เมื่อลูกค้ารายหนึ่งของคุณซื้อสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ธุรกรรมไม่ได้สิ้นสุดลงตรงนั้น เพราะหลังจากขั้นตอนการอนุมัติบัตรแรกเริ่มสร็จสมบูรณ์ ธุรกรรมจะดําเนินการผ่านขั้นตอนการชําระเงิน ซึ่งระบบจะหักยอดจากการขายและฝากเข้าบัญชีธนาคารของคุณ ในฝั่งของลูกค้า ธุรกรรมผ่านบัตรจะปรากฏเป็นบรรทัดรายการในใบแจ้งยอดบัตรเครดิตและบัตรเดบิต บรรทัดรายการเหล่านี้อาจระบุชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินเอาไว้
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินสามารถป้องกันการดึงเงินคืนได้ เพราะช่วยให้ลูกค้าจำแนกบรรทัดรายการในใบแจ้งยอดบัญชีของตนเองได้ ต่อไปนี้คือคําอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน การแสดงชื่อผู้ค้าต่อลูกค้า รวมถึงวิธีใช้ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินเพื่อลดการดึงเงินคืน
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินคืออะไร
- ประเภทของชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน
- ชื่อผู้ค้าชั่วคราว
- ชื่อผู้ค้าถาวร
- ชื่อผู้ค้าแบบคงที่
- ชื่อผู้ค้าแบบไดนามิก
- ชื่อผู้ค้าชั่วคราว
- ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่ลูกค้าเห็น
- ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินกับข้อมูลอ้างอิงการชําระเงิน
- ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการดึงเงินคืนได้อย่างไร
- เคล็ดลับการตั้งชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน
ผลการสํารวจความคิดเห็นของผู้นําธุรกิจทั่วโลกครั้งล่าสุดพบว่า 38% ของธุรกิจสูญเสียยอดขายเนื่องจากระบบการเรียกเก็บเงินที่ไม่ยืดหยุ่น ดังนั้น โปรดศึกษาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการเรียกเก็บเงินเพื่อเร่งการเติบโตของรายรับในรายงานหัวข้อ ระบบการเรียกเก็บเงินส่งผลเสียต่อการเติบโตของคุณหรือไม่
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินคืออะไร
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินคือการระบุข้อความที่จะปรากฏในรายการเดินบัญชีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตของลูกค้า ชื่อดังกล่าวจะประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงิน ข้อมูลธุรกิจของคุณจะปรากฏในรายการเดินบัญชีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตของลูกค้า เช่นเดียวกับการเรียกเก็บเงินอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในรอบการเรียกเก็บเงินนั้น
ปกติแล้วธุรกิจต่างๆ จะสร้างชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินเมื่อเปิดบัญชีผู้ค้า และโดยทั่วไปแล้ว คําอธิบายการเรียกเก็บเงินของธุรกรรมทุกรายการจะยังคงเหมือนเดิม หรืออย่างน้อยก็สําหรับธุรกรรมทุกรายการที่เป็นประเภทเดียวกัน ธุรกรรมแต่ละรายการจะระบุโดยใช้หมายเลขอ้างอิงการชําระเงิน ซึ่งจะปรากฏพร้อมกับชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินในรายการเดินบัญชีของบัตร
ประเภทของชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ แบบชั่วคราวและแบบถาวร และจัดประเภทเป็นแบบคงที่หรือแบบไดนามิก
ชื่อผู้ค้าชั่วคราว
ชื่อผู้ค้าชั่วคราวแสดงว่าธุรกรรมอยู่ในสถานะรอดำเนินการ และจะปรากฏในบันทึกธุรกรรมออนไลน์ของเจ้าของบัตรทันทีที่บริษัทผู้ออกบัตรอนุมัติการเรียกเก็บเงิน และโดยทั่วไปจะเปลี่ยนเป็นชื่อผู้ค้าถาวรหลังจากธุรกรรมได้รับการชำระเงินแล้วชื่อผู้ค้าถาวร
นี่คือชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินถาวร ซึ่งจะใช้แทนที่ชื่อผู้ค้าชั่วคราวในรายการเดินบัญชีของเจ้าของบัตรเมื่อธุรกรรมได้รับการชําระเงินแล้ว ปกติแล้วอาจใช้เวลา 2-3 วันจึงจะแสดงในรายการเดินบัญชี รวมถึงยอดสุดท้ายที่เรียกเก็บชื่อผู้ค้าแบบคงที่
โดยทั่วไปแล้ว ชื่อผู้ค้าเหล่านี้จะระบุชื่อของธุรกิจเท่านั้นและเหมาะกับธุรกิจที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการรายการเดียว ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดบริษัท SaaS ที่เสนอผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ CRM เพียงอย่างเดียว ชื่อผู้ค้าในรายการเดินบัญชีแบบคงที่อาจเพียงพอที่จะช่วยให้ลูกค้าจำแนกการเรียกเก็บเงินจากบริษัทของคุณในรายการเดินบัญชีของบัตรได้ชื่อผู้ค้าแบบไดนามิก
ชื่อผู้ค้าแบบไดนามิกจะระบุรายละเอียดมากขึ้นในชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน โดยปกติแล้วชื่อผู้ค้าแบบไดนามิกจะประกอบด้วยข้อมูลต่อไปนี้- ชื่อบริษัท ย่อให้เหลือ 3 ตัวอักษร ตามด้วยเครื่องหมายดอกจัน
- คําอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- หมายเลขโทรศัพท์ของบริษัท
- ชื่อบริษัท ย่อให้เหลือ 3 ตัวอักษร ตามด้วยเครื่องหมายดอกจัน
ธุรกิจจะเลือกใส่รายละเอียดเหล่านี้บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับความสําคัญและพื้นที่ที่มี ชื่อผู้ค้าแบบไดนามิกมักจะยาวไม่เกิน 20-25 ตัวอักษร ต่อไป เราจะเจาะลึกเกี่ยวกับวิธีการตั้งชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดให้กับธุรกิจของคุณ
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่ลูกค้าเห็น
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินจะแสดงเป็นชื่อผู้ค้าชั่วคราวในรายการเดินบัญชีของบัตร ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อผู้ค้าถาวร ชื่อผู้ค้าชั่วคราวจะปรากฏขึ้นทันทีหลังจากธนาคารผู้ออกบัตรอนุมัติธุรกรรมและมักจะระบุว่าเป็นธุรกรรมที่รอดําเนินการ หลังจากนั้น ระบบจะแทนที่ชื่อผู้ค้าชั่วคราวด้วยชื่อผู้ค้าถาวรหลังจากธุรกรรมได้รับชำระเงินแล้ว ซึ่งปกติแล้วจะใช้เวลา 2-3 วัน
ชื่อผู้ค้าชั่วคราวอาจแสดงร่วมกับจํานวนเงินที่ต้องชําระที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งแตกต่างจากยอดเงินสุดท้ายที่เรียกเก็บ แต่ชื่อผู้ค้าถาวรจะแสดงร่วมกับยอดสุดท้ายเสมอ ตัวอย่างเช่น หากโรงแรมกันวงเงินบัตรเครดิตไว้ชั่วคราวเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายขณะที่แขกเข้าพัก การเรียกเก็บเงินนั้นอาจมีชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินเป็นชื่อหนึ่ง และการเรียกเก็บเงินครั้งสุดท้ายตอนเช็กเอาต์อาจจะมีชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินอีกชื่อหนึ่ง
สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูบทความของเราเกี่ยวกับกระบวนการอนุมัติการชําระเงินผ่านบัตร การหักยอด และการชําระเงิน
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินกับข้อมูลอ้างอิงการชําระเงิน
หมายเลขอ้างอิงการชําระเงินคือชุดตัวเลขและตัวอักษรที่ไม่ซ้ำกันที่ใช้จำแนกธุรกรรม ข้อมูลอ้างอิงการชําระเงินไม่ได้ใช้กับการชําระเงินด้วยบัตรอย่างเดียวเท่านั้น เพราะการโอนเงินผ่านธนาคารก็มีข้อมูลอ้างอิงการชําระเงินด้วยเช่นกัน ข้อมูลการอ้างอิงการชําระเงินจะประกอบด้วยตัวเลขและตัวอักษรแบบสุ่ม ซึ่งแตกต่างจากชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่ควรประกอบด้วยคําและตัวเลขที่คนจดจําได้
ข้อมูลอ้างอิงการชําระเงินไม่ได้ใช้ประโยชน์ในลักษณะเดียวกับชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน หากลูกค้าตรวจสอบรายการเดินบัญชีของตนและพบเห็นข้อมูลอ้างอิงการชําระเงิน ข้อมูลนั้นจะไม่บอกลูกค้าว่าพวกเขาซื้ออะไรและซื้อมาจากธุรกิจใด เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน แต่ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลอ้างอิงการชําระเงินเมื่อต้องแจ้งธนาคารเกี่ยวกับธุรกรรมที่ต้องการได้
ลูกค้าจะมีข้อมูลที่ใช้ในการจำแนกธุรกรรมและติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรของตน ซึ่งก็คือชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินกับข้อมูลอ้างอิงการชําระเงิน
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการดึงเงินคืนได้อย่างไร
ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพที่ธุรกิจสามารถใช้ป้องกันการดึงเงินคืน การดึงเงินคืนคือการปรับคืนเงินหลังจากซื้อสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ซึ่งจะดำเนินการเมื่อลูกค้ายื่นเรื่องโต้แย้งการเรียกเก็บเงินกับธนาคารหรือผู้ให้บริการบัตรเครดิต
สถานการณ์อย่างหนึ่งที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ลูกค้าขอดึงเงินคืนก็คือ ลูกค้าจําการเรียกเก็บเงินในรายการเดินบัญชีของบัตรไม่ได้ ดังนั้น การใช้ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่ระบุชื่อธุรกิจของคุณอย่างชัดเจนจะช่วยลดจํานวนการดึงเงินคืนที่ลูกค้าขอได้
แต่ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่รัดกุมก็ไม่สามารถป้องกันการดึงเงินคืนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีสาเหตุหลายประการที่ทําให้การดึงเงินคืนเกิดขึ้นและมีขั้นตอนมากมายที่คุณสามารถใช้ป้องกัน แต่การใช้ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่ชัดเจนเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ
เคล็ดลับการตั้งชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน
ถึงแม้ว่าชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินจะเป็นข้อความสั้นๆ แต่ก็มีแนวทางที่ควรพิจารณาก่อนที่จะตั้งชื่อผู้ค้า ต่อไปนี้คือแนวทางบางส่วนที่จะช่วยคุณสร้างชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่ดีที่สุดสําหรับธุรกิจของคุณ
ตั้งชื่ออย่างเรียบง่าย
ไม่ว่าคุณจะรวมอะไรไว้ในชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน โปรดใช้ภาษาที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา การตั้งชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินที่ดีควรใส่รายละเอียดให้มากที่สุดด้วยถ้อยคําและตัวอักษรที่น้อยที่สุดใช้ชื่อธุรกิจที่ผู้คนรู้จัก
ธุรกิจหลายแห่งมีชื่อทางการซึ่งจดทะเบียนบริษัท รวมถึงชื่อที่ลูกค้าจดจำได้ง่ายกว่า เมื่อตั้งชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงิน โปรดระบุชื่อธุรกิจที่ลูกค้าจะจําได้ ตัวอย่างเช่น หากบริษัทของคุณจดทะเบียนในชื่อ "Wax Creations, LLC" แต่คุณเป็นร้านเทียนที่ชื่อว่า "Creative Candels" คุณควรใช้ “Creative Candles” ในชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินใส่เว็บไซต์ของคุณ หากเกี่ยวข้อง
หากคุณมีธุรกิจอีคอมเมิร์ซและลูกค้ามีแนวโน้มที่จะจดจําชื่อเว็บไซต์ของคุณมากกว่าชื่อของธุรกิจ โปรดระบุชื่อเว็บไซต์ในชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินระบุหมายเลขโทรศัพท์
หากธุรกิจของคุณมีหมายเลขโทรศัพท์ของฝ่ายบริการลูกค้าที่มีพนักงานให้บริการเป็นประจําและติดต่อได้ง่าย ให้ระบุหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวในชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินเพื่อลดโอกาสที่ลูกค้าจะขอดึงเงินคืน แต่ควรใช้วิธีนี้เฉพาะในกรณีที่คุณมีฝ่ายบริการลูกค้าที่น่าเชื่อถือ มิเช่นนั้นอาจให้ผลตรงกันข้าม อย่าเสี่ยงให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ย่ำแย่ซ้ำสองจากการบริการลูกค้า
หากมองเผินๆ ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินอาจดูเหมือนจะไม่ได้มีความสําคัญอะไรมากนัก แต่รายละเอียดเหล่านี้จะช่วยธุรกิจเพิ่มความเชื่อมั่นและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้ บริษัทต่างๆ สามารถลดการดึงเงินคืน เพิ่มการรับรู้แบรนด์ และสร้างประสบการณ์ในการทำธุรกรรมที่เรียบง่าย เพียงแค่ปรับปรุงชื่อผู้ค้าให้กระชับและชัดเจน การใช้ชื่อผู้ค้าในการเรียกเก็บเงินอาจเป็นประโยชน์อย่างมากและส่งผลดีต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ทําให้ธุรกิจประสบความสําเร็จโดยรวม
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ