ตลาดสินค้ามือสองในเยอรมนีกําลังเฟื่องฟู โดยมียอดขายประจําปีใกล้แตะ 15 พันล้านยูโร แล้ว และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ขายเชิงพาณิชย์จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยรวมไปกับราคาขาย ซึ่งต่างจากบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม เมื่อซื้อสินค้าจากบุคคลธรรมดา บุคคลธรรมดาจะไม่มีสิทธิ์หักภาษีซื้อ เงื่อนไขนี้จะทําให้ผู้ขายเชิงพาณิชย์เสียเปรียบเมื่อเทียบกับผู้ขายที่เป็นบุคคลธรรมดาหากต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มจํานวน ดังนั้นกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของเยอรมนีจึงกําหนดให้เรียกเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรภายใต้มาตรา 25a ของกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Act หรือ UStG)
บทความนี้จะบอกคุณว่าการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรหมายถึงอะไร นําไปใช้ได้เมื่อใด และสินค้าใดบ้างที่เข้าเกณฑ์ นอกจากนี้ เรายังจะแสดงวิธีคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับสินค้าที่เสียภาษีตามโครงสร้างนี้ และสิ่งที่คุณต้องคํานึงถึงเมื่อออกใบแจ้งหนี้
เนื้อหาหลักในบทความ
- การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรหมายถึงอะไร
- ข้อกําหนดสําหรับการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร
- การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรสามารถนําไปใช้กับสินค้าประเภทใดได้บ้าง
- ภาษีมูลค่าเพิ่มคํานวณอย่างไรเมื่อใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร
- ใบแจ้งหนี้ต้องเป็นไปตามข้อกําหนดอะไรบ้างสําหรับการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร
- ผลที่ตามมาของการใช้ภาษีจากส่วนต่างกำไรอย่างไม่ถูกต้องมีอะไรบ้าง
การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรหมายถึงอะไร
การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรเป็นโครงสร้างภาษีมูลค่าเพิ่มชนิดพิเศษ โดยที่จะเรียกเก็บภาษีกับส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาซื้อเท่านั้น ไม่ใช่ราคาขายทั้งหมด กฎนี้เอื้อให้ตัวแทนจําหน่ายสามารถจ่ายภาษีเฉพาะมูลค่าเพิ่มที่ได้มาจากการนำสินค้ามาขายต่อได้ แทนที่จะเป็นมูลค่าการขายทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือจ่ายภาษีเฉพาะเพียงส่วนต่างกำไรเท่านั้น
โครงสร้างส่วนต่างกำไรส่วนใหญ่จะใช้ในการขายสินค้ามือสอง ซึ่งได้ชําระภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับสินค้าไปแล้ว วิธีการนี้จะใช้การลดหย่อนภาษีได้เพียงกับผลกําไรที่แท้จริงของตัวแทนจําหน่ายเท่านั้น และช่วยป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อน การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรในเยอรมนีอยู่ภายใต้มาตรา 25a ของ UStG
ข้อกําหนดสําหรับการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร
การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติตามข้อกําหนดบางประการเท่านั้น โดยเราได้สรุปข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดเอาไว้ให้ด้านล่างนี้
ผู้ขายสินค้ามือสอง
การดําเนินกิจกรรมทางธุรกิจเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะบรรลุเกณฑ์การใช้ภาษีจากส่วนต่างกำไร ตัวอย่างเช่น ช่างภาพอิสระที่ซื้ออุปกรณ์กล้องมือสองจะไม่เข้าเกณฑ์เรียกเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร เพราะโครงสร้างนี้ใช้กับผู้ขายสินค้ามือสองเท่านั้น กล่าวคือเจ้าของธุรกิจที่มีธุรกิจหลักคือการซื้อขายสินค้ามือสอง ซึ่งรวมถึงผู้ขายสินค้ามือสองที่ซื้อ ตกแต่งใหม่ และนำเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือยานพาหนะมาขายต่อ
ผู้จัดการประมูลสาธารณะยังสามารถใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรได้หากพวกเขาประมูลสินค้ามือสองในชื่อของตนเอง เงื่อนไขนี้ใช้ได้ทั้งในกรณีที่ดําเนินการประมูลในนามของบุคคลที่สามหรือดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
สินค้าที่จับต้องได้และเคลื่อนย้ายได้
การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรสามารถใช้ได้เฉพาะกับการค้าขายสินค้าที่จับต้องได้และเคลื่อนย้ายได้เท่านั้น โดยที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้จะไม่เข้าเกณฑ์ โครงสร้างนี้มักใช้กับสินค้าที่มีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มมาแล้วในธุรกรรมก่อนหน้า เช่น สินค้ามือสอง สินค้าส่งคืน สินค้าที่ใช้ตั้งแสดง หรือสินค้าจากการชำระบัญชีสินค้า สินค้าเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้ามือสองตามความหมายทั่วไป ปัจจัยชี้ขาดคือผู้ขายไม่สามารถหักภาษีซื้อจากการซื้อสินค้าได้ และมีส่วนต่างกำไรเกิดขึ้นระหว่างการซื้อและการขายต่อ
หากมีการนำสินค้าหลายรายการที่เข้าเกณฑ์การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรมารวมกันเพื่อสร้างเป็นรายการสินค้าใหม่ จะไม่สามารถใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรได้ และในทางเดียวกัน หากมีการจัดหาสินค้ามือสองมาแต่แยกขายต่อเพียงบางชิ้น ก็จะไม่เข้าเกณฑ์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การบำรุงรักษาหรือการซ่อมแซมเล็กน้อยที่ไม่ทำให้มูลค่าของสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจะไม่กระทบต่อการตรวจสอบคุณสมบัติในการเข้าเกณฑ์
แหล่งที่มาของสินค้า
แหล่งที่มาของสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการพิจารณาความเข้าเกณฑ์ของสินค้า คุณสามารถใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรได้เฉพาะในกรณีที่สินค้ามือสองมีแหล่งที่มาจากเยอรมนีหรือประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ เท่านั้น ส่วนสินค้าที่นำเข้าจากประเทศนอกสหภาพยุโรปโดยทั่วไปจะอยู่ภายใต้ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า ซึ่งสามารถหักเป็นภาษีซื้อได้ จึงไม่สามารถใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรได้ในกรณีเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับงานศิลปะ ของสะสม และของเก่าอยู่ โดยชิ้นงานเหล่านี้จะเข้าเกณฑ์การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรได้ แม้ว่าจะนำเข้ามาจากประเทศนอกสหภาพยุโรปก็ตาม
ไม่มีการหักภาษีซื้อเมื่อซื้อ
หากต้องการทำความเข้าใจว่าเมื่อใดจะสามารถใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรได้ คุณต้องพิจารณาประเภทของการซื้อสินค้าที่ธุรกิจดำเนินการ เพราะโครงสร้างนี้ใช้ได้เฉพาะกับสินค้าที่ได้มาโดยไม่มีสิทธิ์ในการหักภาษีซื้อเท่านั้น กล่าวคือสินค้าต้องมาจากบุคคลธรรมดาหรือธุรกิจที่ไม่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่มีสิทธิ์หักภาษีซื้อ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 19 ของ UStG
ไม่รวมการใช้งานส่วนบุคคล
การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรสามารถใช้ได้เฉพาะในกรณีที่มีการจัดหาสินค้าสำหรับกิจกรรมทางการค้าของกิจการเท่านั้น สินค้าที่ซื้อเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัวหรือการใช้งานส่วนบุคคลจะไม่เข้าเกณฑ์การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร กล่าวคือสินค้าต้องถูกซื้อมาโดยมีเจตนาที่จะนำไปขายต่อในภายหลัง กฎข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจได้รับประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อสินค้าเพื่อการใช้งานส่วนบุคคล
การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรสามารถนําไปใช้กับสินค้าประเภทใดได้บ้าง
โดยหลักการแล้ว การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 25a ของ UStG สามารถใช้ได้กับสินค้าหลากหลายประเภท ตราบเท่าที่เป็นไปตามข้อกำหนดที่กล่าวไว้ข้างต้น
สินค้ามือสอง
- เฟอร์นิเจอร์ที่ผู้ขายสินค้ามือสองซื้อ ตกแต่งใหม่ และนำไปขายต่อ
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป ทีวี และเครื่องใช้ในครัวเรือน
- รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ยานพาหนะมือสอง และวิธีการขนส่งอื่นๆ ตลอดจนอะไหล่และอุปกรณ์เสริม
- จักรยานและอุปกรณ์กีฬา
- เครื่องมือ เครื่องจักร และเครื่องใช้
- เครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ
- หนังสือ ทั้งหนังสือมือสองหรือหนังสือโบราณ
- ของเล่น ทั้งที่ใช้แล้วหรือของโบราณ
งานศิลปะและวัตถุโบราณ
- ภาพวาด
- ประติมากรรม
- วัตถุศิลปะ
- วัตถุโบราณ
- เฟอร์นิเจอร์โบราณ
- ของตกแต่ง
ธุรกิจที่ซื้อขายงานศิลปะหรือของเก่าสะสมจะต้องรายงานต่อสำนักงานสรรพากรว่าตนใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรกับสินค้าหมวดหมู่ใดบ้าง หากไม่สามารถระบุราคาซื้อของงานศิลปะได้หรือราคาซื้อมีนัยสำคัญน้อย กฎหมาย (มาตรา 25a.3 ของ UStG) กำหนดให้ใช้ฐานภาษีคงที่ที่ร้อยละ 30 ของราคาขาย
ของสะสม
- แสตมป์
- เหรียญ
- เครื่องประดับ
แม้ว่าหินมีค่าหรือโลหะมีค่าที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูปจะไม่เข้าเกณฑ์การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรอย่างชัดเจน แต่เงื่อนไขนี้ไม่มีผลกับเครื่องประดับที่ทำจากหินมีค่าหรือโลหะมีค่าที่ผ่านการแปรรูปแล้ว
ภาษีมูลค่าเพิ่มคํานวณอย่างไรเมื่อใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร
ปัจจัยสำคัญในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มคือการพิจารณามูลค่ารวมของสินค้าที่ขายออกไปก่อน หากรายได้รวมในรอบภาษีต่ำกว่า 750 ยูโร ธุรกิจสามารถใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรรวมได้ โดยจะนำส่วนต่างกำไรของสินค้าทั้งหมดมารวมกันเพื่อให้ได้ส่วนต่างกำไรรวมเป็นก้อนเดียว แต่หากรายได้เกิน 750 ยูโร จะต้องคำนวณส่วนต่างกำไรของสินค้าแต่ละรายการแยกกัน (ดูมาตรา 25a.4 ของ UStG)
ในทั้งสองกรณี การคำนวณจะเป็นไปตามหลักการเดียวกัน คือการนำราคาซื้อหักออกจากราคาขาย ส่วนต่างที่ได้คือมูลค่าที่เพิ่มมา หากเป็นการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรแบบแยกรายการ การคำนวณนี้จะทำแยกสำหรับสินค้าแต่ละชิ้น ส่วนการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรรวมจะทำการคำนวณรวมสำหรับสินค้าทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณนี้จะเป็นตัวกำหนดฐานภาษีสำหรับการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
โดยทั่วไปแล้ว อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรฐานที่ร้อยละ 19 จะใช้กับส่วนต่างกำไร แม้แต่ในกรณีของสินค้าที่ปกติอยู่ภายใต้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแบบลดหย่อนร้อยละ 7 เช่น ของสะสมหรืองานศิลปะ ก็ยังคงต้องใช้อัตรามาตรฐานนี้เช่นกัน
Stripe Tax จะใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกต้องให้โดยอัตโนมัติสำหรับธุรกรรมทั่วไป สำหรับกรณีเฉพาะ เช่น การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรตามมาตรา 25a ของกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของเยอรมนี (German VAT Act) Stripe จะจัดเตรียมข้อมูลธุรกรรมพื้นฐานที่ระบบบัญชีของคุณสามารถนำไปใช้ในการคำนวณที่จำเป็นได้ คุณสามารถใช้การผสานการทำงานเพียงครั้งเดียวเพื่อปรับกระบวนการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเข้าถึงรายงานทั้งหมดที่จำเป็นต่อเวิร์กโฟลว์ด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างสะดวก
ตัวอย่างที่ 1: การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรแบบรวม
ตัวแทนจำหน่ายสินค้ามือสองรายหนึ่งซื้อเฟอร์นิเจอร์หลายรายการจากบุคคลธรรมดาตลอดหนึ่งปี โดยมีต้นทุนการซื้อรวม 700 ยูโร และสร้างรายได้ 1,100 ยูโรจากการขายสินค้าเหล่านี้ เนื่องจากรายได้รวมของเขาต่ำกว่าเกณฑ์ 750 ยูโร ตัวแทนจำหน่ายรายนี้จึงสามารถใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรรวมได้
การคํานวณส่วนต่างกำไร:
ราคาซื้อสินค้า: 700 ยูโร
ราคาขายสินค้า: 1,100 ยูโร
ส่วนต่างกำไร (มูลค่าที่เพิ่ม): 1,100 ยูโร - 700 ยูโร = 400 ยูโร
การคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม:
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 19% ใช้กับมาร์จิ้น 400 ยูโร:
400 ยูโร x 19% = 76 ยูโร
ตัวแทนจําหน่ายจึงต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 76 ยูโรจากมูลค่าที่เพิ่มมา 400 ยูโร
ตัวอย่างที่ 2: การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรแยกรายการ
ผู้ขายสินค้ามือสองรายหนึ่งซื้อแล็ปท็อปมือสองจากผู้ประกอบการรายย่อยในราคา 800 ยูโร และคอมพิวเตอร์มือสองในราคา 1,200 ยูโร เขาขายแล็ปท็อปต่อในราคา 1,500 ยูโร และขายคอมพิวเตอร์ต่อในราคา 2,500 ยูโร เนื่องจากรายได้รวมของเขาสูงกว่าเกณฑ์ 750 ยูโร เขาจึงต้องคำนวณส่วนต่างกำไรของอุปกรณ์แต่ละชิ้นแยกกัน
การคํานวณส่วนต่างกำไร:
ราคาซื้อแล็ปท็อป: 800 ยูโร
ราคาขายแล็ปท็อป: 1,500 ยูโร
ส่วนต่างกำไร (มูลค่าที่เพิ่ม): 1,500 ยูโร - 800 ยูโร = 700 ยูโร
ราคาซื้อคอมพิวเตอร์: 1,200 ยูโร
ราคาขายคอมพิวเตอร์: 2,500 ยูโร
ส่วนต่างกำไร (มูลค่าที่เพิ่ม): 2,500 ยูโร – 1,200 ยูโร = 1,300 ยูโร
การคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม:
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 19% ใช้กับทั้ง 700 ยูโรและ 1,300 ยูโร
ภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับแล็ปท็อป: 700 ยูโร x 19% = 133 ยูโร
ภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับคอมพิวเตอร์: 1,300 ยูโร x 19% = 247 ยูโร
ผู้ขายสินค้ามือสองต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 133 ยูโรสําหรับแล็ปท็อป และภาษีมูลค่าเพิ่ม 247 ยูโรสําหรับคอมพิวเตอร์ ภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดสําหรับการขายทั้งสองรายการนี้คือ 380 ยูโร
ใบแจ้งหนี้ต้องเป็นไปตามข้อกําหนดอะไรบ้างสําหรับการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไร
ข้อกําหนดการออกใบแจ้งหนี้บางประการที่มีผลบังคับใช้เมื่อใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรมีดังนี้
ประการแรก ใบแจ้งหนี้ต้องไม่แสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มแยกออกมา ในทางปฏิบัติหมายความว่าภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่แสดงรายการแยกบนใบแจ้งหนี้ วิธีนี้ป้องกันไม่ให้ผู้ซื้อขอหักภาษีซื้อได้ ข้อกำหนดนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษในกรณีที่ออกใบแจ้งหนี้ให้กับธุรกิจที่โดยหลักการแล้วมีสิทธิ์หักภาษีซื้อ
ประการที่สอง ใบแจ้งหนี้ต้องระบุอย่างชัดเจนว่ามีการใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรแล้ว โดยถ้อยคำมาตรฐานที่ใช้ในใบแจ้งหนี้ ได้แก่
- "ยอดรวมในใบแจ้งหนี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว โดยไม่แสดงแยกรายการ สินค้ารายการนี้อยู่ภายใต้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรตามมาตรา 25a ของ UStG"
- "สินค้ามือสอง/ข้อบังคับพิเศษ"
- "งานศิลปะ/ข้อบังคับพิเศษ"
- "ของสะสมและวัตถุโบราณ/ข้อบังคับพิเศษ"
ถ้อยคำเหล่านี้มีความสำคัญ เพราะบ่งชี้ให้ผู้ซื้อทราบว่ามีการใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรกับการขายครั้งนี้ ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อไม่สามารถขอหักภาษีซื้อได้
ใบแจ้งหนี้ยังต้องแสดงราคาขายของสินค้าและฐานภาษีที่ใช้ในการคำนวณการเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรด้วย ในกรณีของงานศิลปะจะต้องระบุส่วนต่างกำไรที่เกิดขึ้นด้วย เว้นแต่มีการใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรรวม
ผลที่ตามมาของการใช้ภาษีจากส่วนต่างกำไรอย่างไม่ถูกต้องมีอะไรบ้าง
การใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรอย่างไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้ต้องชำระภาษีย้อนหลังในจำนวนมากและอาจถูกปรับได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มผิดพลาดหรือไม่ได้เรียกเก็บเลย สำนักงานสรรพากรสามารถเรียกเก็บส่วนต่างที่ขาดไปได้ ในบางกรณี หน่วยงานอาจคำนวณภาษีย้อนหลังและเรียกเก็บดอกเบี้ยเพิ่มเติม นอกจากนี้ หากมีความไม่ถูกต้องในการใช้การเก็บภาษีจากส่วนต่างกำไรหรือมีการออกใบแจ้งหนี้ที่ไม่ถูกต้อง ความเสี่ยงที่คุณจะถูกตรวจสอบภาษีหรือการตรวจสอบทางธุรกิจจะเพิ่มสูงขึ้น
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ