แพลตฟอร์มการให้บริการซอฟต์แวร์ (SaaS) เช่น Shopify, Xero และ Jobber ก่อตั้งธุรกิจขึ้นเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้า (เช่น การเริ่มสร้างร้านค้าออนไลน์ การจัดการด้านการเงิน หรือการนัดหมายบริการที่บ้าน) และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนเพื่อให้สิทธิ์เข้าถึงบริการดังกล่าว เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้น (ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นไปตามความต้องการของผู้ลงทุน) ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มหลายๆ รายก็เริ่มสำรวจวิธีการนำเสนอบริการอื่นๆ ที่ตนสามารถสร้างรายรับเพิ่ม ปัจจุบันนี้แพลตฟอร์มต่างๆ กำลังเพิ่มช่องทางสร้างรายรับให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้นโดยการสร้างรายรับด้วยฟีเจอร์การชำระเงินและสร้างสายงานธุรกิจใหม่ๆ
การชำระเงินมักเป็นหัวใจสำคัญในการตอบสนองความต้องการหลักของธุรกิจ ดังนั้นการผสานช่องทางการชำระเงินเข้ากับแพลตฟอร์มจึงช่วยให้คุณมอบประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่สะดวกไปพร้อมๆ กับการลดค่าใช้จ่าย ความล่าช้า และความเสี่ยงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินเมื่อต้องเรียกเก็บเงินด้วยตัวเองได้ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าของ DocuSign ต้องการให้มีฟีเจอร์ขอรับการลงนามในสัญญาและการชำระเงินภายในขั้นตอนเดียว DocuSign จึงจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Stripe Connect เพื่อเปิดตัว DocuSign Payments ทำให้ลูกค้าสามารถเรียกเก็บเงินได้ในขณะที่ลงชื่อ นับตั้งแต่วันที่เปิดตัว DocuSign Payments ได้ประมวลผลการชำระเงินไปแล้วกว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยช่วยให้ลูกค้าได้รับเงินเร็วขึ้น พร้อมกับมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าด้วย
คู่มือนี้จะพูดถึงหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างรายรับจากการชำระเงินของแพลตฟอร์ม เริ่มตั้งแต่วิธีสร้างรายรับจากการชำระเงินเป็นครั้งแรก ไปจนถึงวิธีเรียกเก็บค่าบริการฟีเจอร์และบริการอื่นๆ โดยคุณจะได้เรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างรายรับจากการเรียกเก็บเงิน วิธีการทดลองกำหนดค่าบริการวิธีต่างๆ และความช่วยเหลือที่ Stripe มีให้
วิธีสร้างรายรับจากการชำระเงิน
โดยทั่วไปแล้ว คุณมีทางเลือกในการสร้างรายรับจากการชำระเงินอยู่ 2 ทางเลือก ได้แก่ การเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการชำระเงินและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินจากลูกค้า หรือการทำสัญญาแบ่งรายรับร่วมกันตามข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ให้บริการชำระเงิน
Stripe เปิดโอกาสให้คุณสามารถรับส่วนแบ่งรายรับจากการชำระเงินออนไลน์ หรือปรับแต่งค่าบริการให้แก่ลูกค้าของคุณได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่
หากต้องการเริ่มสร้างรายรับจากการชำระเงิน คุณควรเริ่มต้นด้วยการเรียกเก็บค่าบริการสำหรับการชำระเงินและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน เนื่องจากวิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับโครงสร้างค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้ทดลองกำหนดค่าบริการและใช้แพ็กเกจรูปแบบต่างๆ ได้อีกด้วย
คุณไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับตัวเลือกการสร้างรายรับอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจริงๆ แล้วการสร้างรายรับจากหลายช่องทางนั้นมีประโยชน์ต่อธุรกิจมากกว่า เป็นต้นว่า หากสนใจที่จะบวกกำไรส่วนเพิ่มไปกับค่าธรรมเนียมธุรกรรมในแต่ละครั้ง คุณควรนำเสนอแพ็กเกจค่าธรรมเนียมรายเดือน เพื่อให้ลูกค้ามีสิทธิ์ใช้งานฟีเจอร์การชำระเงินขั้นสูง และจะได้ไม่ต้องพึ่งพารายรับจากปริมาณการชำระเงินเพียงอย่างเดียว
ต่อไปนี้คือ 5 วิธีหลักในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการชำระเงินและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินจากลูกค้า
1. เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการชำระเงินได้: รวมการชำระเงินกับฟีเจอร์พรีเมียมอื่นๆ แล้วสร้างแพ็กเกจที่มีราคาสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น Squarespace นำเสนอแพ็กเกจ 4 แบบ ซึ่งได้แก่ Personal, Business, Commerce (พื้นฐาน) และ Commerce (ขั้นสูง) โดยแพ็กเกจ Personal มีค่าบริการต่ำสุด แต่ไม่มีฟีเจอร์การชำระเงินใดๆ ให้บริการ ส่วนอีก 3 แพ็กเกจมีค่าบริการสูงกว่า แต่เปิดโอกาสให้ลูกค้าประมวลผลการชำระเงินได้
แพ็กเกจพื้นฐาน
US$10/เดือน |
แพ็กเกจขั้นสูง
US$25/เดือน |
|
---|---|---|
เก็บเงินที่ชำระ
|
||
รับเงินบริจาค
|
||
จำหน่ายบัตรของขวัญ
|
||
การชำระเงินที่จุดขาย
|
||
จำหน่ายสิทธิ์การสมัครใช้บริการ
|
||
ส่วนลดขั้นสูง
|
2. บวกกำไรส่วนเพิ่มไปกับธุรกรรมแต่ละรายการ: วิธีการสร้างรายรับจากการชำระเงินอย่างตรงไปตรงมามากขึ้นวิธีหนึ่งก็คือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมจากการชำระเงินแต่ละครั้งที่ประมวลผลบนแพลตฟอร์มของคุณ
นอกจากนี้ คุณยังสร้างแผนการชำระเงินในระดับต่างๆ เพื่อรองรับการบวกเพิ่มค่าธรรมเนียมนี้ได้หลายรูปแบบด้วย เช่นเดียวกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการชำระเงินได้
เช่น หากลูกค้าซื้อแพ็กเกจการชำระเงินที่มีมูลค่าสูงกว่า ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมก็จะถูกลง
แพ็กเกจพื้นฐาน
US$10/เดือน |
แพ็กเกจขั้นสูง
US$25/เดือน |
|
---|---|---|
อัตราค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทางออนไลน์
|
2.9% + US$0.30 | 2.75% + US$0.30 |
3. เพิ่มค่าธรรมเนียมของฟีเจอร์การชำระเงินขั้นสูง: มุ่งนำเสนอบริการชำระเงินที่โดดเด่นไม่เหมือนใครเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ คุณอาจนำเสนอฟีเจอร์แบบพรีเมียม เป็นต้นว่า ความคุ้มครองในกรณีที่มีการดึงเงินคืนหรือการให้ลูกค้าได้รับเงินเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น เช่น ข้อเสนอของ StyleSeat โดย StyleSeat ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านความงามมืออาชีพขยับขยายธุรกิจด้วยเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงลูกค้ารายใหม่และเพิ่มรายรับ ลูกค้าสามารถเลือกฝากรายรับเข้าบัญชีธนาคารหรือบัตรเดบิตโดยมีค่าธรรมเนียมคงที่ 0.50 ดอลลาร์สหรัฐได้ทันที ไม่ต้องรอ 1-2 วันทำการ
4. เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในกรณีที่ลูกค้าใช้เกตเวย์การชำระเงินอื่น: แพลตฟอร์มหลายๆ เจ้าจะควบรวมการชำระเงินผ่านผู้ให้บริการรายเดียวเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม และเพิ่มค่าธรรมเนียมขึ้นในกรณีที่ลูกค้าเลือกใช้บริการชำระเงินบริการอื่น Shopify เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงสุด 2% (ขึ้นอยู่กับแผนการใช้งาน) หากลูกค้าประมวลผลการชำระเงินผ่านผู้ให้บริการรายอื่นที่ไม่ใช่ Shopify Payments
การวิเคราะห์การฉ้อโกง
|
|||
---|---|---|---|
อัตราค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทางออนไลน์
|
2.9% + US$0.30 | 2.6% + US$0.30 | 2.4% + US$0.30 |
อัตราค่าธรรมเนียมการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตที่จุดขาย
|
2.7% + US$0 | 2.5% + US$0 | 2.4% + US$0 |
ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในกรณีที่ใช้ผู้ให้บริการชำระเงินรายอื่นที่ไม่ใช่ Shopify Payments
|
2% | 1% | 0.5% |
5. เรียกเก็บเงินสำหรับการรายงานขั้นสูงที่ออกแบบเอง: ใช้ข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงินในทางที่สร้างสรรค์ เพื่อให้แพลตฟอร์มมีคุณค่าต่อลูกค้ามากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Shopify มีเครื่องมือที่ให้ลูกค้าสร้างรายงานที่ออกแบบเองเมื่อใช้แพ็กเกจระดับสูงสุด
ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับค่าบริการ
ไม่ว่าคุณจะเลือกสร้างรายรับจากการชำระเงินด้วยวิธีการใดก็ตาม โปรดอย่าลืมเรียกเก็บเงินให้เพียงพอต่อผลกำไรที่ตั้งเป้าไว้ พร้อมทั้งรักษาระดับความสามารถในการแข่งขัน ค่าธรรมเนียมที่คุณเรียกเก็บควรรวมคุณค่าเพิ่มเติมที่คุณมอบให้ลูกค้าและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วย โดยปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาประกอบด้วยลักษณะโมเดลค่าบริการของคู่แข่งและความแตกต่างระหว่างชุดฟีเจอร์
หากต้องการทำความเข้าใจว่าลูกค้าจะตอบรับข้อเสนอด้านการชำระเงินใหม่อย่างไร ให้ลองเริ่มต้นด้วยการทดสอบในขอบเขตเล็กๆ แทนที่จะเปิดตัวแพ็กเกจใหม่แก่ลูกค้าทุกคนพร้อมกัน โดยคุณอาจส่งอีเมลเปิดตัวฟีเจอร์การชำระเงินใหม่พร้อมรายละเอียดค่าบริการให้แก่ลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ก่อน วิธีนี้ช่วยให้คุณติดตามความเห็นและความพึงพอใจของลูกค้าได้ดีขึ้น อีกนัยหนึ่ง คุณอาจทำการทดสอบ A/B ในหน้าค่าบริการแล้วติดตามยอดลงทะเบียน เพื่อดูว่าแพ็กเกจต่างๆ มีผลตอบรับเป็นอย่างไรก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้คุณยังควรพิจารณาปรับกลยุทธ์การสร้างรายรับจากการชำระเงินตามกลุ่มลูกค้าด้วย ตัวอย่างเช่น
- สำหรับลูกค้ารายเล็กที่ยังไม่ได้เริ่มขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ คุณอาจพิจารณาเสนอสิทธิ์ทดลองใช้แพ็กเกจอีคอมเมิร์ซฟรี (เช่น ยกเว้นค่าธรรมเนียมเป็นเวลา 3 เดือน) เพื่อช่วยในการเริ่มต้นใช้งาน
- สำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่มีความสำคัญ คุณควรเสนอส่วนลดหรือโปรโมชันเพื่อให้ปิดข้อเสนอได้มากขึ้น หรืออาจจะพิจารณาเสนอค่าบริการที่รวมการชำระเงินเข้ากับฟีเจอร์ที่เพิ่มคุณค่าขึ้น เช่น ระบบป้องกันการฉ้อโกง เป็นต้น
- สำหรับลูกค้าที่มีหน้าร้านจริงหรือขายสินค้าที่จุดขาย คุณควรโปรโมตโซลูชันการชำระเงินทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยจัดโปรโมชันเกี่ยวกับอุปกรณ์ชำระเงิน (เช่น ซื้ออุปกรณ์ 1 เครื่อง แถมฟรี 1 เครื่อง)
วิธีสร้างรายรับจากบริการอื่นๆ
เมื่อคุณมีโมเดลค่าบริการสำหรับการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพแล้ว ให้ลองมองหาโอกาสการสร้างรายรับอื่นๆ เพิ่มเติม ขณะที่คุณกำลังสำรวจฟีเจอร์หรือบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการชำระเงิน อย่าลืมหาจุดที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าได้ เช่น หากคุณทราบว่าลูกค้าสนใจขยายกิจการไปทั่วโลก คุณสามารถช่วยให้ลูกค้าปรับปรุงประสบการณ์การชำระเงินได้โดยเสนอวิธีการชำระเงินที่ปรับให้เข้ากับท้องถิ่นและการแปลงสกุลเงินแบบอัตโนมัติในขั้นตอนการชำระเงิน
ต่อไปนี้คือภาพรวมเกี่ยวกับโอกาสการสร้างรายรับ 3 แบบ
โอกาสในการสร้างรายรับ
|
คำอธิบาย
|
ฟีเจอร์ที่มีให้บริการ
|
---|---|---|
การขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ | สนับสนุนลูกค้าของคุณในระหว่างที่ขยายธุรกิจไปทั่วโลก |
|
บริการด้านการเงิน | ช่วยลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินการทางการเงิน |
|
โมเดลธุรกิจใหม่ | ให้ลูกค้าได้ทดลองใช้โมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ |
|
ความช่วยเหลือที่ Stripe มอบให้คุณได้
แพลตฟอร์มทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทมหาชนอย่าง Shopify ใช้ Stripe Connect เพื่อรับเงิน เบิกจ่ายให้แก่บุคคลที่สาม และสร้างรายรับจากการชำระเงิน คุณสามารถเปิดตัวบริการการชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว สร้างรายรับจากธุรกรรมแต่ละรายการ และให้บริการการชำระเงินแก่ลูกค้าในราคาที่แตกต่างกันได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถสร้างรายรับจากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น การออกใบแจ้งหนี้ การเรียกเก็บเงินค่าสมัครใช้บริการ หรือการชำระเงินที่จุดขายได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำได้ผ่านการผสานการทำงานแบบรวมเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งการสร้างรายรับจากบริการเหล่านี้ช่วยให้คุณประมวลผลการชำระเงินบนแพลตฟอร์มได้ในปริมาณมากขึ้น สร้างรายรับเพิ่มขึ้น และปรับข้อเสนอสำหรับลูกค้าให้น่าสนใจมากขึ้น
Stripe Connect ให้คุณสร้างรายรับและนำเสนอฟีเจอร์ดังต่อไปนี้ต่อลูกค้า
- การชำระเงินออนไลน์: เปิดโอกาสให้ลูกค้ารับชำระเงินได้ในไม่กี่นาที โดยสามารถสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ปรับให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจ ปกป้องการชำระเงินจากการฉ้อโกง และปรับประสบการณ์การชำระเงินให้เข้ากับท้องถิ่นเพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าในต่างประเทศ
- การชำระเงินที่จุดขาย: ช่วยลูกค้าขยับขยายธุรกิจด้วยการเปิดหน้าร้านจริงโดยใช้ระบบการชำระเงินที่จุดขาย Stripe Terminal ช่วยให้ลูกค้าจัดการการขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้ในที่เดียวผ่านการผสานการทำงานเพียงหนึ่งเดียว ส่งผลให้การรายงานและการกระทบยอดสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น
- การชำระเงินตามรอบบิล: เปิดโอกาสให้ลูกค้าทดลองใช้โมเดลธุรกิจใหม่ๆ โดยนำเสนอแพ็กเกจการชำระเงินตามรอบบิลและการเรียกเก็บเงินที่ยืดหยุ่นด้วย Stripe Billing โดยลูกค้าสามารถปรับแก้ค่าบริการได้ (ทดสอบการเรียกเก็บเงินแบบครั้งเดียว แบบเรียกเก็บตามรอบ แบบตามการใช้งาน หรือตามระดับ) นอกจากนี้ยังเสนอโปรโมชันและช่วงทดลองใช้งานฟรีได้อีกด้วย ลูกค้าสามารถลดอัตราการเลิกใช้งานได้ด้วยตรรกะการเรียกเก็บเงินตามแบบแผนล่วงหน้าอัจฉริยะเพื่อขยายธุรกิจไปทั่วโลกได้ง่ายดาย และยอมรับวิธีการชำระเงินได้ทุกประเภท
- ใบแจ้งหนี้แบบตามรอบและแบบครั้งเดียว ช่วยให้ลูกค้าได้รับเงินเร็วขึ้นด้วยการออกใบแจ้งหนี้แบบผสานการทำงาน ลูกค้าสามารถส่งใบแจ้งหนี้แบบตามรอบสำหรับการชำระเงินตามรอบบิลหรือใบแจ้งหนี้แบบใช้ครั้งเดียวที่รองรับบัตรเครดิตและบัตรเดบิตในตัว เพื่อปรับแต่งให้ตรงกับแบรนด์และใช้อัตราแบบรวมหรือไม่รวมภาษีในพื้นที่ต่างๆ ได้
- บัตรชำระเงิน: สร้าง แจกจ่าย และปรับแต่งบัตรเครดิตทั้งแบบดิจิทัลและบัตรจริงให้แก่ลูกค้าได้ด้วย Stripe Issuing คุณสามารถออกแบบบัตรที่มีแบรนด์ กำหนดการควบคุมการใช้จ่ายแบบไดนามิก และเปิดให้ลูกค้าเติมเงินในบัตรด้วยบัญชีธนาคารของตัวเองได้
- การรายงานและการวิเคราะห์ Stripe Sigma มีตัวเลือกการรายงานที่หลากหลายซึ่งคุณสามารถนำไปผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มของคุณเองได้ ตั้งแต่ข้อมูลสรุปที่พร้อมใช้งานได้ทันที ไปจนถึงรายงานที่ปรับแต่งเองได้ คุณสามารถดึงข้อมูลจาก Stripe API แล้วเพิ่มข้อมูลดังกล่าวลงในฟีเจอร์การรายงานได้โดยตรง หรือจะนำลูกค้าไปยังแดชบอร์ด Stripe เพื่อให้ดูข้อมูลสำหรับการชำระเงินโดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน
เราหวังว่าคู่มือนี้จะทำให้คุณเห็นภาพรวมกว้างๆ เกี่ยวกับวิธีสร้างช่องทางรายรับเพิ่มเติมจากการชำระเงินและบริการทางการเงินอื่นๆ รวมถึงความช่วยเหลือที่ Stripe มีให้
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Connect สำหรับแพลตฟอร์ม โปรดอ่าน Stripe Docs หรือติดต่อฝ่ายขายของเรา แต่หากต้องการเริ่มรับชำระเงินทันที โปรดลงทะเบียนบัญชี