การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลเป็นกระบวนการผสานรวมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับด้านต่างๆ ของธุรกิจและสังคม กระบวนการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อแนวทางการดําเนินงานขององค์กร การมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และการแข่งขันในตลาด ผลการศึกษาวิจัยในปี 2023 พบว่า 93% ขององค์กร ได้นำเอาหรือกำลังวางแผนที่จะนำเอากลยุทธ์ทางธุรกิจที่เน้นระบบดิจิทัลมาใช้
สำหรับธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงประเภทนี้อาจรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น การยอมรับนวัตกรรมที่เน้นระบบดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงด้านการปฏิบัติงาน เช่น การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การประมวลผลในระบบคลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ อินเทอร์เน็ตของทุกสรรพสิ่ง (IoT) และระบบอัตโนมัติ เพื่อออกแบบกระบวนการทางธุรกิจใหม่ สร้างโอกาส และส่งเสริมการทำงานร่วมกันแบบข้ามสายงาน เทคโนโลยีดิจิทัลยังสามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของลูกค้าได้ โดยมอบข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ธุรกิจต่างๆ ต้องการเพื่อออกแบบบริการเฉพาะบุคคลและปรับปรุงการมีปฏิสัมพันธ์แบบดิจิทัล
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลที่ประสบความสําเร็จจะช่วยให้องค์กรต่างๆ ก้าวทันเทรนด์และเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ คู่มือนี้จะอธิบายสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมาย ความท้าทาย ตัวอย่างสําคัญ กลยุทธ์สําหรับการปรับใช้งาน และวิธีการวัดประสิทธิภาพ
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลคืออะไร
- เป้าหมายของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- เทคโนโลยีสําคัญในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- พื้นที่และตัวอย่างการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- ความท้าทายในโครงการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- กลยุทธ์สําหรับการปรับใช้งานการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- บทบาทในทีมด้านการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- การวัดความสําเร็จและ ROI ของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่อการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
- แนวโน้มปัจจุบันและอนาคตของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลคืออะไร
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลคือกระบวนการผสานการทำงานเทคโนโลยีดิจิทัลในทุกพื้นที่ของธุรกิจ เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้า โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ มาพลิกโฉมกระบวนการที่มีอยู่ เพื่อสร้างโอกาสและมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้าและพนักงาน
แง่มุมที่สําคัญของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และความเป็นผู้นํา: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลต้องมีผู้นําที่เข้มแข็งและมีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์
เปลี่ยนแนวคิดทางวัฒนธรรม: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลมักจะเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กร ธุรกิจต่างๆ ควรสนับสนุนการทดลอง ความคล่องตัว และการร่วมมือกันแบบข้ามสายงาน
การผสานการทํางานด้านเทคโนโลยี: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลกําหนดให้ธุรกิจต้องผสานการทํางานเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ เข้ากับหลากหลายสายงานทางธุรกิจ
โมเดลที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลนั้นเน้นลูกค้าเป็นสําคัญ เป้าหมายคือการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยบริการเฉพาะบุคคลและความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น
ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลช่วยปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจในแง่ของการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต
ความคล่องตัวขององค์กร: ในระหว่างการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล ธุรกิจต่างๆ ใช้ระเบียบวิธีที่คล่องตัวเพื่อให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามอุปสงค์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลประกอบด้วยการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทําการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล เรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า และรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด
การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: องค์กรต่างๆ ต้องนำมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมาปรับใช้เพื่อให้เท่าทันกับข้อกังวลด้านการรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ
เป้าหมายของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างองค์กรที่ให้ความสําคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มีประสิทธิภาพ และเป็นนวัตกรรมมากขึ้น ลูกค้าคาดหวังประสบการณ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้และปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคลตลอดเวลาและในทุกจุดสัมผัส และธุรกิจอาจประสบปัญหาในการตอบสนองความคาดหวังเหล่านี้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีใหม่ ธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลก็มีความเสี่ยงที่จะล้าหลังคู่แข่งรายอื่นๆ
ธุรกิจที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลมักจะมีเป้าหมายดังต่อไปนี้
ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น: ธุรกิจต่างๆ สามารถนําเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้พัฒนาแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายมากขึ้น รวมทั้งทำการตลาดแบบกำหนดเป้าหมาย ตัวเลือกแบบบริการตัวเอง และการเข้าถึงได้ตลอด 24 ชม.
ประสิทธิภาพการดําเนินงานที่ดีขึ้น: เทคโนโลยีสามารถทํางานโดยอัตโนมัติ ลดความซับซ้อนของขั้นตอนการทํางาน และปรับปรุงการวิเคราะห์ข้อมูล นําไปสู่การประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน
นวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลทําให้พนักงานสามารถเข้าถึงเครื่องมือและข้อมูลใหม่ๆ ที่สามารถช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ได้
พนักงานได้รับการสนับสนุนมากขึ้น: เทคโนโลยีและการฝึกอบรมสามารถส่งเสริมให้พนักงานมีประสิทธิผลมากขึ้นและตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
ทำการตัดสินใจที่สําคัญได้มากขึ้น: เทคโนโลยีใหม่ๆ ช่วยให้ธุรกิจเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้มากขึ้น จึงทําการตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น
เทคโนโลยีสําคัญในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นแรงผลักดันในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล ต่อไปนี้คือเทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนไปสู่ระบบนี้
การประมวลผลผ่านระบบคลาวด์: การประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ช่วยให้องค์กรจัดเก็บข้อมูลและเรียกใช้แอปพลิเคชันในเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ช่วยให้สามารถทำงานจากระยะไกล ทำงานร่วมกัน และปรับใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว
AI และแมชชีนเลิร์นนิง: เทคโนโลยี AI และแมชชีนเลิร์นนิงสามารถเปลี่ยนกระบวนการให้เป็นอัตโนมัติ วิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ และสร้างระบบอัจฉริยะได้
ข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์: ข้อมูลขนาดใหญ่หมายถึงข้อมูลจํานวนมากที่ธุรกิจเก็บรวบรวมขณะดำเนินงาน ธุรกิจต่างๆ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดึงข้อมูลเชิงลึก ตรวจจับรูปแบบ และสนับสนุนการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้
IoT: IoT เชื่อมต่ออุปกรณ์จริงเข้ากับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้เก็บรวบรวมและแชร์ข้อมูลได้ เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์สําหรับธุรกิจในด้านการผลิต การดูแลสุขภาพ การจัดการซัพพลายเชน และเมืองอัจฉริยะ
ระบบอัตโนมัติสําหรับกระบวนการหุ่นยนต์ (RPA): RPA ใช้หุ่นยนต์หรือบ็อตซอฟต์แวร์เพื่อทำงานที่จำเจแบบอัตโนมัติ โดยเป็นเครื่องมือที่พบทั่วไปในแวดวงงานด้านการเงิน ทรัพยากรบุคคล (HR) และบริการลูกค้า
เทคโนโลยีบล็อกเชน: Blockchain เป็นเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์สำหรับธุรกรรมที่ปลอดภัยและโปร่งใส ซึ่งมักใช้ในด้านการเงิน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และ การยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
5G และการเชื่อมต่อ: เครือข่าย 5G มีการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและความล่าช้าต่ํา จึงอํานวยความสะดวกในการใช้งานขั้นสูง เช่น Augmented Reality (AR) และการตรวจสอบติดตามจากระยะไกล
AR และความจริงเสมือน (VR): เทคโนโลยี AR และ VR สร้างประสบการณ์ที่สมจริงให้กับผู้ใช้และมักจะใช้ในการฝึกอบรม ทําการตลาด งานบันเทิง และสาธิตผลิตภัณฑ์เสมือน
เครื่องมือสําหรับการทํางานร่วมกันและแพลตฟอร์มการสื่อสาร: ซอฟต์แวร์อย่าง Microsoft Teams, Slack และ Zoom จะช่วยสนับสนุนการสื่อสารภายในและภายนอกองค์กรที่ง่ายขึ้น รวมทั้งอํานวยความสะดวกให้กับการทํางานระยะไกล
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: เทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซช่วยให้ธุรกิจขายสินค้าและบริการทางออนไลน์ ซึ่งสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สะดวกและปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
พื้นที่และตัวอย่างการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลใช้เทคโนโลยีเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงพร้อมกับพัฒนาวัฒนธรรม โดยรวมของนวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัว กระบวนการดังกล่าวได้ปรับโฉมแง่มุมต่างๆ ของการดําเนินธุรกิจดังต่อไปนี้
กระบวนการทางธุรกิจ
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลมักจะเริ่มต้นจากการปรับกระบวนการทางธุรกิจใหม่ๆ และการสร้างขั้นตอนการทํางานแบบอัตโนมัติหรือดิจิทัลเพื่อช่วยประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการดำเนินการด้วยตนเอง
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
RPA สําหรับงานซ้ําๆ เช่น การป้อนข้อมูลและการประมวลผลการเคลม
ประสบการณ์ของลูกค้า
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าได้โดยการสร้างการโต้ตอบแบบส่วนบุคคลและการให้บริการที่ดีขึ้น
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
แชทบ็อตและผู้ช่วยเสมือนเพื่อการสนับสนุนลูกค้าแบบทันที
ระบบการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) เพื่อติดตามการโต้ตอบของลูกค้าและปรับแต่งการดําเนินการด้านการตลาดให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน
แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้สมาร์ทโฟนเพื่อมีส่วนร่วมกับธุรกิจได้
ประสบการณ์ของพนักงาน
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลสามารถมอบเครื่องมือ แพลตฟอร์มการสื่อสาร และทรัพยากรการฝึกอบรมที่ดีขึ้นให้กับพนักงานได้
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
เครื่องมือการทํางานร่วมกันบนระบบคลาวด์ เช่น Microsoft Teams และ Slack สําหรับการทํางานจากทางไกลและการสื่อสารกับทีม
แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์สําหรับการฝึกอบรมพนักงานและการพัฒนาทักษะ
ระบบ HR แบบดิจิทัลสําหรับการจัดการระเบียนพนักงาน เงินเดือน และสวัสดิการ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์
เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้การสร้างต้นแบบ การทดสอบ และการรับความคิดเห็นจากลูกค้ารวดเร็วยิ่งขึ้น จึงส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ง่ายและสร้างสรรค์กว่าเดิม
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
การพิมพ์ 3 มิติเพื่อการสร้างต้นแบบและการผลิตที่รวดเร็ว
วิธีการพัฒนาแบบคล่องตัวเพื่อเร่งวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์
ปรับปรุงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุความต้องการของลูกค้าและปรับแต่งฟีเจอร์ผลิตภัณฑ์
ซัพพลายเชนและการปฏิบัติงาน
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลช่วยปรับปรุงความสามารถในการติดตาม การทํางานอัตโนมัติ และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งอาจส่งผลให้การปฏิบัติงานรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น และคล่องตัวมากขึ้น
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
เซ็นเซอร์ IoT เพื่อตรวจสอบสินค้าคงคลังและติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์
การวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานเพื่อปรับแต่งงานด้านลอจิสติกส์และลดความสิ้นเปลือง
คลังสินค้าที่ดำเนินงานอัตโนมัติโดยใช้หุ่นยนต์เพื่อการดําเนินการตามคําสั่งซื้อที่รวดเร็วขึ้น
การตลาดและการขาย
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและการขายด้วยการให้การเข้าถึงการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับใหม่ และการนำผลการวิเคราะห์เหล่านี้ไปใช้ในรูปแบบใหม่ๆ
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
เครื่องมือการตลาดดิจิทัลสําหรับการโฆษณาแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายและการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าและปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าทางออนไลน์และรับคําแนะนําเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลส่งผลกระทบที่สําคัญต่อฟังก์ชันต่างๆ ในแวดวงด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษา บริการทางการเงิน รวมทั้งภาครัฐและบริการสาธารณะ
การดูแลสุขภาพ
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลได้สร้างเครื่องมือสําหรับการดูแลผู้ป่วยและช่วยให้การแชร์ข้อมูลในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพนั้นง่ายขึ้น
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
บันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) ที่รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยและอำนวยความสะดวกในการแบ่งปันข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ
แพลตฟอร์มการแพทย์ทางไกลสําหรับการให้คําปรึกษาและการตรวจดูแลผู้ป่วยจากระยะไกล
อุปกรณ์ด้านสุขภาพที่สวมใส่ได้ซึ่งติดตามสัญญาณชีพของผู้ป่วยและส่งข้อมูลให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ
การศึกษา
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลได้สร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการเรียนรู้ ห้องเรียนเสมือนจริง และแหล่งข้อมูลการเรียนรู้แบบดิจิทัล
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Coursera และ EDX เพื่อการศึกษาทางไกลและการพัฒนาทักษะ
ห้องเรียนออนไลน์ที่ช่วยในการมีปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ระหว่างครูกับนักเรียน
หนังสือเรียนดิจิทัลและแอปการศึกษาเพื่อประสบการณ์การเรียนรู้แบบอินเทอร์แอกทีฟ
บริการด้านการเงิน
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลได้สร้างนวัตกรรมสําคัญๆ ในอุตสาหกรรมการเงิน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมธนาคาร ประกันภัย และการลงทุน
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
แอปธนาคารบนอุปกรณ์เคลื่อนที่สําหรับธุรกรรม, การชําระเงิน และการจัดการบัญชีทางออนไลน์
โซลูชันฟินเทค เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล บริการเงินกู้ยืมแบบบุคคลถึงบุคคล และการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี
เครื่องมือประเมินความเสี่ยงอัตโนมัติเพื่อลดความซับซ้อนในการพิจารณาประกันภัย
รัฐบาลและบริการสาธารณะ
เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้รัฐบาลและบริการสาธารณะปรับปรุงการให้บริการ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชนได้
ตัวอย่างของเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ
แพลตฟอร์มอิลเ็กทรอนิกส์ของรัฐบาลสำหรับบริการออนไลน์ เช่น การยื่นภาษี การต่ออายุใบอนุญาต และการสมัครใบอนุญาต
โครงการริเริ่มด้านข้อมูลเปิดที่ส่งเสริมความโปร่งใสและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลได้
ระบบยืนยันตัวตนแบบดิจิทัลเพื่อการเข้าถึงบริการของรัฐบาลที่ปลอดภัยและสะดวก
ความท้าทายในโครงการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
การดำเนินโครงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอาจนำมาซึ่งความท้าทายมากมายสำหรับธุรกิจ รวมถึงพนักงานที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์ของลูกค้าที่ไม่สม่ำเสมอ ด้านล่างนี้เป็นภาพรวมเกี่ยวกับความท้าทายที่สําคัญๆ และวิธีที่ธุรกิจต่างๆ จะเอาชนะความท้าทายเหล่านั้นได้
การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล เนื่องจากกลัวจะสูญเสียงาน ไม่สบายใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือขาดความเข้าใจในประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง กลยุทธ์การจัดการการสื่อสาร การฝึกอบรม และการเปลี่ยนแปลงสามารถช่วยในการรับมือกับการต่อต้านและส่งเสริมการใช้งานได้
ขาดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่ชัดเจน: หากองค์กรขาดวิสัยทัศน์หรือแผนงานที่ชัดเจนสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ความสับสนและความพยายามที่ไม่ต่อเนื่องก็อาจขัดขวางความก้าวหน้าได้ การพัฒนากลยุทธ์ที่ครอบคลุมด้วยเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างดี ลําดับเวลา และตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก (KPI) จะช่วยเป็นแนวทางให้ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง
ช่องว่างทักษะและการขาดแคลนผู้มีความสามารถ: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลต้องใช้ทักษะเฉพาะทางและความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล, AI และการประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ องค์กรอาจประสบปัญหาในการหาหรือรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ การลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานและการสร้างความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกหรือบริษัทที่ปรึกษาสามารถลดช่องว่างทักษะได้
ระบบและโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม: ระบบแบบเดิมอาจเป็นอุปสรรคหลักในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล บ่อยครั้งที่ระบบเหล่านี้ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา และทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง องค์กรต่างๆ สามารถบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้โดยการพัฒนาแผนแบบแบ่งระยะเพื่อปรับปรุงระบบเดิมให้ทันสมัย ใช้การโยกย้ายไปสู่ระบบคลาวด์ และสถาปัตยกรรมแบบแบ่งส่วนเพื่อลดการหยุดชะงัก
ความกังวลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: ธุรกิจต้องจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนในโครงการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การละเมิดข้อมูลอาจทำให้เกิดความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียง โดยเฉลี่ยแล้ว ต้นทุนด้านการละเมิดข้อมูลเพิ่มขึ้น 15.3% ตั้งแต่ปี 2020 ถึงปี 2023 ปกป้องข้อมูลนี้โดยการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รัดกุม ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำ และปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (GDPR) ของสหภาพยุโรป และพระราชบัญญัติความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคแห่งแคลิฟอร์เนีย (CCPA)
ข้อจํากัดด้านงบประมาณ: โครงการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลอาจต้องใช้การลงทุนทางการเงินจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้เงินงบประมาณของธุรกิจมากเกินไป และส่งผลกระทบต่อลำดับความสำคัญอื่นๆ จัดการงบประมาณของคุณ โดยให้ความสำคัญกับโครงการริเริ่มที่มีผลกระทบและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงที่สุด แล้วสร้างแผนการดำเนินการแบบแบ่งระยะเพื่อกระจายต้นทุนออกไปในช่วงเวลาต่างๆ
แผนกที่แยกส่วนและการทำงานร่วมกันที่ไม่ดี: องค์กรที่มีแผนกที่แยกส่วนกันอาจประสบปัญหาในการทำงานร่วมกันระหว่างแผนก ซึ่งทำให้ความพยายามในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลล่าช้า เพื่อแก้ปัญหานี้ ให้ส่งเสริมการทำงานร่วมกันผ่านกระบวนการแบบคล่องตัว ทีมข้ามสายงาน และแพลตฟอร์มการสื่อสารแบบดิจิทัล
การสนับสนุนจากผู้บริหารที่ไม่เพียงพอ: การขาดการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อโครงการการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล ลดโมเมนตัม และจำกัดการเข้าถึงทรัพยากร เพื่อเพิ่มการสนับสนุนสูงสุดตลอดกระบวนการ โปรดขอรับการสนับสนุนจากผู้บริหารด้วยการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลและมีส่วนร่วมกับผู้บริหารในการวางแผน
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอันฉับไว: การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสามารถทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการติดตามแนวโน้มใหม่ๆ และรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน ธุรกิจต่างๆ สามารถต่อสู้กับสิ่งนี้ได้โดยการคอยติดตามข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ลงทุนในโซลูชันที่ปรับขนาดได้ และส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
ประสบการณ์ของลูกค้าที่ไม่สม่ำเสมอ: เป้าหมายของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลคือการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า แต่โซลูชันดิจิทัลที่ไม่สม่ำเสมอหรือดำเนินการไม่ดีอาจส่งผลเสียและนำไปสู่ความไม่พึงพอใจของลูกค้า ความพยายามในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลควรใช้คำติชมของลูกค้าเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงและมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่สอดคล้องกันในทุกจุดสัมผัส
ความไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของธุรกิจ: โครงการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลอาจไม่สําเร็จหากไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจในวงกว้าง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรออกแบบโครงการริเริ่มด้านการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล โดยคำนึงถึงเป้าหมายโดยรวมขององค์กร ซึ่งจะกำหนดว่าวัตถุประสงค์เหล่านี้มีส่วนสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจและความพึงพอใจของลูกค้าอย่างไร
กลยุทธ์สําหรับการปรับใช้งานการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
กลยุทธ์มากมายสามารถช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
พัฒนาวิสัยทัศน์และแผนงาน
กําหนดเป้าหมายขององค์กรเพื่อการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล คุณกำลังพยายามแก้ปัญหาด้านใด และกำลังพยายามคว้าโอกาสด้านใดอยู่
สร้างแผนงานสําหรับขั้นตอนสําคัญ เป้าหมายระหว่างทาง และทรัพยากรที่จําเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย
มุ่งเน้นที่ประสบการณ์ของลูกค้า
- ให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของคุณ ระบุความต้องการและความท้าทายของพวกเขา และกำหนดว่าคุณสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้และเป็นส่วนตัวได้อย่างไร
สร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและการทดลอง
- ส่งเสริมวัฒนธรรมที่พนักงานสามารถยอมรับแนวคิดใหม่ๆ ยอมรับความเสี่ยงที่คำนวณมาแล้ว และเรียนรู้จากความล้มเหลว เพื่อให้องค์กรของคุณสามารถปรับตัวและก้าวล้ำนำหน้าผู้อื่นได้
ลงทุนในบุคลากรที่มีความสามารถและทักษะที่เหมาะสม
- ระบุทักษะและความเชี่ยวชาญที่ธุรกิจของคุณต้องการในการดำเนินกลยุทธ์การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล โดยอาจเกี่ยวข้องกับการจ้างบุคลากรใหม่ ฝึกอบรมพนักงานปัจจุบัน หรือร่วมมือกับที่ปรึกษา
ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์
- จัดทํากลยุทธ์ด้านข้อมูลเพื่อเก็บรวบรวม จัดเก็บ วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจและเพิ่มคุณค่าให้แก่ทั่วทั้งองค์กร
จัดลําดับความสําคัญด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกําหนด
ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม เพื่อปกป้องข้อมูลและระบบของคุณจากการโจมตีทางไซเบอร์
ปฏิบัติตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ปรับใช้ระเบียบวิธีที่คล่องตัว
- แบ่งโครงการใหญ่ๆ ให้เป็นงานเล็กๆ ที่จัดการได้ง่ายขึ้น เพื่อให้สามารถทำซ้ำ ทดสอบ และปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วยิ่งขึ้นตามผลลัพธ์
มอบแนวทางและการสนับสนุนสําหรับพนักงาน
สื่อสารวิสัยทัศน์และเป้าหมายการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลให้แก่พนักงานทุกคน
จัดให้มีการฝึกอบรมและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ๆ
วัดและติดตามความคืบหน้า
สร้าง KPI เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการริเริ่มในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
ใช้เมตริกประสิทธิภาพเพื่อระบุด้านที่ควรปรับปรุงและวัด ROI
ก้าวสู่การเดินทางแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
- การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง เตรียมพร้อมที่จะปรับกลยุทธ์ของคุณเมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นและความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไป
บทบาทในทีมด้านการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
โครงการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลจำเป็นต้องมีทีมงานที่หลากหลายเพื่อผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค เชิงกลยุทธ์ และการปฏิบัติการให้เหมาะสม ความร่วมมือและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในหมู่สมาชิกของทีมคือส่วนสําคัญของโครงการนี้
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล (CDO) หรือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเปลี่ยนระบบ (CTO): CDO หรือ CTO เป็นผู้นําด้านการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลและสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม พวกเขาจะกําหนดทิศทางและประสานงานกิจกรรมข้ามสายงาน
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล (CIO) หรือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO): CIO/CTO ดูแลด้านเทคโนโลยีของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล การจัดการโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) การนำระบบคลาวด์มาใช้ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการผสานรวมเทคโนโลยี พวกเขาจะดำเนินการให้มั่นใจว่าโซลูชันด้านเทคโนโลยีตอบโจทย์วัตถุประสงค์ขององค์กร
ผู้จัดการหรือผู้จัดการโครงการด้านการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล: ผู้จัดการหรือผู้จัดการโครงการด้านการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลจะประสานงานโครงการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล พวกเขาคอยดูแลลําดับเวลาของโครงการ งบประมาณ ทรัพยากร และการสื่อสารกับทีมต่างๆ
นักวิเคราะห์ธุรกิจ: นักวิเคราะห์ธุรกิจจะมองหาโอกาสในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล และสร้างเอกสารประกอบโดยละเอียดเพื่อใช้เป็นคู่มือในการปรับใช้งาน พวกเขาทำงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจกระบวนการและข้อกำหนดทางธุรกิจก่อนที่จะออกแบบแผนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เหมาะสม
นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล: นักวิทยาศาสตร์และนักวิเคราะห์ข้อมูลจะตรวจสอบข้อมูล ระบุแนวโน้ม และให้ข้อมูลเชิงลึกที่สนับสนุนการตัดสินใจ พวกเขาทำงานกับชุดข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อดึงข้อมูลอันมีค่าและสนับสนุนกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
ผู้ออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)/อินเทอร์เฟซผู้ใช้ (UI): นักออกแบบ UX และ UI ช่วยสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ใช้งานง่ายและมีส่วนร่วมกับลูกค้าและพนักงาน
นักพัฒนาซอฟต์แวร์และวิศวกร: นักพัฒนาซอฟต์แวร์และวิศวกรออกแบบ สร้าง และดูแลรักษาแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันดิจิทัล พวกเขาเขียนโค้ด เชื่อมต่อระบบ และทดสอบโซลูชันซอฟต์แวร์เพื่อประสิทธิภาพและความสามารถในการปรับขนาด
สถาปนิกคลาวด์และวิศวกร DevOps: สถาปนิกคลาวด์ออกแบบโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์ที่ยืดหยุ่น ปลอดภัย และเชื่อถือได้ วิศวกร DevOps มุ่งเน้นไปที่ระบบอัตโนมัติ การผสานรวมอย่างต่อเนื่อง/การส่งมอบอย่างต่อเนื่อง (CI/CD) และการบำรุงรักษาขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ราบรื่น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์: ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลและดูแลการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล พวกเขาใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย ดำเนินการประเมินความเสี่ยง และตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลง: ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงบริหารจัดการแง่มุมของมนุษย์ในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล พวกเขาสร้างกลยุทธ์การจัดการการเปลี่ยนแปลง จัดเซสชันการฝึกอบรม และสนับสนุนพนักงานในการเปลี่ยนผ่าน
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการสื่อสาร: ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการสื่อสารแปลวิสัยทัศน์การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลให้กับกลุ่มเป้าหมายภายในและภายนอก พวกเขาสร้างข้อความที่สอดคล้องกันและออกแบบแคมเปญการตลาด
ผู้จัดการและเจ้าของผลิตภัณฑ์: ผู้จัดการและเจ้าของผลิตภัณฑ์กำหนดฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ กำหนดลำดับความสำคัญของการพัฒนา และประเมินว่าผลิตภัณฑ์ดิจิทัลตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเป้าหมายทางธุรกิจได้ดีเพียงใด
ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลและการพัฒนาบุคลากร: ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลดูแลการพัฒนาบุคลากร การสรรหาบุคลากร และการมีส่วนร่วมของพนักงาน พวกเขาจัดหาทักษะและทรัพยากรที่เหมาะสมให้กับองค์กรเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล
ผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์ของลูกค้า: ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้รวบรวมคำติชมจากลูกค้าระบุความท้าทาย และทำงานเพื่อปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า
ผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนและการปฏิบัติงาน: ผู้เชี่ยวชาญด้านห่วงโซ่อุปทานและการปฏิบัติการทำงานเกี่ยวกับการทำให้กระบวนการเป็นอัตโนมัติ การผสานการทํางาน IoT และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล
การวัดความสําเร็จและ ROI ของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
ก่อนที่จะเริ่มต้นเส้นทางการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล คุณต้องตั้งเป้าหมายที่ตอบสนองกลยุทธ์ธุรกิจโดยรวม เช่น การปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน หรือขับเคลื่อนการเติบโตของรายรับ เป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้คุณกำหนด KPI เพื่อติดตามความคืบหน้าและความสำเร็จของการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของคุณ
KPI ควรจะเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ บรรลุได้ มีความเกี่ยวข้อง และมีกรอบเวลา (SMART) หากเป้าหมายประการหนึ่งของคุณคือการปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้คะแนนผู้สนับสนุนสุทธิ (NPS) ของ KPI ที่วัดทุกไตรมาสได้ ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่กระบวนการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลสร้างขึ้น และใช้การวิเคราะห์เพื่อติดตาม KPI ระบุแนวโน้ม และวัดผลกระทบของโครงการริเริ่มต่างๆ
กลยุทธ์เหล่านี้สามารถช่วยวัดประสิทธิภาพของการริเริ่มการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลในแต่ละช่วงเวลาได้
การทดสอบ A/B: การทดสอบ A/B คือวิธีการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโครงการริเริ่มที่แตกต่างกันและพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลของคุณ
ดัชนีชี้วัดที่สมดุล: ดัชนีชี้วัดที่สมดุลจะประเมินประสิทธิภาพในสี่มิติ
- การเงิน: เมตริก เช่น การประหยัดต้นทุน การเติบโตของรายรับ หรือ ROI
- ลูกค้า: KPI เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า (CSAT), ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า (CAC) หรือมูลค่าตลอดการใช้งานของลูกค้า (CLTV)
- กระบวนการภายใน: การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการ เวลาในรอบ หรืออัตราการลดข้อผิดพลาด
- การเรียนรู้และการเติบโต: อัตราการมีส่วนร่วมของพนักงานในโปรแกรมการฝึกอบรม อัตราการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ หรือจำนวนแนวคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้น
- การเงิน: เมตริก เช่น การประหยัดต้นทุน การเติบโตของรายรับ หรือ ROI
ปัจจัยเชิงคุณภาพ: การประเมินการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเป็นอีกวิธีหนึ่งในการระบุความสําเร็จของโครงการริเริ่มอย่างต่อเนื่อง
- ความพึงพอใจและขวัญกำลังใจของพนักงาน: พนักงานรู้สึกได้รับการสนับสนุนและมีประสิทธิผลมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือไม่
- การทํางานร่วมกันและการสื่อสาร: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลทำให้การทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้นในทุกแผนกหรือไม่
- ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์: ลูกค้ามองว่าธุรกิจมีความสร้างสรรค์และเน้นลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
- ความพึงพอใจและขวัญกำลังใจของพนักงาน: พนักงานรู้สึกได้รับการสนับสนุนและมีประสิทธิผลมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือไม่
การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สำหรับการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลอาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และอาจสร้างผลประโยชน์ที่ประเมินค่าได้ยาก ใช้กรอบเวลาสำหรับ ROI ตามความเป็นจริง และรับทราบว่าแม้ว่าประโยชน์อย่างสมบูรณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอาจไม่ชัดเจนในทันที แต่ก็อาจส่งผลสำคัญในระยะยาวต่อความสามารถในการแข่งขันและความพึงพอใจของลูกค้า ใช้เมตริกเหล่านี้เพื่อวัด ROI สําหรับการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
การประหยัดต้นทุนเทียบกับการลงทุน: เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการใช้โซลูชันดิจิทัลกับการประหยัดค่าใช้จ่ายที่ได้รับ (เช่น ลดต้นทุนแรงงาน ลดอัตราข้อผิดพลาดลง)
รายรับที่สร้างขึ้นจากช่องทางดิจิทัลใหม่ๆ: ติดตามการเติบโตของรายรับจากแพลตฟอร์มการขายออนไลน์แบบใหม่หรือแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น: วัดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลต่อการรักษาลูกค้าและวัดมูลค่าที่ลูกค้าแต่ละรายนำมาสู่ธุรกิจในแต่ละช่วงเวลา
ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่อการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
ปัจจัยภายนอกอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเส้นทางการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลของธุรกิจ โดยจะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงและบังคับให้ธุรกิจปรับตัวหรือตอบสนองต่อข้อกังวลเฉพาะเจาะจง ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุดที่ต้องพิจารณาคือเทคโนโลยี ว่าเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างไร และการแข่งขันที่เกิดขึ้นในตลาด เมื่อคู่แข่งยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ธุรกิจต่างๆ จะต้องเผชิญกับแรงกดดันที่จะต้องปรับตัวตามให้ทัน มิฉะนั้นก็อาจเสี่ยงต่อการล้าหลัง ธุรกิจสตาร์ทอัพและธุรกิจที่ก่อตั้งแล้วที่มีศักยภาพทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งสามารถพลิกโฉมตลาดแบบดั้งเดิมได้ และธุรกิจต่างๆ จะต้องเตรียมพร้อมที่จะตอบสนองด้วยความคล่องตัวและนวัตกรรม
ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ยังส่งผลต่อวิธีที่ธุรกิจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า
พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป: ลูกค้าหลายรายมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและมีความคาดหวังสูงสําหรับการมีปฏิสัมพันธ์ทางดิจิทัล ธุรกิจต่างๆ ต้องนําเทคโนโลยีและกลยุทธ์มาใช้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้
การเติบโตของเส้นทางของลูกค้าในระบบดิจิทัล: ลูกค้ามักทําการศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการทางออนไลน์ก่อนทําการซื้อ ธุรกิจต่างๆ ต้องมีตัวตนบนโลกดิจิทัลที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
ระเบียบข้อบังคับและนโยบายของรัฐบาล
กฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: กฎระเบียบ เช่น GDPR และ CCPA ส่งผลต่อวิธีการที่ธุรกิจจำเป็นต้องรวบรวม จัดเก็บ และใช้ข้อมูลลูกค้า โครงการริเริ่มด้านการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลช่วยให้มั่นใจว่าจะมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้ได้
เงินจูงใจจากรัฐบาลเพื่อการใช้งานระบบดิจิทัล: รัฐบาลบางแห่งเสนอเงินช่วยเหลือหรือลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจต่างๆ ลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันในการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
สภาพเศรษฐกิจและกิจกรรมทั่วโลก
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ: ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจบางแห่งอาจระมัดระวังมากขึ้นในการลงทุนในโครงการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล ขณะที่แห่งอื่นๆ อาจหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดต้นทุนและปรับปรุงการดำเนินงาน
เหตุการณ์ทั่วโลก เช่น การแพร่ระบาด: เหตุการณ์ต่างๆ เช่น การระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดความต้องการการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล เนื่องจากธุรกิจต่างๆ หันไปใช้รูปแบบการทำงานทางไกลและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
แนวโน้มปัจจุบันและอนาคตของการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล
การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ต่อไปนี้คือแนวโน้มปัจจุบันและในอนาคตที่ควรทราบ
แนวโน้มปัจจุบัน
ธุรกิจที่แยกส่วนได้: ธุรกิจต่างๆ กำลังหลีกหนีจากระบบขนาดใหญ่และมุ่งไปสู่ระบบแบบแยกส่วนที่สามารถใช้แทนกันได้ซึ่งจะช่วยให้มีความยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ และสร้างสรรค์นวัตกรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
การใช้ระบบอัตโนมัติในระดับสูง: ธุรกิจต่างๆ ปรับการดำเนินงานเป็นระบบอัตโนมัติในทุกระดับโดยใช้ RPA, AI และแมชชีนเลิร์นนิง ซึ่งทำให้มนุษย์มีเวลาว่างไปทำงานที่สำคัญกว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นบริการ (XaaS): การเข้าถึงซอฟต์แวร์ (SaaS), แพลตฟอร์ม (PaaS) และโครงสร้างพื้นฐาน (IaaS) แบบสมัครใช้บริการกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งหมายความว่ามีตัวเลือกที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและคุ้มค่ามากขึ้นสำหรับผู้ใช้ และสามารถใช้งานโซลูชันเทคโนโลยีได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ความเท่าเทียมกันในการเข้าถึง AI และแมชชีนเลิร์นนิง: แพลตฟอร์มการพัฒนาแบบไม่ต้องเขียนโค้ด/หรือเขียนโค้ดน้อย และเครื่องมือ AI ที่ใช้งานง่ายทำให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถใช้ AI และแมชชีนเลิร์นนิงได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโค้ดมากนัก
IoT: เนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่สร้างขึ้นสามารถช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงการดำเนินงาน พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ และได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มากขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า
ประสบการณ์ทั้งหมด: ธุรกิจต่างๆ กำลังพัฒนาไปไกลกว่าประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์โดยรวมในทุกจุดสัมผัส ซึ่งครอบคลุมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ประสบการณ์ของพนักงาน และประสบการณ์ของพาร์ทเนอร์
ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม: การเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลเป็นเครื่องมือสําคัญสําหรับเป้าหมายด้านความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ช่วยลดการใช้พลังงาน มีการพัฒนาโซลูชัน AI เพื่อปรับปรุงการใช้ทรัพยากร และแคมเปญทางการตลาดแบบดิจิทัลซึ่งส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แนวโน้มในอนาคต
AI: AI มีบทบาทมากขึ้นต่อการเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล ความสามารถของ AI ในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP), คอมพิวเตอร์วิชั่น และการตัดสินใจ กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาดมากขึ้น ประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะกับบุคคล และข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
AI อย่างมีจริยธรรม: เมื่อ AI มีความซับซ้อนมากขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับอคติและผลกระทบด้านจริยธรรมก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจต่างๆ จะต้องพัฒนาและนำโซลูชัน AI มาใช้อย่างมีความรับผิดชอบ
การคํานวณเชิงควอนตัม: แม้จะยังอยู่ในระยะแรกๆ แต่การคํานวณเชิงควอนตัมก็สามารถพลิกโฉมธุรกิจด้วยความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ดีกว่าความสามารถของคอมพิวเตอร์แบบปกติ สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความก้าวหน้าในสาขาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์วัสดุ การค้นพบยา และการสร้างแบบจำลองทางการเงิน
เมตาเวิร์ส: เมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นเครือข่ายของโลกเสมือนจริงที่เชื่อมโยงกันมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน การเข้าสังคม และการจับจ่ายของเรา ธุรกิจต่างๆ จะต้องพัฒนากลยุทธ์เพื่อรับมือกับแนวโน้มใหม่ในโลกดิจิทัลนี้
การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์: ภูมิทัศน์ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลยังคงเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ และธุรกิจต่างๆ จะต้องลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องข้อมูลและระบบของตน
การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: พนักงานและธุรกิจจะต้องยอมรับการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ