรับสินค้าหรือบริการ
ควรจัดทำใบแจ้งหนี้ที่มีรายละเอียดครบถ้วน ดังนี้
- หมายเลขใบแจ้งหนี้ (Invoice No.)
- วันที่ออกเอกสาร
- ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขายและผู้ซื้อ
- รายการสินค้า/บริการ พร้อมรายละเอียด จำนวน หน่วย ราคา และราคารวม
- จำนวนเงินรวมก่อนภาษี, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)
- ยอดรวมสุทธิ
- เงื่อนไขการชำระเงิน (เช่น เครดิต 30 วัน หรือชำระทันที)
- ช่องทางการชำระเงิน (เช่น โอนผ่านบัญชีธนาคารหรือเช็ค)
ใบสั่งซื้อจากลูกค้า (Purchase Order)
เอกสารที่ผู้ซื้อออกให้กับผู้ขายเพื่อแสดงความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ ควรแนบใบสั่งซื้อไปกับเอกสารเรียกเก็บเงินเพื่อช่วยยืนยันว่าเป็นการซื้อขายตามข้อตกลง โดยในเอกสารจะระบุรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
- รายการสินค้า/บริการที่ต้องการซื้อ
- จำนวน
- ราคาต่อหน่วย
- ราคารวม
- วันที่จัดส่ง
- เงื่อนไขการชำระเงิน (เช่น เครดิต 30 วัน หรือชำระทันที)
- ข้อมูลของผู้ซื้อและผู้ขาย
ใบส่งสินค้า/ ใบส่งมอบงาน (Delivery Order/ Work Completion Form)
เอกสารเพื่อใช้ยืนยันว่ามีการส่งมอบสินค้าหรือบริการแล้ว โดยมีรายละเอียดสินค้าที่ตรงกับใบแจ้งหนี้ ดังนี้
- หมายเลขเอกสารและวันที่
- รายการสินค้าหรือบริการที่ส่ง
- จำนวนและหน่วยนับ
- ผู้รับของเซ็นรับ พร้อมวันที่รับ
- อ้างอิงเลขที่ใบสั่งซื้อ (ถ้ามี)
ใบกำกับภาษี (Tax Invoice)
เอกสารที่ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต้องออกให้กับผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ เพื่อให้ทราบถึงจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขาย
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อ (หากเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ)
- เลขที่ของใบกำกับภาษีและวันที่ออกใบกำกับภาษี
- รายละเอียดของสินค้าหรือบริการ
- มูลค่าสินค้าหรือบริการก่อนภาษี
- จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เรียกเก็บ
- มูลค่ารวมของทั้งรายการ (รวมภาษี)
เอกสารอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย (ถ้ามี) และสำเนาบัตรประชาชน (ในนามบุคคล) หรือหนังสือรับรองบริษัท เพื่อแสดงสิทธิ์ในการรับเงิน
ควรมีการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและเรียงลำดับเอกสารอย่างชัดเจนเพื่อให้ฝ่ายบัญชีของลูกค้าตรวจสอบได้ง่ายและลดโอกาสเอกสารตกหล่นหรือถูกตีกลับ นอกจากนี้ควรแนบสำเนาและเก็บต้นฉบับไว้เสมอ เพื่อเป็นหลักฐานในกรณีมีข้อโต้แย้งหรือจำเป็นต้องใช้ในการตรวจสอบย้อนหลัง
ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินในประเทศไทยมีอะไรบ้าง
ขั้นตอนการเรียกเก็บเงินหรือขั้นตอนการวางบิลนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ การดำเนินการ และข้อตกลงของคู่ค้าแต่ละราย ซึ่งโดยทั่วไปสามารถสรุปเป็นขั้นตอนหลักๆ ตามลำดับที่ต้องทำก่อนหลังได้ดังนี้
ตกลงเงื่อนไขการชำระเงิน
ตกลงเรื่องราคา, เงื่อนไขการจ่ายเงิน (เช่น เงินสด, เครดิต 30 วัน ฯลฯ), สัญญา, เงินมัดจำ, ค่าปรับล่าช้า และข้อตกลงทางธุรกิจต่างๆ แล้วระบุไว้ชัดเจนในใบเสนอราคาหรือสัญญา เพื่อป้องกันการโต้แย้งในภายหลัง
นัดวันวางบิล
ผู้ขายติดต่อกับลูกค้าหรือแผนกบัญชีของลูกค้าเพื่อนัดหมายวันวางบิลหรือสอบถามถึงรอบวันวางบิล เนื่องจากลูกค้าบางรายอาจมีรอบวางบิลเฉพาะ เช่น ทุกวันที่ 25 ของเดือน เมื่อนัดแนะวันแล้ว ก็สามารถส่งเอกสารทั้งหมดไปยังแผนกบัญชีหรือจัดซื้อของลูกค้าได้
จัดเตรียมเอกสารเรียกเก็บเงิน
(ตามรายละเอียดและขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ข้างต้น)
- ใบแจ้งหนี้ (Invoice)
- ใบสั่งซื้อจากลูกค้า (Purchase Order)
- ใบส่งของ / ใบส่งสินค้า
- ใบกำกับภาษี (Tax Invoice)
- เอกสารอื่นๆ เช่น หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย (ถ้ามี)
จัดส่งเอกสาร
ออกใบแจ้งหนี้ (Invoice) อย่างเป็นทางการ พร้อมแนบเอกสารเรียกเก็บเงินอื่นๆ และส่งมอบเอกสารให้ลูกค้าตามวิธีการจัดส่งเอกสารที่เหมาะสมหรือที่ได้มีการตกลงกันไว้
ตรวจสอบและยืนยันการรับเอกสาร
ลูกค้าจะลงนามรับเอกสารและลงวันที่รับเอกสารเพื่อเริ่มนับรอบการจ่ายเงิน ฝ่ายลูกค้าควรตรวจสอบความถูกต้องของใบแจ้งหนี้และเอกสารอื่นๆ เผื่อมีปัญหาหรือต้องการแก้ไขข้อมูลใด
ติดตามธุรกรรม (หากจำเป็น)
หากครบกำหนดชำระแล้วยังไม่ได้รับเงิน จะต้องมีการติดตามธุรกรรมโดยใช้วิธีโทรศัพท์ ส่งอีเมล หรือส่งจดหมายทวงถามอย่างเป็นทางการ ควรจัดเก็บบันทึกการติดตาม เช่น วันที่ติดตาม ชื่อผู้รับสาย และคำตอบที่ได้รับ เพื่อประกอบการดำเนินการในกรณีมีปัญหาตามมา และอาจพิจารณาเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีล่าช้า
รับชำระเงินและบันทึกบัญชี
จบกระบวนการวางบิล ผู้ขายรับเงินและบันทึกรายการในระบบบัญชีของบริษัทเพื่อปิดยอด เมื่อลูกค้าชำระเงินแล้ว ควรออกใบเสร็จรับเงิน (Receipt) เพื่อยืนยันว่าการชำระเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมทั้งจัดเก็บเอกสารการชำระไว้เป็นหลักฐานสำหรับการตรวจสอบและยื่นภาษี
Stripe Billing ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร
Stripe Billing ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินและบริหารจัดการลูกค้าได้ตามที่คุณต้องการ ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าง่ายๆ ไปจนถึงการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานและสัญญาที่ตกลงกันทางการขาย เริ่มรับชำระเงินแบบตามแผนล่วงหน้าจากทั่วโลกได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ด หรือใช้วิธีสร้างการผสานการทำงานแบบกำหนดเองโดยใช้ API
Stripe Billing สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
- เสนอราคาที่ยืดหยุ่น: ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้เร็วขึ้นด้วยโมเดลการตั้งราคาที่ยืดหยุ่น ซึ่งรวมถึงการคิดค่าบริการตามการใช้งาน แบ่งระดับ ค่าธรรมเนียมคงที่บวกการใช้งานเกิน และอีกมากมาย ระบบยังรองรับการใช้คูปอง การทดลองใช้ฟรี การแบ่งชำระตามสัดส่วน และส่วนเสริมที่ติดตั้งมาในตัว
- ขยายไปทั่วโลก: เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินด้วยการเสนอวิธีการชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ Stripe ยังรองรับวิธีการชำระเงินในแต่ละประเทศมากกว่า 100 วิธีและกว่า 135 สกุลเงิน
- เพิ่มรายได้และลดอัตราการเลิกใช้บริการ: เพิ่มการเก็บรายได้และลดการเลิกใช้บริการโดยไม่สมัครใจด้วย Smart Retries และระบบอัตโนมัติสำหรับกระบวนการกู้คืน เครื่องมือกู้คืนของ Stripe ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถกู้คืนรายได้กว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้เครื่องมือภาษีแบบโมดูลาร์ รายงานรายได้ และเครื่องมือข้อมูลของ Stripe เพื่อรวมระบบรายรับหลายระบบให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมผสานการทำงานกับซอฟต์แวร์ของบริษัทอื่นได้อย่างง่ายดาย
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Billing หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ