ผู้คนมีวิธีเลือกซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันนี้ ลูกค้าจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียล เข้ามาดูสินค้าจริงที่หน้าร้าน แล้วสุดท้ายก็กลับไปซื้อบนเว็บเพื่อให้จัดส่งถึงบ้าน พฤติกรรมการซื้อที่ใช้ทัชพอยต์หลายจุดในการซื้อสินค้าชิ้นเดียวกลายเป็นเรื่องปกติขึ้นเรื่อยๆ สำหรับนักช้อปชาวญี่ปุ่น
อันที่จริงแล้ว การสำรวจของ Dentsu Digital ประจำปีงบประมาณ 2024 ระบุว่า สัดส่วนของคนในญี่ปุ่นที่ใช้ช่องทางออนไลน์ในช่วงเปรียบเทียบและพิจารณาซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 50% ในปี 2022 เป็น 55.7% ในปี 2024 ซึ่งบ่งชี้ว่าช่องทางดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แต่ในทางกลับกัน หลายคนก็ยังคงเลือกหน้าร้านจริงเป็นสถานที่ซื้อสินค้าอยู่ และรูปแบบการซื้อแบบข้ามช่องทาง ซึ่งใช้ทั้งช่องทางดิจิทัลและช่องทางแบบพบปะกันจริงๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ก็เป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่น
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ แนวคิดเกี่ยวกับการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมก็เป็นที่สนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยหลายตลาด (รวมถึงญี่ปุ่น) ก็เริ่มนำแนวทางนี้มาใช้กันมากขึ้น ไม่ว่าจะขายผ่านช่องทางใดก็ตาม โดยถือเป็นวิธีสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันโดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลครบวงจรแบบเรียลไทม์
บทความนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนว่าการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมคืออะไร รวมถึงประโยชน์ และข้อควรระวัง และดูวิธีการนำมาใช้และผสานการทำงาน เราได้เสริมคำแนะนำที่ใช้ได้จริงเกี่ยวกับวิธีที่บริษัทต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากโมเดลนี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตได้
เนื้อหาหลักในบทความ
- การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมคืออะไร
- เบื้องหลังที่ส่งผลให้การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมเป็นที่สนใจ
- ข้อดีของการนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้
- ปัญหาของการนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้
- วิธีการนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้
- กรณีศึกษาเกี่ยวกับการค้าแบบแพลตฟอร์มรวม
- Stripe Terminal ช่วยอะไรได้บ้าง
การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมคืออะไร
การค้าแบบแพลตฟอร์มรวม คือ ระบบที่ผสานรวมทุกเส้นทางการขายเข้าด้วยกันแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แอป หรือโซเชียลมีเดีย และจัดการทุกช่องทางแบบเรียลไทม์บนแพลตฟอร์มเดียว
ก่อนหน้านี้ ธุรกิจต่างๆ จะเก็บรายละเอียดลูกค้า สินค้าคงคลัง ประวัติการสั่งซื้อ และข้อมูลอื่นๆ ไว้คนละช่องทางกัน แต่ตอนนี้ ธุรกิจสามารถจัดการทุกอย่างได้ในฐานข้อมูลเดียวกัน ซึ่งช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้จากทุกทัชพอยต์ และสร้างเส้นทางการช้อปปิ้งที่ราบรื่นและเหมาะกับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ
ข้อแตกต่างจากการค้าแบบหลายช่องทาง
เนื่องจากการค้าแบบหลายช่องทางกับการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมีเป้าหมายคล้ายกัน หลายๆ ธุรกิจจึงเริ่มเปรียบเทียบการค้าทั้ง 2 แบบนี้ โดยทั้ง 2 รูปแบบก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่สอดคล้องกันในหลายๆ ช่องทาง เช่น ผู้ซื้ออาจเลือกดูสินค้าที่หน้าร้าน แล้วซื้อบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของบริษัท หรือสั่งซื้อบนแอปแล้วค่อยไปรับสินค้าที่หน้าร้าน ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ล้วนช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้เส้นทางการซื้อแบบนี้ได้
ถึงอย่างนั้น ทั้ง 2 รูปแบบนี้มีกลไกพื้นฐานและการจัดการบันทึกที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมเป็นการต่อยอดและพัฒนามาจากโมเดลการค้าแบบหลายช่องทาง เนื่องจากมีการผสานการทำงานที่ละเอียดขึ้นและฟังก์ชันแบบเรียลไทม์
เรามาดูความแตกต่างที่เฉพาะเจาะจงกัน
|
รายการ |
การค้าแบบหลายช่องทาง |
การค้าแบบแพลตฟอร์มรวม |
|---|---|---|
|
วิธีการเชื่อมโยงข้อมูล |
มีการผสานการทำงานกันบ้างระหว่างช่องทางต่างๆ แต่ระบบอาจแยกจากกัน |
ทุกช่องทางรวมอยู่ในแพลตฟอร์มเดียว |
|
ความเร็วในการอัปเดตข้อมูล |
อาจมีความล่าช้ากว่าข้อมูลจะปรากฏให้เห็น |
ระบบจะแชร์และอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ |
|
ประสบการณ์ของลูกค้า |
ประสบการณ์อาจมีความคลาดเคลื่อนกันโดยขึ้นอยู่กับช่องทาง |
ประสบการณ์จะสอดคล้องกันในทุกช่องทาง |
|
ความง่ายในการใช้งาน |
มีการใช้หลายระบบ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้ |
ข้อมูลและการดำเนินงานจะผสานรวมเข้าด้วยกัน จึงทำให้มีประสิทธิภาพสูง |
|
วัตถุประสงค์หลัก |
เพิ่มความสะดวกสบาย โดยเปิดให้ลูกค้าเลือกช่องทางที่ต้องการได้ |
จัดการพฤติกรรมของลูกค้าจากส่วนกลาง และยกระดับทั้งประสบการณ์การซื้อและการทำการตลาด |
ตารางข้างต้นจะแสดงแนวคิดทั่วๆ ไป แต่การแสดงให้เห็นภาพรวมทั้งหมดอาจทำได้ยาก เรามาดูข้อแตกต่างโดยใช้สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นกันดีกว่า
มีอยู่วันหนึ่ง ผู้ใช้เห็นรองเท้าคู่หนึ่งที่โดนใจบนสมาร์ทโฟน ก็เลยตัดสินใจว่าจะลองสวมดูก่อนซื้อ
เมื่อใช้การค้าแบบหลายช่องทาง:
คนคนนี้สามารถดูรายละเอียดของรองเท้าได้ที่ร้านค้าบนเว็บ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสาขาใกล้บ้านจะมีสินค้าตัวนี้ในสต๊อกหรือไม่ "ฉันดั้นด้นไปถึงร้าน แล้วสุดท้ายก็ไม่มีของในสต๊อก!" เป็นสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อใช้การค้าแบบหลายช่องทาง
เมื่อใช้โมเดลนี้ หน้าร้านกับอีคอมเมิร์ซจะใช้คนละระบบกัน ซึ่งมักส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการยืนยันสินค้าคงคลังและการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ
เมื่อใช้การค้าแบบแพลตฟอร์มรวม:
ผู้ใช้สามารถดูจำนวนสต๊อกรองเท้าที่เห็นบนเว็บนั้นๆ ได้แบบเรียลไทม์ และเห็นว่ามีสินค้าอยู่ที่สาขาใดบ้าง ผู้ใช้ยังสามารถนัดหมายเพื่อลองสวมและจัดเตรียมเรื่องการรับสินค้าที่หน้าร้านได้ด้วย
นอกจากนี้ เมื่อนักช้อปเข้ามาที่หน้าร้าน พนักงานสามารถใช้ประวัติการซื้อ ขนาด ความชอบ และข้อมูลเพิ่มเติมที่ผ่านๆ มาเพื่อแนะนำสินค้าได้ด้วย เช่น "เรามีสินค้าตัวใหม่จากแบรนด์เดียวกับที่คุณซื้อไปรอบล่าสุด" หรือ "เรามีรุ่นที่เบากว่า แต่มีดีไซน์คล้ายกับรองเท้าตัวนี้" และคำแนะนำแบบเฉพาะตัวก็จะช่วยให้สานสัมพันธ์กับผู้ซื้อได้แน่นแฟ้นมากขึ้น
โมเดลค้าปลีกแบบแพลตฟอร์มรวมจะช่วยให้ธุรกิจยกระดับคุณภาพในการสนับสนุนลูกค้าได้อย่างอย่างมาก โดยการจัดการสต๊อก ทัชพอยต์ และรายละเอียดลูกค้าจากส่วนกลาง
ข้อแตกต่างจาก OMO
ต่อไป เรามาดูกันว่าการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมต่างจาก OMO (ออนไลน์ผสานกับออฟไลน์หรือ Online-Merge-Offline) อย่างไร OMO คือ เทคนิคทางการตลาดที่เชื่อมโยงประสบการณ์บนโลกดิจิทัลเข้ากับประสบการณ์แบบตัวต่อตัวได้ง่ายๆ วิธีนี้จะใช้แอป โซเชียลมีเดีย ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง ข้อมูลเชิงลึกของนักช้อป และแหล่งข้อมูลอื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงความสนใจทางออนไลน์ของผู้ใช้กับพฤติกรรมการซื้อที่หน้าร้านได้อย่างง่ายดาย
OMO ก็คล้ายกับการค้าแบบแพลตฟอร์มรวม แต่มีข้อแตกต่างกันดังนี้
|
รายการ |
OMO |
การค้าแบบแพลตฟอร์มรวม |
|---|---|---|
|
วัตถุประสงค์หลัก |
เชื่อมต่อประสบการณ์ทางออนไลน์กับออฟไลน์ได้อย่างราบรื่น |
รวมทุกช่องทางการขายเข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เหมือนกันไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม |
|
การมุ่งเน้นที่ส่วนกลาง |
สร้างประสบการณ์การซื้อที่มุ่งเน้นแอป โซเชียลมีเดีย และร้านค้าที่ลูกค้าใช้ |
ในการพัฒนาให้ดีขึ้น จะมีการผสานการทำงานทั้งประสบการณ์การซื้อของลูกค้าและระบบแบ็กเอนด์ทั้งหมด เช่น ข้อมูลลูกค้า คำสั่งซื้อ และสินค้าคงคลัง และจัดการทั้งหมดเป็นระบบเดียว |
|
มาตรการทั่วไป |
คูปอง, รหัส QR, โซเชียลมีเดีย และป้ายในร้านค้า |
การจองเวลาเข้ามาที่หน้าร้าน การตรวจสอบสินค้าคงคลัง คำแนะนำตามประวัติการซื้อ คูปองแบบเฉพาะตัว ฯลฯ |
|
การกำหนดค่าของระบบ |
ระบบจะแบ่งไปตามช่องทาง แต่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ลูกค้าทำการซื้อได้ง่ายๆ |
ช่องทางและข้อมูลทั้งหมดจะเชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์ภายในระบบเดียว |
แต่ตารางเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถให้ข้อมูลได้รอบด้าน เรามาดูข้อแตกต่างที่เฉพาะเจาะจงกัน
เมื่อใช้ OMO:
ผู้ใช้เจอลิปสติกชิ้นใหม่ที่โดนใจในแอปอย่างเป็นทางการของแบรนด์ แอประบุว่าสินค้าชิ้นนั้นมีขายที่สาขาใกล้บ้าน ผู้ใช้ก็เลยไปที่สาขานั้น
และเมื่อมาถึง ป้ายที่หน้าร้านก็เปิดวิดีโอโปรโมตลิปสติกตัวนี้ คูปองผ่านรหัส QR ปรากฏบนหน้าจอของระบบบันทึกการขาย (POS) ที่หน้าร้าน ซึ่งทำให้ผู้ซื้อสามารถใช้แอปสแกนแล้วรับส่วนลดได้ 10%
ก่อนซื้อ ลูกค้าก็สามารถสอบถามเกี่ยวกับสินค้าตัวนี้กับพนักงานได้ แต่บริการก็จะเหมือนๆ กับที่ลูกค้าคนอื่นได้รับ เป้าหมายของ OMO คือ การเชื่อมโยงความสนใจทางออนไลน์เข้ากับกิจกรรมทางออฟไลน์อย่างตรงไปตรงมา แต่ความช่วยเหลือและคำแนะนำต่างๆ ก็มักจะจำกัดอยู่ที่การโต้ตอบเพียงครั้งเดียว
เมื่อใช้การค้าแบบแพลตฟอร์มรวม:
ผู้ใช้คนเดียวกันเจอลิปสติกตัวใหม่ที่ชอบในแอปอย่างเป็นทางการของแบรนด์ แต่เนื่องจากผู้ใช้ไม่ได้ซื้ออะไรมาพักหนึ่งแล้ว แอปก็เลยมีคูปองส่วนลดให้ 20% ซึ่งเป็นข้อเสนอพิเศษที่ส่งให้ผู้ที่ไม่ได้ซื้ออะไรเลยภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ใช้ก็อยากจะใช้คูปองหากมีสินค้าที่โดนใจ
แอปจะแสดงข้อความต่างๆ เช่น "มีสินค้าในสต๊อกที่สาขา A ที่คุณเคยซื้อไปก่อนหน้านี้" และ "ลิปสติกตัวนี้เข้ากับรองพื้นเฉด 10 ที่คุณซื้อไปรอบล่าสุด" และเมื่อผู้ใช้สามารถจองได้ผ่านแอปและมีคูปองให้ใช้ ผู้ใช้จึงจองเวลานัดหมายและตัดสินใจไปรับลิปสติกที่สาขานั้นในภายหลังได้
เมื่อผู้ซื้อเข้ามาที่หน้าร้าน พนักงานขายก็จะรู้อยู่แล้วว่า มีเครื่องสำอางอื่นแบบไหนบ้างที่อาจโดนใจผู้ซื้อรายนั้นๆ โดยดูจากคำสั่งซื้อที่ผ่านมา รวมถึงเฉดสีรองพื้น ตลอดจนรู้ว่าผู้ซื้อมีคูปองหรือเปล่า และผู้ซื้อไม่ได้ซื้ออะไรมานานแค่ไหนแล้ว พนักงานจะแนะนำลิปสติกสีอื่นๆ ที่ตรงกับความชอบของผู้ใช้ รองพื้นที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวล่าสุด พนักงานจะเห็นได้ว่าคูปองส่วนลดใช้กับสินค้าใดได้
จุดแข็งของการค้าแบบแพลตฟอร์มรวม คือ ความสามารถในการมอบประสบการณ์และบริการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลโดยผสานรวมรายละเอียดของลูกค้า สต๊อก และประวัติการซื้อแบบเรียลไทม์
เบื้องหลังที่ส่งผลให้การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมเป็นที่สนใจ
ฟังก์ชันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของสมาร์ทโฟน ความก้าวล้ำของโซเชียลมีเดีย และไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ล้วนส่งผลให้รูปแบบการซื้อเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยในญี่ปุ่น นักช้อปมักจะใช้ทัชพอยต์หลายจุดในการซื้อสินค้ากันเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลไปจนถึงการซื้อจริง
และเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ให้มีประสิทธิภาพ ธุรกิจย่อมต้องการระบบที่ให้ประสบการณ์ได้สอดคล้องกันในทุกช่องทางติดต่อ การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมกำลังเป็นที่สนใจเนื่องจากมีการรวมศูนย์ระบบและข้อมูลระหว่างช่องทางต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลัง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมของลูกค้าที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น การค้นหาสินค้าบนสมาร์ทโฟนและชำระเงินอย่างสะดวกแม้ขณะที่ไม่อยู่บ้านจึงกลายเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ การค้าบนโซเชียล (ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น Instagram Shop) ก็กำลังขยายตัวมากขึ้นเช่นกัน
แต่ในญี่ปุ่น ผู้ซื้อก็ยังอยากจะจัดการและดูสินค้าด้วยตาตัวเองก่อนสั่งซื้อกันเป็นอย่างมาก และหลายคนก็แยกการช้อปปิ้งระหว่างวิธีแบบดิจิทัลกับแบบที่หน้าร้านออกจากกัน โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์
การก้าวสู่ยุคที่ความสอดคล้องกันและบริการแบบเฉพาะตัวเป็นเรื่องสำคัญ
ปัจจุบัน ลูกค้าส่วนใหญ่คาดหวังอยากจะได้ขั้นตอนที่ราบรื่นและบริการแบบเฉพาะตัวในทุกช่องทาง
แบบสำรวจที่ดำเนินการโดย Adobe ระบุว่า ประมาณ 60% ของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นกล่าวว่า ตนคาดหวังจะได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ปรับให้เหมาะกับตัวเองโดยเฉพาะ
โมเดลค้าปลีกแบบแพลตฟอร์มรวมกำลังได้รับความสนใจเพื่อใช้เป็นวิธีรับมือกับพฤติกรรมการซื้อที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความเฉพาะตัวสูง การมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพสูงแบบเดียวกันผ่านทัชพอยต์ต่างๆ ในขณะเดียวกันก็ช่วยปรับการตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะบุคคล และประวัติการสั่งซื้อก็เป็นประโยชน์อย่างมากเนื่องจากช่วยเพิ่มความพึงพอใจไปพร้อมๆ กับยกระดับความน่าเชื่อถือของแบรนด์
ข้อดีของการนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้
เมื่อนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้ บริษัทต่างๆ ไม่เพียงแต่มีรายรับและประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรอีกด้วย เรามาดูข้อดีต่างๆ เมื่อมองในระยะยาวกัน
ต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาวที่ลดลง
เมื่อจัดการเส้นทางการขาย สต๊อก และข้อมูลการสั่งซื้อในแพลตฟอร์มเดียว คุณก็สามารถลดการสูญเสียสินค้าคงคลัง ค่าแรง และค่าจัดการระบบที่ซ้ำซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทที่ดำเนินงานหลายแห่งหรือมีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากเมื่อเวลาผ่านไป
ความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
การให้คำแนะนำและการสนับสนุนแบบเฉพาะตัวตามข้อมูลลูกค้าที่ครบวงจรแบบเรียลไทม์จะช่วยยกระดับความพึงพอใจและเพิ่มการซื้อซ้ำ งานดังกล่าวช่วยให้เกิดการสร้างฐานยอดขายที่เหนียวแน่น ซึ่งจะให้ความสำคัญกับบริษัทและแบรนด์ของคุณต่อไปอีกหลายปี
ปัญหาของการนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้
แม้ว่าโมเดลค้าปลีกแบบแพลตฟอร์มรวมจะมีข้อดีในระยะยาวมากมาย แต่ก็มาพร้อมปัญหาในระยะสั้นและอุปสรรคในการดำเนินงานสำหรับการนำมาใช้ การทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการจัดทำแผนการปรับใช้ให้ประสบผลสำเร็จ
เงินลงทุนเริ่มแรกสูง
การผสานการทำงานระบบต่างๆ ที่มีอยู่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและการย้ายข้อมูล คุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายระยะสั้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนว่าการลงทุนจะสร้างผลตอบแทนอย่างไรให้รอบคอบ วิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ คือ การใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุนและโครงการให้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลท้องถิ่นและระดับชาติ
การปรับโครงสร้างระบบปฏิบัติการและทรัพยากรบุคคล
เมื่อใช้ระบบใหม่ ขั้นตอนและวิธีการสนับสนุนต่างๆ ก็จะต้องเปลี่ยนไป ซึ่งต้องมีการฝึกอบรมเป็นการภายในและการวางขั้นตอนการทำงานใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประสานงานที่ไม่ดีระหว่างแผนกหรือทักษะการใช้ข้อมูลที่ไม่เชี่ยวชาญอาจทำให้เกิดข้อบกพร่องขององค์กรเมื่อนำระบบนี้เข้ามาใช้
วิธีการนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้
การนำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้ให้มีประสิทธิภาพนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกอย่างในคราวเดียว ประเด็นสำคัญที่ช่วยให้เกิดความสำเร็จก็คือการทำไปทีละน้อย โดยสอดคล้องกับสถานการณ์และทรัพยากรสำหรับบริษัทของคุณโดยเฉพาะ
วิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันและตั้งเป้าหมาย
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจช่องทางการขายในปัจจุบัน (ร้านค้า เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย ฯลฯ) และสถานะการดำเนินงานของช่องทางเหล่านั้น
- แสดงบันทึกของลูกค้า ตัวเลขสินค้าคงคลัง และขั้นตอนการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ
- ตั้งคำถามว่า "เราต้องแก้ปัญหาแบบไหน" และ "เราอยากจะให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบไหน"
เลือกระบบที่จะนำไปใช้
ในการใช้โมเดลนี้ สิ่งสำคัญก็คือการเลือกระบบที่จัดการรายรับและรายละเอียดของนักช้อปจากส่วนกลาง โดยเฉพาะระบบที่มีตัวเลือกต่อไปนี้
- ระบบ POS (ระบบบันทึกการขาย): จัดการข้อมูลการทำบัญชีและธุรกรรมในร้านค้า
- OMS (ระบบจัดการคำสั่งซื้อ): ประสานงานคำสั่งซื้อ (ออนไลน์หรือออฟไลน์) ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อไปจนถึงการจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อ
- ซอฟต์แวร์ CRM (การจัดการลูกค้าสัมพันธ์): บันทึกข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าและประวัติการซื้อ และใช้เพื่อจัดทำการตอบกลับในแบบของตัวเอง
- ระบบจัดการสินค้าคงคลัง: ช่วยให้เข้าใจสินค้าคงคลังในทุกช่องทางได้แบบเรียลไทม์
- ระบบ ERP (การวางแผนทรัพยากรองค์กร): ผสานการทำงานการดำเนินงานที่สำคัญๆ เช่น ยอดขาย สต๊อก และการทำบัญชี
- โซลูชันการผสานการทำงานการชำระเงิน: เชื่อมต่อการชำระเงินในร้านค้าและบนเว็บ
การผสานการทำงานของระบบและการออกแบบการดำเนินงาน
- ผสานการทำงานระบบต่างๆ ที่เลือกไว้ เพื่อให้แชร์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์
- รวมสินค้าคงคลัง ผู้ซื้อ และบันทึกคำสั่งซื้อ
- สร้างระบบที่พนักงานหน้าร้านและเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนจะใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน
- กำหนดกฎการดำเนินงานที่ชัดเจน
การฝึกอบรมเป็นการภายในและการทดสอบการปฏิบัติงาน
- ฝึกอบรมทีมที่หน้าร้านและฝ่ายสนับสนุนทางออนไลน์เกี่ยวกับวิธีใช้ระบบและเครื่องมือใหม่ๆ
- ทดลองใช้งานกับบางสาขาและสินค้าบางรายการ เพื่อค้นหาปัญหาและจุดที่ต้องปรับปรุง
- รวบรวมและแสดงความคิดเห็นของลูกค้า และเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินงานเต็มรูปแบบ
สุดท้ายแล้ว เป้าหมายก็คือการจัดการช่องทางการขาย รายละเอียดของลูกค้า และข้อมูลสินค้าคงคลังจากส่วนกลาง แต่ไม่จำเป็นต้องผสานการทำงานทุกอย่างตั้งแต่แรก เมื่อค่อยๆ ผสานการทำงานไปเรื่อยๆ และปรับแต่งระบบที่มีอยู่ ธุรกิจต่างๆ ก็จะใช้การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมไปทีละน้อยโดยลดภาระงานโดยรวมไปด้วยพร้อมๆ กัน
กรณีศึกษาเกี่ยวกับการค้าแบบแพลตฟอร์มรวม
พอถึงจุดนี้ เราก็ได้ดูเบื้องหลังและข้อดีของการค้าแบบแพลตฟอร์มรวม ตลอดจนขั้นตอนการผสานการทำงานกันไปแล้ว คราวนี้ เรามาลองดูกรณีศึกษาของบริษัทต่างๆ ที่นำการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมไปใช้จริงกัน บริษัทเหล่านี้พบปัญหาอะไรบ้าง แล้วแก้ไขปัญหาอย่างไร และได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ในส่วนนี้ เราจะพาไปดูตัวอย่างบางรายการ และอธิบายผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังนำแนวทางนี้ไปใช้อย่างชัดเจน
Castlery
มาดูแบรนด์เฟอร์นิเจอร์อย่าง Castlery กัน
ปัญหา
Castlery มีทั้งหน้าร้านและร้านค้าออนไลน์ แต่หลังจากชำระเงินที่หน้าร้านแล้ว พนักงานก็ยังต้องป้อนข้อมูลของนักช้อปและข้อมูลการชำระเงินลงในระบบด้วยตนเองด้วย การคืนสินค้าอาจใช้เวลาถึง 2 สัปดาห์ในการดำเนินการ ซึ่งเป็นปัญหาต่อความพึงพอใจของลูกค้าและภาระงานของพนักงาน
วิธีแก้ปัญหา
บริษัทได้นำขั้นตอนที่ช่วยให้มีการผสานการทำงานการชำระเงินและข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ระหว่างหน้าร้านกับเว็บเข้ามาใช้ การแชร์ประวัติการซื้อและรายละเอียดสต๊อกสินค้าในทันทีช่วยให้ไม่ต้องทำงานบริหารจัดการที่ซ้ำซ้อน
หลังจากนำระบบนี้มาใช้ บริษัทก็ได้รับผลลัพธ์ดังนี้
- เวลาดำเนินการคืนสินค้าลดลงจากหลายสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่วัน
- ขั้นตอนการทำงานด้านการบริหารจัดการที่ง่ายขึ้น
- ช่วยให้เห็นประวัติการสั่งซื้อของลูกค้าจากทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้ครบถ้วน ซึ่งช่วยให้มอบบริการแบบเฉพาะตัวได้มากขึ้นและให้คำแนะนำได้แม่นยำขึ้น
- การทำบัญชีและการจัดการสินค้าคงคลังมีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมดีขึ้น
Traxero
ต่อไป เราจะมาดู Traxero ซึ่งให้บริหารแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ดำเนินงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น การประสานงานการจัดส่ง การติดตามยานพาหนะ และการสนับสนุนสำหรับผู้ให้บริการช่วยเหลือบนท้องถนน
ปัญหา
ระบบการชำระเงินแบบเก่าของบริษัทนี้ทำให้ยืนยันสถานะธุรกรรมและข้อมูลการคืนเงินสำหรับการชำระเงินทางเว็บและแบบตัวต่อตัวได้ยาก ซึ่งส่งผลให้ทีมไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์แบบเรียลไทม์ได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดปัญหาเกี่ยวกับความโปร่งใสในการชำระเงินและการบริการลูกค้า
วิธีแก้ปัญหา
Traxero ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มแบบครบวงจร ซึ่งรวมศูนย์การชำระเงินและการตรวจสอบการคืนเงิน โดยรองรับธุรกรรมทั้งทางออนไลน์และที่จุดขาย ระบบใหม่นี้มีการนำมาใช้งานจริงได้สำเร็จในเวลาเพียง 4 สัปดาห์
หลังนำระบบนี้มาใช้ บริษัทนี้ก็ได้ผลลัพธ์ดังนี้
- การยืนยันธุรกรรมและสถานะการคืนเงินได้แบบเรียลไทม์
- เวลาดำเนินงานบริหารจัดการที่ลดลงด้วยการจัดการการชำระเงินที่เรียบง่ายขึ้น
- การตอบกลับนักช้อปได้รวดเร็วและมีคุณภาพดียิ่งขึ้น
- การพัฒนาใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่ทีมสามารถนำฟีเจอร์ใหม่ๆ มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว
- การยกระดับความรวดเร็วในการปฏิบัติงานโดยรวม
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมไม่เพียงแต่ช่วยให้ช่องทางการขายและวิธีการชำระเงินต่างๆ มีความสอดคล้องกัน แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ด้วย เช่น การจัดการสินค้าคงคลังและการบริการลูกค้า เมื่อใช้อย่างเหมาะสม วิธีนี้จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและยกระดับความพึงพอใจไปพร้อมๆ กัน
บริษัทต่างๆ ในตลาดญี่ปุ่นที่มีหน้าร้านจริงและเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซต่างต้องเผชิญกับปัญหาและความต้องการที่คล้ายๆ กัน และตัวอย่างจากต่างประเทศเหล่านี้ก็เป็นหลักฐานสนับสนุนอย่างดีว่าคุณควรนำโมเดลค้าปลีกแบบแพลตฟอร์มรวมมาใช้ในประเทศญี่ปุ่น
Stripe Terminal ช่วยอะไรได้บ้าง
Stripe Terminal ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มรายรับได้ด้วยระบบชำระเงินแบบครบวงจรที่ครอบคลุมช่องทางชำระเงินที่จุดขายและการชำระเงินออนไลน์ โดยรองรับวิธีการชำระเงินใหม่ๆ มีลอจิสติกส์ฮาร์ดแวร์ที่เรียบง่าย ครอบคลุมทั่วโลก และการผสานการทำงานกับระบบ POS และแพลตฟอร์มการค้าหลายร้อยรายการเพื่อออกแบบสแต็กการชำระเงินที่เหมาะกับคุณ
Stripe ขับเคลื่อนการค้าแบบแพลตฟอร์มรวมให้แบรนด์มากมาย เช่น Hertz, URBN, Lands’ End, Shopify, Lightspeed และ Mindbody
Stripe Terminal สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
- รวมแพลตฟอร์มการค้า: จัดการการชำระเงินออนไลน์และที่จุดขายบนแพลตฟอร์มทั่วโลกด้วยข้อมูลการชำระเงินที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
- ขยายไปทั่วโลก: ขยายไปยัง 24 ประเทศด้วยการผสานการทำงานเพียงชุดเดียวและวิธีการชำระเงินยอดนิยม
- ผสานการทำงานในแบบของคุณ: พัฒนาแอป POS แบบกำหนดเองของคุณเอง หรือเชื่อมต่อกับสแต็กเทคโนโลยีที่มีอยู่โดยใช้การผสานการทำงานกับระบบ POS และแพลตฟอร์มการค้าของบริษัทอื่น
- ลดความซับซ้อนของโลจิสติกส์ฮาร์ดแวร์: สั่งซื้อ จัดการ และติดตามตรวจสอบเครื่องอ่านบัตรที่รองรับ Stripe ได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Terminal หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ