วิธีสร้างทีมการชำระเงิน

แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สามารถจัดโครงสร้างทีมเพื่อเปิดตัวและขยายธุรกิจการชำระเงินได้อย่างไร

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก อาทิ Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. เริ่มจากคำถาม 3 ข้อนี้
    1. คุณสร้างธุรกิจการชำระเงินขึ้นมาทำไม
    2. คุณจะผสานการทำงานการชำระเงินอย่างไร
    3. กลยุทธ์การชำระเงินของคุณคืออะไร
  3. วิธีจัดสรรพนักงานเข้าสู่ทีมการชำระเงิน
  4. สร้างผลิตภัณฑ์การชำระเงินของคุณ
    1. ผู้จัดการผลิตภัณฑ์
    2. นักออกแบบผลิตภัณฑ์และ UX
    3. วิศวกร
    4. นักวิเคราะห์ข้อมูล
  5. รองรับบริการชำระเงินตั้งแต่การปฏิบัติการ
    1. ผู้จัดการโปรแกรม
    2. ทีมสนับสนุนลูกค้า
    3. ที่ปรึกษาทางกฎหมาย
    4. ผู้จัดการฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงและผู้จัดการฝ่ายความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด
    5. ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน
  6. การเปิดตัวและสร้างรายได้จากการชำระเงิน
    1. ผู้จัดการฝ่ายการสร้างรายได้
    2. ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
    3. ทีมขาย
  7. Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง
  8. อภิธานศัพท์เกี่ยวกับการชำระเงิน

หนึ่งทศวรรษก่อนหน้า แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ถือว่าเป็น "SaaS 1.0" โดยนำเสนอบริการซอฟต์แวร์ที่ปรับให้เหมาะกับผู้ใช้และสร้างรายได้ประจำจากการสมัครใช้บริการของลูกค้า ปัจจุบัน แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วง "SaaS 2.0" นั่นคือเพิ่มบริการสนับสนุนการชำระเงินออนไลน์สำหรับลูกค้าเข้าไปด้วย การผสานการชำระเงินออนไลน์ไว้ในระบบช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของลูกค้าและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่องทางสร้างรายรับเพิ่มเติมจากการประมวลผลการชำระเงินที่สร้างขึ้นจะกลายเป็นรายได้เสริมที่แพลตฟอร์มจะได้รับจากการสมัครใช้บริการ

เมื่อเร็วๆ นี้ เกิดวิวัฒนาการในหมู่แพลตฟอร์มอีกครั้งเป็น "SaaS 3.0" โดยมีการเริ่มนำเสนอฟีเจอร์ระบบการเงินที่ผสานรวมในตัวเพิ่มเติมนอกเหนือจากการชำระเงิน เช่น บัตร การให้กู้ยืม และบัญชีการเงิน โมเดล Banking-as-a-service (BaaS) ได้ขยายชุดบริการทางการเงินที่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สามารถนำเสนอให้กับลูกค้าได้ ในขณะที่ลดทรัพยากรและเวลาที่ต้องใช้ในการพัฒนาและความซับซ้อนด้านกฎระเบียบ ในอนาคต แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่เปิดใช้งาน BaaS จะมีความพร้อมมากกว่าในการเป็นร้านค้าแบบครบวงจรสำหรับลูกค้าที่ต้องการรวมศูนย์การดำเนินงานของตนให้อยู่ที่ผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้เพียงรายเดียว

Stripe ได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มต่างๆ มากกว่า 10,000 แพลตฟอร์ม และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงว่าแพลตฟอร์มสามารถสร้างและเปิดตัวธุรกิจระบบชำระเงินและการเงินที่ผสานรวมในตัวได้อย่างไร แพลตฟอร์มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตระหนักดีว่าการสร้างธุรกิจการชำระเงินต้องใช้ชุดทักษะที่แตกต่างจากการสร้างธุรกิจซอฟต์แวร์ หลายแพลตฟอร์มจึงตั้งใจสร้างทีมการชำระเงินไว้ล่วงหน้า ฝังตัวอยู่ในองค์กรที่มีขนาดใหญ่ของตนและผสานรวมเข้ากับแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่ใช้อยู่ คู่มือนี้สรุปวิธีที่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของคุณควรใช้ในการเริ่มสร้างทีมขึ้นมาทำหน้าที่วางแนวทางและขยายธุรกิจการชำระเงินใหม่ของคุณ

นอกจากนี้เรายังได้จัดทำรายการคำศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในอุตสาหกรรมและคำจำกัดความ ดังนั้นหากไม่คุ้นเคยกับคำศัพท์ใดก็ตามในคู่มือนี้ คุณสามารถดูที่อภิธานศัพท์การชำระเงินได้

เริ่มจากคำถาม 3 ข้อนี้

หากจะออกแบบบริการชำระเงินที่เสริมกลยุทธ์ทางธุรกิจและโครงสร้างองค์กรที่มีอยู่เดิม คุณจำเป็นต้องตอบคำถามพื้นฐาน 3 ข้อดังนี้ให้ได้

  1. คุณสร้างธุรกิจการชำระเงินขึ้นมาทำไม
  2. คุณจะผสานการทำงานการชำระเงินอย่างไร
  3. กลยุทธ์การชำระเงินของคุณคืออะไร

คุณสร้างธุรกิจการชำระเงินขึ้นมาทำไม

แรงจูงใจในการสร้างธุรกิจการชำระเงินจะขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของธุรกิจ และความต้องการของลูกค้าเดิมและลูกค้าในอนาคต โดยทั่วไป เราพบว่าเป้าหมายด้านการชำระเงินของแพลตฟอร์มส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่หลักๆ ดังนี้

  • กระตุ้นการใช้งาน: หลายแพลตฟอร์มใช้การชำระเงินสร้างความแตกต่างระหว่างซอฟต์แวร์ของตนกับคู่แข่ง และเพิ่มการนำไปใช้ในหมู่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า ตัวอย่างเช่น Classy Pay โซลูชันการประมวลผลการชำระเงินที่ขับเคลื่อนโดย Stripe ช่วยให้ Classy มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นในองค์กรไม่แสวงผลกำไรทุกขนาด โดยเปิดให้ลูกค้าของ Classy สามารถเข้าถึงเครื่องมือการกระทบยอดที่ง่ายขึ้น ระบบการปกป้องจากการฉ้อโกงอีกระดับ และการเพิ่มรายรับ
  • ปรับปรุงการรักษาลูกค้า: คนอื่นๆ ได้เพิ่มฟีเจอร์การชำระเงินเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบันและปรับปรุงการรักษาลูกค้า เช่น Lightspeed เปิดตัว Lightspeed Payments เพื่อช่วยรวบรวมโซลูชันทางการเงินทั้งหมดที่ลูกค้าต้องการในการดำเนินธุรกิจ
  • เพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งาน: แพลตฟอร์มอื่นๆ ยังสร้างช่องทางสร้างรายรับใหม่และเพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าด้วยการสร้างรายได้จากบริการชำระเงินและบริการทางการเงิน ตัวอย่างเช่น หลังจากร่วมมือกับ Stripe เพื่อเปิดตัวแพลตฟอร์มการชำระเงินสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง Weave มีลูกค้าการชำระเงินเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และปริมาณการประมวลผลเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 37% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน

ไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายใด การร่วมกันกำหนดและทำความเข้าใจตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก (KPI) ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนตรงกัน จะช่วยให้ทีมชำระเงินของคุณติดตามความคืบหน้าและมีส่วนรับผิดชอบตัวบ่งชี้เหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่อง

คุณจะผสานการทำงานการชำระเงินอย่างไร

เพื่อควบคุมประสบการณ์การชำระเงินแบบครบวงจร บางแพลตฟอร์มอาจคิดที่จะเป็นผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชำระเงินเต็มรูปแบบในตอนแรก แต่ในไม่ช้าก็พบว่าหากจะเดินบนเส้นทางนี้ก็ต้องรับผิดชอบระบบการเริ่มต้นใช้งานของลูกค้า การประเมินและควบคุมความเสี่ยง การจัดการการโต้แย้งการชำระเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนด การสนับสนุน แดชบอร์ดลูกค้า การรายงาน และระบบอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อพิจารณาจากเวลา ทรัพยากร และต้นทุนทางการเงินที่ต้องใช้ในการเป็นผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชำระเงิน หลายแพลตฟอร์มจึงเลือกที่จะทำงานร่วมกับผู้ให้บริการชำระเงินแทน โดยต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานของตนเพื่อนำเสนอบริการและโซลูชันการชำระเงิน

ท้ายที่สุดแล้ว การจัดสรรทรัพยากรให้กับทีมการชำระเงินของคุณจะขึ้นอยู่กับเส้นทางการผสานการทำงานที่คุณเลือก ตัวอย่างเช่น คุณอาจตัดสินใจที่จะรองรับผู้ประมวลผลการชำระเงินหลายราย เพื่อให้ลูกค้าสามารถผสานการทำงานผู้ประมวลผลที่ตนใช้อยู่บนแพลตฟอร์มของคุณได้ ในกรณีนี้ แม้ว่าผู้ประมวลผลการชำระเงิน (แทนที่จะเป็นทีมของคุณเอง) จะรับผิดชอบต่อความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด แต่ทีมวิศวกรของคุณเองก็ต้องสร้างการผสานรวม นักออกแบบต้องออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้ และทีมสนับสนุนลูกค้าของคุณต้องสำรวจปัญหาที่เกิดขึ้นในการผสานการทำงาน

กลยุทธ์การชำระเงินของคุณคืออะไร

ไม่มีกลยุทธ์การชำระเงินใดที่จะตอบโจทย์ได้ทั้งหมด กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณจะขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่คุณนำเสนอ โมเดลธุรกิจ และเป้าหมายเฉพาะของคุณ สิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนจ้างทีมงานใหม่คือระบุให้ได้อย่างชัดเจนว่าระบบการชำระเงินเหมาะสมอย่างไรกับคุณค่าที่คุณนำเสนอโดยรวมและจุดยืนในการแข่งขัน คุณควรชี้แจงให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในเข้าใจคำตอบสำหรับคำถามสำคัญสองสามข้อเหล่านี้

  • คุณให้บริการกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใด บริการชำระเงินที่นำเสนอช่วยให้คุณให้บริการลูกค้าปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้นหรือชิงส่วนแบ่งลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ไหม
  • ลูกค้ามาหาคุณเพื่อแก้ปัญหาใด บริการชำระเงินจะช่วยเสริมบริการที่คุณนำเสนออยู่หรือไม่
  • คู่แข่งของคุณนำเสนออะไร บริการชำระเงินจะช่วยให้คุณสร้างความแตกต่างได้หรือไม่
  • บริการชำระเงินจะสร้างจุดยืนให้คุณใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแบบที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ได้อย่างไร

วิธีจัดสรรพนักงานเข้าสู่ทีมการชำระเงิน

เมื่อคุณกำหนดเป้าหมาย แนวทาง และกลยุทธ์การชำระเงินเรียบร้อยแล้ว คุณก็สามารถเริ่มวางโครงสร้างองค์กรของทีมการชำระเงินได้ ไม่ว่าทีมการชำระเงินจะแบ่งเวลาไปทำส่วนอื่นๆ ของธุรกิจด้วยหรือมุ่งเน้นเรื่องการชำระเงินเพียงอย่างเดียว ก็ควรจัดโครงสร้างทีมตามหน้าที่หลัก 3 ด้านดังนี้

  • สร้างผลิตภัณฑ์การชำระเงิน: กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์จะสร้างกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และนำไปออกแบบและเขียนโค้ด ตลอดจนทดสอบและทำซ้ำเพื่อให้ผลิตภัณฑ์เหมาะสมกับตลาดเสมอ
  • สนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจการชำระเงิน: ทีมปฏิบัติการจะดำเนินธุรกิจการชำระเงิน ตอบคำถามของลูกค้า จัดการความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในและพาร์ทเนอร์ภายนอก และลดความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด
  • เปิดตัวและสร้างรายได้จากการชำระเงิน: ทีมการเข้าสู่ตลาดจะออกแบบการเปิดตัวที่น่าสนใจและเจาะตลาดให้ได้มากขึ้นด้วยทีมขายที่ศึกษามาเป็นอย่างดี โมเดลการสร้างรายได้ที่พร้อมแข่งขัน และการเปิดรับความเห็นจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
Guides > Build a payments team > Team structure image

สร้างผลิตภัณฑ์การชำระเงินของคุณ

ทีมผลิตภัณฑ์ของคุณไม่เพียงต้องรับผิดชอบในการสร้างและผสานการทำงานระบบการชำระเงินเข้ากับแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่ยังต้องขยายและดูแลรักษาผลิตภัณฑ์การชำระเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างความแตกต่างให้กับซอฟต์แวร์หลักของแพลตฟอร์ม ทีมนี้ซึ่งประกอบด้วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ นักออกแบบ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และนักวิเคราะห์ข้อมูลจะต้องกำหนดแผนงาน การนำไปใช้ และประสบการณ์ของผู้ใช้ของผลิตภัณฑ์การชำระเงิน

ผู้จัดการผลิตภัณฑ์

สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับคุณคือการจ้างผู้จัดการผลิตภัณฑ์การชำระเงินมาทำหน้าที่ขับเคลื่อนกลยุทธ์การชำระเงินและรับผิดชอบในการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาด ด้วยความรับผิดชอบนี้และการต้องสร้างความร่วมมือข้ามสายงาน ผู้รับผิดชอบผลิตภัณฑ์การชำระเงินนี้จึงต้องมีพื้นฐานความรู้ที่กว้างขวาง ได้แก่

  • ประสบการณ์ในด้านเทคนิคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การชำระเงิน: ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ต้องรับผิดชอบออกแบบโครงสร้างบัญชี สร้างกระแสเงินทุน และตั้งเวลาการเบิกจ่ายร่วมกับสถาปนิกผู้ออกแบบโซลูชัน ด้วยความช่วยเหลือของทีมวิศวกร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์จะจัดเตรียม API และ SDK, เอกสารประกอบ และฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพให้ลูกค้าใช้กำหนดค่าผลิตภัณฑ์การชำระเงินของคุณ
  • ความรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์หน่วยการชำระเงิน: เพื่อลดต้นทุนของธุรกิจ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ควรคุ้นเคยกับค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร ค่าธรรมเนียมการโต้แย้งการชำระเงิน และค่าใช้จ่ายเฉพาะทางภูมิศาสตร์ ความรู้นี้จะยังจะช่วยในการวางกลยุทธ์ค่าบริการด้วย
  • ความคุ้นเคยกับระเบียบการชำระเงินและระบบการเงิน: ห่วงโซ่คุณค่าของบริการชำระเงินเกี่ยวข้องกับธนาคารผู้รับบัตร ธนาคารผู้ออกบัตร เครือข่ายบัตร และเกตเวย์การชำระเงิน แต่ละประเทศมีกฎและข้อจำกัดที่แตกต่างกันซึ่งควบคุมผู้เล่นเหล่านี้ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์จะต้องติดตามให้ทันข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับผู้เล่นและกฎระเบียบเหล่านี้เพื่อทำงานร่วมกับทีมกฎหมาย ความเสี่ยง และการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การรับรู้ถึงแนวโน้มการชำระเงินและวิธีการชำระเงินที่เกิดขึ้นใหม่: การติดตามฟังก์ชันและวิธีการชำระเงินใหม่ๆ จะช่วยให้ส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าได้ง่ายขึ้นและก้าวทันความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้จัดการผลิตภัณฑ์จะใช้ความรู้ดังกล่าวเพื่อสร้างแผนงานและแผนการทดลองที่ช่วยเพิ่มคุณค่าที่แพลตฟอร์มนำเสนอ เพิ่มการใช้งาน และรักษาความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์กับตลาด

นักออกแบบผลิตภัณฑ์และ UX

สายงานออกแบบจะวางแผนและออกแบบเส้นทางการชำระเงินของลูกค้า ขั้นตอนแรกของนักออกแบบผลิตภัณฑ์หรือ UX มักเป็นขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งาน โดยทำงานร่วมกับนักวิจัย UX เพื่อสัมภาษณ์ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าและวางแผนประสบการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วออกแบบประสบการณ์เริ่มต้นใช้งานที่ง่ายสำหรับลูกค้า ในขณะเดียวกันก็รักษาสมดุลกับระเบียบข้อบังคับ ข้อกำหนดทางกฎหมาย และข้อกำหนดด้านความเสี่ยงไปด้วย นอกจากนี้ ทีมออกแบบยังสร้างแดชบอร์ด หน้าจอ และข้อความที่ลูกค้าเห็นหลังจากได้รับการอนุมัติแล้วโดยอิงตามกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การชำระเงิน ประสบการณ์เหล่านี้อาจช่วยให้ลูกค้าสามารถดูรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพการชำระเงินของตน ติดตามการเบิกจ่าย หรือจัดการการโต้แย้งการชำระเงินและการคืนเงินได้ ทีมออกแบบควรสร้างมาตรฐานประสบการณ์ผู้ใช้ของลูกค้า รวมถึงประสบการณ์การชำระเงินหรืออีเมลยืนยันการชำระเงิน

วิศวกร

ด้วยการวางแผน สร้าง ทดสอบ และปรับใช้เวอร์ชันต่างๆ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแง่มุมด้านเทคนิคของการพัฒนาและบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์การชำระเงิน คุณจะต้องมีวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างการผสานการทำงาน สร้างประสบการณ์ของผู้ใช้ และการเพิ่มประสิทธิภาพซ้ำ ผลิตภัณฑ์การชำระเงินจะต้องมีการผสานการทำงานไม่เพียง แต่กับเกตเวย์การชำระเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบธุรกิจ เช่น ERP, CRM และซอฟต์แวร์บัญชีด้วย วิศวกรการชำระเงินจะแปลงแบบจำลองของทีมออกแบบให้เป็นประสบการณ์การเริ่มต้นใช้งานของลูกค้าและแดชบอร์ดที่มีประสิทธิภาพให้ลูกค้าสามารถใช้จัดการธุรกิจของตน เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ทั้งหมด ผลิตภัณฑ์การชำระเงินของคุณต้องพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วิศวกรจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินและการอนุมัติ ตลอดจนอัปเดตระบบที่จำเป็นเพื่อรองรับรูปแบบการสร้างรายได้ใหม่ๆ

นักวิเคราะห์ข้อมูล

สายงานข้อมูลจะช่วยตอบสนองความต้องการด้านข้อมูลทั้งของลูกค้าและธุรกิจ นักวิเคราะห์ข้อมูลมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานข้อมูลการชำระเงิน รวมถึง API และตารางข้อมูลที่ใช้ในการนำเข้าข้อมูลจากเกตเวย์การชำระเงินของลูกค้า เนื่องจากข้อมูลการชำระเงินเป็นข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน ทีมข้อมูลจึงควรกำหนดกระบวนการที่ควบคุมวิธีจัดการ ปกป้อง และกู้คืนข้อมูลการชำระเงินด้วย นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ข้อมูลการชำระเงินยังมักจะต้องตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพในเกตเวย์การชำระเงิน และเพื่อรองรับการกำหนดเส้นทางอัจฉริยะสำหรับลูกค้าที่ใช้เกตเวย์หลายตัว

ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการชำระเงินอื่นๆ ยังอาจต้องอาศัยทีมข้อมูลในการสนับสนุนสายงานของตน ตัวอย่างเช่น ทีมการเงินและบัญชีจะทำงานร่วมกับนักวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ระบบที่วางไว้สามารถนำเข้าข้อมูลการชำระเงินได้อย่างถูกต้อง นักการตลาดของบริการชำระเงินจะต้องการติดตามประสิทธิภาพของกลยุทธ์กระตุ้นการนำไปใช้และการสร้างรายได้ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์การชำระเงินต้องการรายงานผลการดำเนินงานของธุรกิจการชำระเงิน ส่วนทีมความเสี่ยงก็อาจขอให้ทีมข้อมูลช่วยเหลือในการสร้างโมเดลการฉ้อโกง

รองรับบริการชำระเงินตั้งแต่การปฏิบัติการ

การชำระเงินอาจเป็นแง่มุมหนึ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดสำหรับธุรกิจของลูกค้า คุณจำเป็นต้องสร้างทีมปฏิบัติการที่เชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนลูกค้าของคุณ เช่น ในขณะที่ลูกค้ากำลังเริ่มต้นใช้บริการ และต้องปฏิบัติตามภาระหน้าที่ด้านความเสี่ยง กฎหมาย และข้อบังคับ ทีมปฏิบัติการนี้จะช่วยให้องค์กรมีความก้าวหน้าเกี่ยวกับกฎต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน รวมถึงมาตรฐานการประเมินและควบคุมความเสี่ยง การให้คะแนนความเสี่ยง และการลดการฉ้อโกง ซึ่งได้แก่ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำความรู้จักลูกค้า (KYC) การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI การปฏิบัติตามข้อกำหนดของผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชำระเงิน และภาระหน้าที่ทางภาษี

ผู้จัดการโปรแกรม

หน้าที่สำคัญที่สุดของผู้จัดการโปรแกรมควรเป็นการสร้างความสอดคล้องเบื้องหลังการทำงานของโปรแกรมการชำระเงิน โดยการหมั่นจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกองค์กรการชำระเงิน เมื่อพิจารณาจากจำนวนพาร์ทเนอร์ด้านการเงินที่จำเป็นในการดำเนินการในงานการชำระเงิน ผู้จัดการโปรแกรมสามารถทำหน้าที่เป็นช่องทางติดต่อหนึ่งเดียวเพื่อจัดการความสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์เหล่านั้น หากแพลตฟอร์มของคุณตัดสินใจที่จะขยายไปสู่ต่างประเทศ ผู้จัดการโปรแกรมสามารถขับเคลื่อนการเข้าถึงธนาคารผู้ออกบัตรที่มีศักยภาพได้ หากแพลตฟอร์มของคุณรองรับเกตเวย์การชำระเงินหลายช่องทาง ผู้จัดการโปรแกรมสามารถประสานงานกับเกตเวย์เหล่านั้น เพื่อแก้ไขปัญหาและความขัดข้องได้อย่างรวดเร็วหากเกิดขึ้น

ตัวอย่างสายงานสำคัญของผู้จัดการโปรแกรม ได้แก่ การพัฒนา KPI สำหรับทีมการชำระเงิน, การออกแบบ (และพัฒนา) โครงสร้างของทีม และการออกแบบกระบวนการภายในใหม่เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานของทีม นอกจากนี้ ผู้จัดการโปรแกรมยังอาจต้องสนับสนุนผู้จัดการผลิตภัณฑ์การชำระเงินด้วยการศึกษาวิจัยเพื่อเสริมสร้างกรณีธุรกิจของตน หรือสนับสนุนนักการตลาดผลิตภัณฑ์การชำระเงินด้วยการจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัว

ทีมสนับสนุนลูกค้า

แม้จะมีทีมสนับสนุนลูกค้าอยู่แล้ว แต่แพลตฟอร์มของคุณก็มักจะต้องมีทรัพยากรไว้จัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินโดยเฉพาะ เมื่อเริ่มต้นใช้งาน ลูกค้าจะต้องการความช่วยเหลือจากฝ่ายสนับสนุนลูกค้า และทีมของคุณควรเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถามที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

  • จะเพิ่มบัญชีธนาคารสำหรับเงินฝากได้อย่างไร
  • ทำไมยังไม่ได้รับยอดเงินที่เบิกจ่ายครั้งแรก
  • ควรจัดการกับการโต้แย้งการชำระเงินอย่างไร
  • จะถูกเรียกเก็บเงินเท่าใดสำหรับการชำระเงิน
  • จะหาใบแจ้งยอดได้จากที่ใด

ที่ปรึกษาทางกฎหมาย

ไม่ว่าคุณจะจ้างบุคลากรมาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะหรือทำงานกับหน่วยงานด้านกฎหมายที่แพลตฟอร์มมีอยู่แล้ว ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของคุณจะต้องค่อยติดตามกฎหมายและข้อบังคับล่าสุดที่เกี่ยวข้องและมีผลกำกับดูแลอุตสาหกรรมบริการทางการเงินและการชำระเงินอยู่ เพื่อให้คำแนะนำทางกฎหมายแก่สมาชิกในทีมการชำระเงิน ตัวอย่างเช่น ฝ่ายกฎหมายอาจร่วมมือกับฝ่ายจัดการโปรแกรมเพื่อขอใบอนุญาตผู้ส่งเงินหรือตรวจสอบสัญญากับเกตเวย์การชำระเงิน หากคุณตัดสินใจที่จะสร้างแบรนด์ฟังก์ชันการชำระเงินของคุณเองขึ้นมา สิ่งที่มาพร้อมกันคือภาระด้านกฎระเบียบที่มากขึ้นสำหรับแพลตฟอร์ม และที่ปรึกษาทางกฎหมายของคุณควรมีบทบาทสำคัญในการร่างเอกสารสัญญาระหว่างแพลตฟอร์มกับลูกค้า

ผู้จัดการฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงและผู้จัดการฝ่ายความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด

ความเสี่ยงในการเพิ่มผลิตภัณฑ์การชำระเงินเข้ามาในธุรกิจของคุณนั้นใช่ว่าจะมองข้ามได้ ธุรกิจการชำระเงินไม่เพียงแต่ต้องจัดการความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงและเครดิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้วย แม้ว่าแพลตฟอร์มขนาดเล็กอาจจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ได้ด้วยทรัพยากรอย่างเดียว แต่แพลตฟอร์มขนาดใหญ่จะตอบโจทย์นี้ได้ดีกว่าหากจ้างผู้จัดการฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงและผู้จัดการฝ่ายความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนดมาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ

การผสานการทำงานของบริการชำระเงินเข้ากับแพลตฟอร์มของคุณหมายถึงแบกรับความรับผิดทางการเงินสำหรับธุรกรรมทั้งหมดที่เริ่มต้นโดยลูกค้าของคุณ รวมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้าและความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงโดยผู้ใช้ของลูกค้า ผู้จัดการฝ่ายป้องกันการฉ้อโกงการชำระเงินจะใช้โมเดลและกระบวนการจัดการความเสี่ยงในเชิงรุกเพื่อป้องกันการฉ้อโกงและการฟอกเงิน โดยช่วยออกแบบกระบวนการเริ่มต้นใช้งานและการประเมินและควบคุมความเสี่ยง รวมถึงสร้างการควบคุมความเสี่ยงและเกณฑ์ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในแพลตฟอร์มของคุณ ทีมความเสี่ยงจะต้องคอยตรวจสอบธุรกรรมเพื่อหาความผิดปกติและแบ่งกลุ่มลูกค้าตามโปรไฟล์ความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยที่คำนึงถึงความแตกต่างและลักษณะพิเศษยิบย่อยประจำอุตสาหกรรมของลูกค้าไปด้วย

เนื่องจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายเงิน หลายประเทศจึงใช้ระเบียบข้อบังคับที่ออกแบบมาเพื่อพลเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ ตลอดจนระบบการเงินโลก ผู้จัดการฝ่ายความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทำหน้าที่ดูแลให้องค์กรก้าวทันภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป และผสานรวมภาระผูกพันในการปฏิบัติตามข้อกำหนดการชำระเงินเข้ากับการควบคุมและนโยบายการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ใช้กับแพลตฟอร์มของคุณดังนี้

  • ภาระผูกพันที่จะต้องมีกระบวนการ "Know Your Customer" (KYC): เมื่อลูกค้าเริ่มต้นใช้งาน คุณอาจต้อง "รู้จักลูกค้า" โดยเก็บข้อมูลบางอย่าง (เช่น หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี) และดำเนินการตรวจสอบ (เช่น ตรวจสอบยืนยันตัวตน) เพื่อตรวจสอบว่าธุรกิจของลูกค้าตรงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
  • ข้อกำหนดว่าด้วยถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency): ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางอินเดียได้กำหนดให้ข้อมูลการชำระเงินสำหรับธุรกรรมที่ประมวลผลผ่านผู้ให้บริการชำระเงินหรือตัวกลางของอินเดียต้องจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลและเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในอินเดียเท่านั้น
  • มาตรฐานการรักษาความปลอดภัย:ในปี 2006 Visa, Mastercard, American Express, Discover และ JCB ได้เริ่มดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายมาตรฐานเดียวกัน นั่นคือมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล PCI (หรือรู้จักกันในชื่อ PCI DSS) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการป้องกันในระดับมาตรฐานสำหรับผู้บริโภคและธนาคารในยุคอินเทอร์เน็ต

ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน

ธุรกิจการชำระเงินอาจมีแหล่งรายรับใหม่หลายแหล่ง ได้แก่ รายรับจากธุรกรรมแต่ละรายการ รวมถึงรายรับจากบริการเสริม เช่น การวิเคราะห์และการสมัครใช้บริการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการสร้างรายได้ เมื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์การชำระเงินเป็นครั้งแรก ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระแสรายรับจากบริการชำระเงินไหลผ่านระบบบัญชีของแพลตฟอร์ม เพื่อให้การรายงานทางการเงินถูกต้อง ครบถ้วน และเหมาะสมกับเวลา เมื่อธุรกิจการชำระเงินของคุณเติบโตขึ้น ทีมบัญชีและการเงินจะช่วยรักษาความเชื่อมโยงระหว่างระบบการชำระเงินต้นทางกับระบบบัญชีปลายทาง ติดตามความสามารถในการทำกำไรของโปรแกรมการชำระเงินเมื่อเวลาผ่านไป และช่วยในการยื่นภาษีตามกฎและอัตราของประเทศและรัฐต่างๆ

การเปิดตัวและสร้างรายได้จากการชำระเงิน

เมื่อผลิตภัณฑ์ของคุณถูกสร้างขึ้นและระบบปฏิบัติการพร้อมใช้งานแล้ว ทีมดูแลการเข้าสู่ตลาดก็จะสามารถสร้างรายได้ เปิดตัว และขยายการชำระเงินของคุณได้ องค์ประกอบของส่วนงานที่ดูแลเข้าสู่ตลาดของคุณจะขึ้นอยู่กับโมเดลการหาลูกค้าของคุณโดยเฉพาะ หากคุณวางแผนที่จะกระตุ้นให้ลูกค้าลงทะเบียนออนไลน์ ก็อาจต้องพึ่งพาทีมการตลาดเป็นหลัก แต่ถ้าหากคุณใช้แนวทางแบบให้บริการดูแลเป็นพิเศษเพื่อระบุและให้ลูกค้าใหม่เริ่มต้นใช้งาน การสร้างทีมขายด้านการชำระเงินที่มีความรู้จะเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาวงจรข้อเสนอแนะอย่างต่อเนื่องระหว่างลูกค้าของคุณกับทีมภายใน จะช่วยให้ทีมดูแลการเข้าสู่ตลาดพัฒนาประสบการณ์และจุดประกายให้กับการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้ต่อเนื่อง

ผู้จัดการฝ่ายการสร้างรายได้

ทีมการตลาดผลิตภัณฑ์และทีมการจัดการผลิตภัณฑ์ควรรับผิดชอบการวางกลยุทธ์การกำหนดค่าบริการร่วมกัน ก่อนที่จะจำกัดโมเดลการสร้างรายได้ให้แคบลง ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์การชำระเงินจะศึกษาว่าลูกค้าใช้วิธีใดในการวัดคุณค่าและตรวจสอบทางเลือกอื่นที่เป็นคู่แข่ง ส่วนผู้จัดการผลิตภัณฑ์จะพิจารณาต้นทุนของธุรกิจไปด้วยเพื่อชั่งน้ำหนักว่าระบบภายในที่มีอยู่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับกลไกการสร้างรายได้ต่างๆ หรือไม่ดังนี้

  • ธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร: หากคุณเสนอผลิตภัณฑ์บัตร คุณอาจสามารถได้รับส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมด้วยบัตรทุกครั้ง
  • การให้กู้ยืม: คุณสามารถสร้างรายได้ด้วยการเสนอเงินกู้และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการกู้ยืมและดอกเบี้ยได้
  • รับค่าธรรมเนียมจากเงินที่ฝากไว้: หากคุณอนุญาตให้ลูกค้าเก็บเงินไว้ในระบบได้ คุณสามารถรับค่าธรรมเนียมเป็นส่วนแบ่งจากเงินที่ฝากไว้ได้ โดยคุณอาจหักยอดรายรับทั้งหมดนี้ไว้เอง แบ่งปันกับลูกค้า หรือใช้การผสมผสานของทั้ง 2 แบบนี้ได้
  • การสมัครใช้บริการหรือค่าบริการ: เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็นประจำตามรอบบิลหรือแผนสมาชิกเพื่อแลกกับการเข้าถึงข้อเสนอหรือบริการของคุณ
  • บวกค่าธรรมเนียมเพิ่มสำหรับบริการโอนย้ายเงิน: บวกค่าใช้จ่ายเพิ่มจากต้นทุนสำหรับบริการโอนย้ายเงินต่างๆ (เช่น การเข้าถึงเงินแบบเร่งด่วน การโอนเงินต่างชาติ การแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ฯลฯ)

แม้ว่าวิธีการเหล่านี้จะสร้างรายได้จากฟีเจอร์และบริการใหม่ของคุณโดยตรง แต่อีกทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณาคือการขึ้นราคาค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มโดยรวมของคุณ เพราะท้ายที่สุด แพลตฟอร์มของคุณก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้อยู่แล้วด้วยการนำเสนอการชำระเงินและบริการทางการเงิน

ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์

ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์การชำระเงินควรทำหน้าที่สร้างและใช้กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ทีมการตลาดจะกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จุดยืนของแบรนด์ และสารที่ต้องการจะสื่อถึงลูกค้าผ่านการศึกษาวิจัยลูกค้าและคู่แข่ง หากแพลตฟอร์มของคุณเลือกกระตุ้นการลงทะเบียนผ่านแนวทางการบริการตนเอง นักการตลาดของคุณจะสร้างความต้องการตั้งแต่ต้นกระบวนการผ่านช่องทางสื่อแบบชำระเงิน ได้มาฟรี และเป็นเจ้าของเอง หากคุณเน้นพึ่งพาทีมขายมากกว่า ทีมการตลาดควรมีบทบาทสำคัญในการสร้างการฝึกอบรมและหลักประกันเพื่อให้ทีมขายของคุณสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์การชำระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การชำระเงินครั้งแรก ทีมการตลาดของคุณจะประกาศการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มการเจาะกลุ่มลูกค้าด้วยโปรโมชันการตลาด และทดลองกลยุทธ์ทางการตลาดและการรับรู้ต่อไปเพื่อดูว่าวิธีใดได้ผลดีที่สุด

ทีมขาย

ในการขับเคลื่อนการขายผลิตภัณฑ์การชำระเงิน บางแพลตฟอร์มจะฝึกอบรมทีมขายทั้งหมด แม้ว่าส่วนใหญ่จะใช้โมเดลการสร้างทีมขายพิเศษ โดยฝึกอบรมสมาชิกในทีมที่มีอยู่ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชำระเงินและอธิบายคุณค่าของบริการชำระเงินที่นำเสนอ ไม่ว่าแนวทางของคุณจะเป็นอย่างไร การจัดตั้งทีมขายไม่ใช่งานที่จ้างแล้วจบ แต่จำเป็นต้องมีการวางรากฐานเพื่อเตรียมทีมขายของคุณให้พร้อมสร้างความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น

  • กำหนดเป้าหมายรายรับเพื่อเป็นแรงจูงใจทีมขายของคุณและวัดผลิตภาพ
  • วางโครงสร้างรางวัลจูงใจที่ตอบแทนตัวแทนขายเมื่อปิดการขายบริการชำระเงินได้
  • สร้างกรอบการสนับสนุนการทำงานของทีมขายเพื่อฝึกอบรมผู้ขายถึงวิธีการนำเสนอคุณค่ารวมของบริการชำระเงินและซอฟต์แวร์

Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง

Stripe เป็นวิธีที่รวดเร็ว ง่ายดาย และยืดหยุ่นสำหรับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ในการเริ่มต้น ปรับขนาด และขยายธุรกิจบริการด้านการชำระเงินและการเงิน การทำงานร่วมกับ Stripe และพาร์ทเนอร์ธนาคารจะช่วยให้แพลตฟอร์มทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพฟินเทคไปจนถึงแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงสามารถรวบรวมการชำระเงิน ขยายทุนให้กับลูกค้า ออกบัตรดิจิทัลและบัตรจริง และเสนอบริการทางการเงินอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยการผสานการทำงานเพียงครั้งเดียว Stripe จะทำให้การขยายแพลตฟอร์มของคุณไปสู่ระดับสากลและเข้าถึงลูกค้าในประเทศใหม่ๆ เป็นเรื่องง่ายโดยไม่ต้องมีขั้นตอนพัฒนาใดๆ เพิ่มเติม

เพื่อเร่งความเร็วในการออกสู่ตลาดและลดทรัพยากรและการลงทุนที่จำเป็นในการสร้างและดำเนินธุรกิจด้านการชำระเงิน Stripe นำเสนอเครื่องมือที่ช่วยลดภาระในการปฏิบัติงาน และยังสามารถจัดการส่วนต่างๆ ในธุรกิจด้านการชำระเงินให้คุณได้ดังนี้

  • ประสบการณ์ของผู้ใช้: แทนที่จะออกแบบและสร้างขั้นตอนเริ่มต้นใช้งานและประสบการณ์การรายงานผ่านแดชบอร์ดตั้งแต่ต้น คุณสามารถใช้ประสบการณ์ที่โฮสต์โดย Stripe ซึ่งได้รับการแปลภาษา ปรับเพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน และอัปเดตเป็นประจำเพื่อช่วยให้เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ๆ Stripe มีชุดฟีเจอร์ที่ผสานการทำงานได้ง่าย (เช่น ความสามารถในการคืนเงินธุรกรรม ขอเบิกจ่าย และจัดการการตรวจสอบยืนยัน) ซึ่งจะช่วยให้ทีมผลิตภัณฑ์ของคุณสร้างผลงานได้เร็วขึ้น ลดต้นทุนการบำรุงรักษา และสร้างประสบการณ์ที่มีแบรนด์เป็นหนึ่งเดียว
  • ความเสี่ยง: Stripe มีโซลูชันที่หลากหลายเพื่อช่วยแพลตฟอร์มจัดการทั้งความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมและของผู้ค้า Stripe Radar ให้บริการแพลตฟอร์มและบัญชีที่เชื่อมโยงพร้อมเครื่องมือที่กำหนดค่าได้เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านการฉ้อโกงธุรกรรม นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่มีการจัดการของ Stripe ยังมอบโซลูชันการจัดการความเสี่ยงของผู้ค้าแบบครบวงจรให้กับแพลตฟอร์ม โดยรวมถึงการตรวจสอบและลดความเสี่ยงด้านเครดิตและการฉ้อโกงของผู้ค้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนในกรณีที่ยอดคงเหลือติดลบและไม่สามารถกู้คืนได้อันเนื่องมาจากความเสี่ยงของผู้ค้าในบัญชีผู้ค้าประเภทต่างๆ ของแพลตฟอร์ม
  • กฎหมาย: Stripe ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับทั่วโลกและกฎของเครือข่ายบัตรอยู่เสมอ ดังนั้นทีมกฎหมายของคุณจึงมีเพื่อนคู่คิดในการติดตามความเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ Stripe ยังมีการแปลงเป็นโทเค็นข้อมูลเพื่อช่วยในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI และช่วยสร้างธุรกิจด้านการชำระเงินที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยโปรแกรมคัดกรองอาชญากรรมทางการเงินตามความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบ Know Your Customer (KYC) และการตรวจสอบเพื่อป้องกันการฟอกเงิน (AML) สำหรับบุคคลและธุรกิจ นอกจากนี้ คุณยังอาจได้ใช้ประโยชน์จากใบอนุญาตด้านการเงินทั่วโลกของ Stripe แทนที่จะต้องซื้อใบอนุญาตของคุณเองในทุกตลาด
  • การสนับสนุนลูกค้า: Stripe สามารถให้การสนับสนุนทางโทรศัพท์ อีเมล และแชทแก่ลูกค้าของคุณได้
  • การสร้างรายได้: แทนที่จะต้องพึ่งพาวิศวกรในการสร้างเครื่องมือคำนวณค่าบริการแบบกำหนดเอง คุณสามารถใช้ Stripe เพื่อกำหนดและควบคุมค่าบริการแบบไดนามิกได้อย่างง่ายดาย เช่น ค่าธรรมเนียมการสมัครใช้งาน เสนอส่วนลด และรองรับโมเดลค่าบริการแบบต่างๆ
  • ข้อมูล: Stripe นำเสนอการรายงานรายรับที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการกระทบยอดกับรายงานของทีมการเงินและบัญชี
  • การเข้าสู่ตลาด: เมื่อคุณเข้าร่วม Stripe Partner Ecosystem คุณจะได้เข้าถึงชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อเร่งความพยายามด้านการตลาดและการขาย ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมสำหรับทีมภายใน, ทรัพยากรในการประกาศการผสานการทำงานกับ Stripe, วิดีโออธิบายฟีเจอร์ยอดนิยมของ Stripe และคำถามเกี่ยวกับการตั้งค่า ตลอดจนแนวทางปฏิบัติและเนื้อหาของแบรนด์

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะสร้างธุรกิจการชำระเงินด้วย Stripe ทีมบริการเฉพาะทางของเราสามารถช่วยคุณกำหนดทางที่ดีที่สุดในการเปิดตัวได้ เพื่อสร้างรากฐานสำหรับโปรแกรมการชำระเงินของคุณ เราสามารถร่วมพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และแผนธุรกิจ โดยกำหนดความต้องการด้านทรัพยากร ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงาน และแนวทางการสร้างรายได้ของคุณ ที่ปรึกษาของเราจะทำงานร่วมกับทีมของคุณเพื่อผสานการทำงานการชำระเงินโดยมีการตรวจสอบเป็นระยะ ซึ่งจะครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่การออกแบบประสบการณ์และการย้ายลูกค้า ไปจนถึงการจัดการข้อมูลและรายงานทางการเงิน เพื่อนำผลิตภัณฑ์การชำระเงินใหม่ของคุณเปิดตัวสู่ตลาด เราจะช่วยคุณสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด วางแผนการเปิดตัวเป็นระยะ และจัดเตรียมทรัพยากรและกระบวนการที่จำเป็นให้กับทีมภายในของคุณเพื่อสนับสนุนการเปิดตัว

ติดต่อทีมงานของเราเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่แพลตฟอร์มของคุณสามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับ Stripe เพื่อสร้างธุรกิจด้านการชำระเงินและบริการทางการเงินได้

อภิธานศัพท์เกี่ยวกับการชำระเงิน

อภิธานศัพท์นี้อธิบายความหมายของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินซึ่งใช้บ่อยที่สุดในคู่มือนี้

  • สถาบันผู้รับบัตร: เรียกอีกอย่างว่าธนาคารผู้รับบัตร สถาบันผู้รับบัตรคือธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ประมวลผลการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในนามผู้ค้าและกำหนดเส้นทางการชำระเงินผ่านเครือข่ายบัตรไปยังธนาคารที่ออกบัตร
  • เครือข่ายบัตร: เครือข่ายบัตรทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรมระหว่างผู้ค้ากับบริษัทผู้ออกบัตร และควบคุมจุดชำระเงินที่รับชำระด้วยบัตรเครดิต รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายสำหรับเครือข่าย ตัวอย่างได้แก่ Visa, Mastercard, Discover และ American Express
  • การดึงเงินคืน: หรือที่เรียกว่าการโต้แย้งการชำระเงิน การดึงเงินคืนจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของบัตรแจ้งข้อสงสัยเกี่ยวกับรายการชำระเงินกับบริษัทผู้ออกบัตร ในระหว่างขั้นตอนการดึงเงินคืน ภาระในการพิสูจน์ว่าบุคคลที่ทำการซื้อนั้นเป็นเจ้าของบัตรและอนุมัติธุรกรรมดังกล่าวจะตกอยู่ที่ผู้ค้า
  • ความเสี่ยงด้านเครดิต: คือความเสี่ยงที่ลูกค้าของแพลตฟอร์มไม่สามารถดำเนินการตามคำสั่งซื้อสินค้าหรือบริการของตนได้ หากมีคำขอดึงเงินคืน โดยทั่วไปแล้วแพลตฟอร์มผู้ให้บริการสนับสนุนธุรกรรมจะต้องรับผิดชอบเงินที่ค้างชำระ
  • การโต้แย้งการชำระเงิน: ดูคำจำกัดความของ "การดึงเงินคืน"
  • ความเสี่ยงด้านการฉ้อโกง: คือความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมที่เป็นเท็จหรือผิดกฎหมาย การฉ้อโกงมักเกิดขึ้นเมื่อมีคนขโมยหมายเลขบัตรหรือลอบตรวจสอบข้อมูลบัญชีเพื่อทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต การฉ้อโกงยังสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อธุรกิจหลอกเอาเงินจากลูกค้าทั้งที่ไม่มีความตั้งใจที่จะส่งมอบสินค้าหรือบริการให้
  • ธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร: ค่าธรรมเนียมที่ชำระให้ธนาคารที่ออกบัตรในการประมวลผลการชำระเงินด้วยบัตร
  • ธนาคารที่ออกบัตร: คือธนาคารที่ออกบัตรเครดิตและบัตรเดบิตให้กับผู้บริโภค
  • ผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชำระเงิน: โดยทั่วไป หากจะเพิ่มฟังก์ชันการชำระเงินบางอย่าง แพลตฟอร์มหรือมาร์เก็ตเพลสต้องลงทะเบียนและรักษาสถานะเป็นผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการชำระเงิน (หรือ payfac) กับเครือข่ายบัตร เมื่อใช้ Stripe แพลตฟอร์มหรือมาร์เก็ตเพลสสามารถให้บริการฟังก์ชันการชำระเงินได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนเป็น payfac และทำตามภาระด้านข้อกำหนดมากมายที่มาพร้อมกับการเป็น payfac
  • เกตเวย์การชำระเงิน: เกตเวย์การชำระเงินคือซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่เข้ารหัสข้อมูลบัตรเครดิตบนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ค้าแล้วส่งให้สถาบันผู้รับบัตร โดยบริการเกตเวย์และสถาบันผู้รับบัตรมักเป็นนิติบุคคลรายเดียวกัน
  • วิธีการชำระเงิน: คือวิธีที่ผู้บริโภคเลือกใช้ในการชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการชำระเงินได้แก่การโอนเงินผ่านธนาคาร บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต และกระเป๋าเงินดิจิทัล
  • มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล PCI (PCI DSS): คือมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลซึ่งมีผลกับนิติบุคคลทุกรายที่จัดเก็บ ประมวลผล หรือส่งต่อข้อมูลของเจ้าของบัตรและ/หรือข้อมูลการตรวจสอบสิทธิ์ที่ละเอียดอ่อน

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย