โมเดลธุรกิจแบบฟรีเมียม: วิธีสร้างรายรับและสิ่งที่ต้องระวัง

Sigma
Sigma

ข้อมูลทางธุรกิจที่เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. โมเดลธุรกิจฟรีเมียมคืออะไรและทำงานอย่างไร
  3. โมเดลฟรีเมียมสร้างรายรับได้อย่างไร
    1. การสมัครสมาชิกแบบชำระเงิน
    2. ค่าบริการตามการใช้งานหรือค่าบริการแบบแบ่งระดับ
    3. โฆษณา
    4. การซื้อแบบครั้งเดียวและส่วนเสริม
  4. ความท้าทายในการใช้โมเดลฟรีเมียมมีอะไรบ้าง
    1. อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินต่ำ
    2. คุณต้องจัดสรรฟีเจอร์ให้พอดี
    3. ผู้ใช้ฟรีไม่ได้รองรับได้ฟรีๆ
    4. คุณต้องทำงานเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
    5. ตลาดอาจไม่สนับสนุนโมเดลฟรีเมียมเลย
  5. Stripe จะช่วยเรื่องประสิทธิภาพของโมเดลฟรีเมียมได้อย่างไร
    1. ตั้งค่าระดับต่างๆ ในแพ็กเกจและตรรกะการเรียกเก็บเงินให้ยืดหยุ่น
    2. ให้ผู้ใช้ชำระเงินตามที่ต้องการ
    3. สร้างระบบอัตโนมัติในโครงสร้างพื้นฐานรายรับเมื่อคุณขยายธุรกิจ
    4. ทดสอบและพัฒนากลยุทธ์การสร้างรายได้ของคุณ
    5. สร้างความเชื่อมั่นผ่านความน่าเชื่อถือและการรักษาความปลอดภัย
  6. วิธีเริ่มใช้งาน Stripe Sigma เพื่อวิเคราะห์การใช้งานแบบฟรีเมียม

โมเดลฟรีเมียมอาจดูย้อนแย้ง คุณให้สิ่งที่มีค่าฟรีๆ และหวังว่าจะก่อให้เกิดรายรับ แต่สำหรับผลิตภัณฑ์ถูกประเภทและธุรกิจที่เหมาะสม โมเดลฟรีเมียมสามารถเปิดโอกาสให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วและการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง กลยุทธ์นี้มีข้อควรพิจารณาด้านเศรษฐกิจ ความเสี่ยง และโครงสร้างพื้นฐานในแบบของตัวเอง ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายวิธีการทำงานของโมเดลฟรีเมียม ปัจจัยที่ส่งผลให้โมเดลนี้ได้ผล และประโยชน์ของ Stripe ในการสนับสนุนโมเดลนี้

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • โมเดลธุรกิจฟรีเมียมคืออะไรและทำงานอย่างไร
  • โมเดลฟรีเมียมสร้างรายรับได้อย่างไร
  • ความท้าทายในการใช้โมเดลฟรีเมียมมีอะไรบ้าง
  • Stripe จะช่วยเรื่องประสิทธิภาพของโมเดลฟรีเมียมได้อย่างไร
  • วิธีเริ่มใช้งาน Stripe Sigma เพื่อวิเคราะห์การใช้งานแบบฟรีเมียม

โมเดลธุรกิจฟรีเมียมคืออะไรและทำงานอย่างไร

โมเดลธุรกิจฟรีเมียมเกี่ยวข้องกับการแจกผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐานให้ใช้ฟรี แต่คิดค่าบริการสำหรับเวอร์ชันขั้นสูง เป็นวิธีที่บริษัทต่างๆ เช่น Dropbox, Spotify และ Canva ใช้สร้างฐานผู้ใช้จำนวนมาก โดยอนุญาตให้ทุกคนสมัครใช้งานฟรี แล้วสร้างรายได้จากผู้ที่ต้องการฟีเจอร์มากขึ้น

ระดับฟรีให้คุณค่าเพียงพอที่จะดึงดูดผู้คนเข้ามาสู่แพลตฟอร์ม ในขณะที่ระดับที่ต้องชำระเงินจะปลดล็อกฟีเจอร์ ความจุ ความเร็ว การผสานการทำงาน และการปรับแต่งเพิ่มเติม รายรับของคุณมาจากเศษเสี้ยวของผู้ใช้ที่อัปเกรดเป็นแพ็กเกจแบบชำระเงิน เมื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งสองส่วนของช่องทาง โดยดึงดูดผู้ใช้ฟรีและปรับปรุงเส้นทางการอัปเกรด คุณจะสามารถขยายธุรกิจของคุณได้

เมื่อใช้ให้ถูกทาง โมเดลฟรีเมียมจะสามารถขับเคลื่อนการตลาดแบบปากต่อปากและผลักดันให้รายรับเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แต่จะได้ผลก็ต่อเมื่อลูกค้าเห็นได้ชัดเจนว่าข้อเสนอพรีเมียมคุ้มค่าที่จะจ่าย และเมื่อธุรกิจพร้อมรองรับฐานผู้ใช้ฟรีจำนวนมากได้อย่างยั่งยืน

โมเดลฟรีเมียมสร้างรายรับได้อย่างไร

เศรษฐศาสตร์ของฟรีเมียมขึ้นอยู่กับเปลี่ยนส่วนเล็กๆ ในบรรดาผู้ใช้ฟรีให้เป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน ผู้ใช้ที่เหลือซึ่งไม่จ่ายค่าบริการจะสร้างมูลค่าก็ต่อเมื่อเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินในที่สุด ช่วยนำผู้ใช้รายอื่นที่ชำระเงินมาสู่แพลตฟอร์ม หรือสร้างมูลค่าทางอ้อมผ่านข้อมูลการใช้งานหรือการเปิดเผยแบรนด์

ตัวชี้วัดที่สำคัญในโมเดลแบบฟรีเมียมมีดังนี้

  • อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน: ผู้ใช้แบบฟรีที่ชำระเงินในที่สุดมีกี่เปอร์เซ็นต์
  • มูลค่าตลอดอายุการใช้งาน (LTV) ของลูกค้า: ผู้ใช้แบบชำระเงินแต่ละคนมีมูลค่าเท่าใดตลอดระยะเวลาที่มีความสัมพันธ์กับคุณ
  • ค่าใช้จ่ายในการให้บริการผู้ใช้ฟรี: คุณใช้จ่ายไปเท่าไรกับโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับผู้ใช้แบบไม่ชำระเงิน

แม้จะมีอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินต่ำ แต่โมเดลนี้ก็ยังคงได้ผลดีหากมี LTV สูงและค่าใช้จ่ายในการให้บริการผู้ใช้ฟรีค่อนข้างต่ำ ตัวอย่างเช่น Spotify ที่มีผู้ใช้งาน 675 ล้านคนต่อเดือน ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ในจำนวนนี้มีสมาชิกแบบชำระเงินแค่ 263 ล้านคน แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โมเดลอยู่ได้และพร้อมรองรับผู้ใช้จำนวนมหาศาล หากต้องการให้โมเดลฟรีเมียมประสบความสำเร็จ คุณต้องมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่มาก รักษาลูกค้าได้เป็นอย่างดี และมีเส้นทางการอัปเกรดที่ชัดเจนซึ่งช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ส่วนย่อยของคุณพบเจอจริงๆ

4 วิธีที่จะนำไปสู่รายรับในโมเดลฟรีเมียมซึ่งพบได้บ่อยมีดังนี้

การสมัครสมาชิกแบบชำระเงิน

ธุรกิจฟรีเมียมจำนวนมากมายทำเงินได้เมื่อผู้ใช้เติบโตจากระดับฟรี แล้วอัปเกรดเป็นระดับพรีเมียม ซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของการสมัครสมาชิกรายเดือนหรือรายปี

ผู้ใช้ชำระเงินแลกกับอะไรนั้นขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ แต่โดยปกติจะรวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้แก่

  • ที่นั่งหรือบัญชีผู้ใช้เพิ่มเติม
  • เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูล ความจุ หรือความเร็ว
  • สิทธิ์เข้าถึงฟีเจอร์ขั้นสูง
  • การสนับสนุนที่ดีขึ้น
  • ลบขีดจำกัดในแง่ของลายน้ำ โควตา หรือกรอบเวลา

โมเดลฟรีเมียมจะประสบความสำเร็จได้ การอัปเกรดต้องให้คุณค่าที่แท้จริง ธุรกิจฟรีเมียมที่ประสบความสำเร็จมักมุ่งเน้นสิ่งเหล่านี้

  • การใช้ระดับฟรีเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งและความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
  • กะจังหวะส่งข้อความแจ้งให้อัปเกรดในช่วงเวลาที่ผู้ใช้ต้องการหรือประสบปัญหาพอดี
  • ออกแบบระดับที่ต้องชำระเงินให้รู้สึกเหมือนเป็นการต่อเติมที่มีความหมาย

ค่าบริการตามการใช้งานหรือค่าบริการแบบแบ่งระดับ

อีกโมเดลหนึ่งที่มักพบบ่อยเป็นการเสนอแพ็กเกจใช้งานฟรีโดยจำกัดจำนวนการใช้งาน (เช่น 1 โครงการ, ใบแจ้งหนี้ 5 ฉบับต่อเดือน หรือพื้นที่เก็บข้อมูล 2GB) เมื่อคุณข้ามขีดจำกัด คุณจะเข้าสู่แพ็กเกจแบบชำระเงินหรือต้องชำระค่าใช้จ่ายตามปริมาณที่วัด

การตั้งราคาประเภทนี้ใช้ได้ผลดีกับผลิตภัณฑ์ที่ขยายตามการใช้งาน เช่น เครื่องมือโครงสร้างพื้นฐานหรือแพลตฟอร์มธุรกิจ นอกจากนี้ยังเอื้ออำนวยให้ผู้ใช้เริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ได้โดยไม่มีข้อผูกมัด แล้วจึงชำระเงินก็ต่อเมื่อมีความต้องการมากขึ้นเท่านั้น

โฆษณา

ธุรกิจฟรีเมียมบางธุรกิจสร้างรายได้จากผู้ใช้ฟรีโดยตรงด้วยการโฆษณา อย่างเช่นแอปสื่อที่แสดงโฆษณาแก่ผู้ใช้ฟรี แล้วนำรายรับนั้นมาสนับสนุนการให้ประสบการณ์ฟรี แต่พบได้น้อยนอกเหนือจากเนื้อหาสำหรับผู้บริโภค หากคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของคุณเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพการทำงาน การทำงานร่วมกัน หรือผลลัพธ์ของธุรกิจ การขายสิทธิ์เข้าถึงมักจะเหมาะสมกว่า

การซื้อแบบครั้งเดียวและส่วนเสริม

การสร้างรายได้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเสมอไป ผลิตภัณฑ์บางอย่างเปิดให้ผู้ใช้ฟรีซื้อฟีเจอร์ เทมเพลต การส่งออก หรือการผสานการทำงานเดี่ยวๆ ทีละอย่าง การอัปเกรดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะสร้างเส้นทางรายรับทางเลือกโดยไม่ต้องมีข้อผูกมัดในการชำระเงินเต็มๆ ตามรอบบิล

เป็นรูปแบบได้ผลอย่างยิ่งเมื่อผู้ใช้มีความต้องการในระยะสั้นหรือเพิ่งเริ่มเรียนรู้การใช้งาน กล่าวคืออาจไม่พร้อมที่จะอัปเกรดบริการทั้งหมด แต่ยินดีจ่ายสำหรับสิ่งที่ต้องการ ณ ขณะนั้น

ความท้าทายในการใช้โมเดลฟรีเมียมมีอะไรบ้าง

โมเดลฟรีเมียมสามารถช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ แต่การเข้าถึงที่กว้างไกลย่อมมีสิ่งที่ต้องแลกมา ความท้าทายบางประการที่ควรคำนึงถึงมีดังนี้

อัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินต่ำ

หลายคนจะไม่จ่ายเงินสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณเลย นั่นหมายความว่ารายรับที่คุณได้จากลูกค้าที่ชำระเงินแต่ละราย จะต้องนำไปใช้รองรับผู้ใช้ 20, 50 หรืออาจ 100 รายที่ไม่ได้มีส่วนสร้างรายรับโดยตรง การคิดคำนวณแบบนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่อธุรกิจขยายสู่วงกว้างเท่านั้น คุณต้องมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่พอจนการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างรายได้ที่มีความหมายและรองรับผู้ใช้ฟรีได้โดยไม่บั่นทอนผลกำไรของคุณได้

คุณต้องจัดสรรฟีเจอร์ให้พอดี

หากแพ็กเกจใช้งานฟรีมีฟีเจอร์มากเกินไป ผู้ใช้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะอัปเกรด ผู้ใช้จะใช้งานเฉพาะเท่าที่จำเป็นและพึงพอใจแค่นั้น แต่ถ้าฟีเจอร์น้อยเกินไป ผู้ใช้ก็อาจไม่ใช้งานต่อ เป้าหมายคือการนำเสนอประสบการณ์ฟรีที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง แต่เห็นได้ชัดเจนว่ายังไม่ครบถ้วนสำหรับการใช้งานในระยะยาวหรือการใช้งานอย่างจริงจัง หากต้องการค้นหาจุดสมดุลนี้ ให้ทดลองกับฟีเจอร์ที่มีให้เทียบกับฟีเจอร์ที่จำกัดไว้ รวมถึงตำแหน่งที่ข้อความแจ้งให้อัปเกรดปรากฏขึ้น ขั้นตอนนี้ต้องผ่านการปรับแต่งอย่างต่อเนื่องเมื่อผลิตภัณฑ์และตลาดของคุณเปลี่ยนแปลงไป

ผู้ใช้ฟรีไม่ได้รองรับได้ฟรีๆ

แม้จะไม่ชำระเงินเลย แต่ผู้ใช้ฟรีก็ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในธุรกิจ เพราะผู้ใช้กลุ่มนี้ยังคงใช้โครงสร้างพื้นฐานของคุณ ติดต่อทีมสนับสนุน และสร้างระเบียนข้อมูล หากฐานผู้ใช้ของคุณเติบโตอย่างรวดเร็ว ต้นทุนที่มองไม่เห็นเหล่านี้ก็เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลิตภัณฑ์ของคุณมีต้นทุนส่วนเพิ่มต่อผู้ใช้สูง หากอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินของคุณต่ำและค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของคุณสูง ฟรีเมียมอาจมีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

คุณต้องทำงานเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม

ผู้ใช้ฟรีหลายคนลงทะเบียนโดยมีความตั้งใจต่ำ โดยอาจไม่ได้ดำเนินการตามกระบวนการเริ่มต้นใช้งานให้เสร็จสมบูรณ์หรือไม่กลับมาหลังจากเซสชันแรก กรณีนี้จะเป็นปัญหาหากเส้นทางการอัปเกรดของคุณขึ้นอยู่กับการใช้งานล่าสุด หากไม่ได้รับการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้ก็จะไม่ก้าวข้ามกำแพงการชำระเงินหรือแม้แต่เข้าใจว่าระดับพรีเมียมจะให้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง

บางทีมเพิ่มเกณฑ์การเปิดใช้งานย่อมๆ เพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ เช่น ขั้นตอนการตั้งค่าพื้นฐาน การเตือนให้ดำเนินกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน หรือการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นให้ผู้ใช้ได้รับคุณค่าอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเอง การรักษาการมีส่วนร่วมให้สูงในหมู่ผู้ใช้ที่ไม่ชำระเงินก็เหมือนกับการเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว

ตลาดอาจไม่สนับสนุนโมเดลฟรีเมียมเลย

ในบางอุตสาหกรรม การเสนอระดับฟรีอาจไม่สมเหตุสมผลในเชิงกลยุทธ์ บางทีผู้ซื้อของคุณอาจต้องการการรับประกันการรักษาความปลอดภัย กระบวนการเริ่มต้นใช้งาน หรือการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างที่ไม่อาจให้บริการในวงกว้างได้ฟรีๆ บางทีคุณค่าในผลิตภัณฑ์ของคุณอาจไม่ชัดเจนจนกว่าจะผู้ใช้จะชำระเงิน หรือบางทีคุณอาจอยู่ในตลาดที่อิ่มตัวแล้วซึ่งข้อเสนอฟรีทำได้เพียงกระตุ้นให้ผู้ใช้เลือกใช้ไปเรื่อยๆ เท่านั้น

โมเดลฟรีเมียมใช้ได้ผลดีที่สุดในกรณีดังต่อไปนี้

  • ผลิตภัณฑ์มอบคุณค่าอย่างรวดเร็วในแบบที่ลูกค้าบริการตนเองได้
  • ผู้ใช้เติบโตจนต้องการมากขึ้นตามธรรมชาติ
  • คุณรองรับการใช้งานฟรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ระดับฟีเจอร์ที่ต้องชำระเงินของคุณให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจน

Stripe จะช่วยเรื่องประสิทธิภาพของโมเดลฟรีเมียมได้อย่างไร

โมเดลฟรีเมียมขึ้นอยู่กับสองสิ่ง นั่นคือการดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาใช้ และอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้อัปเกรดได้ง่ายเมื่อพร้อม Stripe ช่วยทั้งสองอย่างด้วยการจัดการขั้นตอนการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน จัดการการชำระเงินทั่วโลก และจัดเตรียมเครื่องมือให้คุณทำความเข้าใจว่าอะไรได้ผลและไม่ได้ผล

ประโยชน์ที่ Stripe มีต่อโมเดลฟรีเมียมมีดังนี้

ตั้งค่าระดับต่างๆ ในแพ็กเกจและตรรกะการเรียกเก็บเงินให้ยืดหยุ่น

เมื่อใช้ Stripe Billing คุณสามารถสร้างแพ็กเพจใช้งานฟรีควบคู่ไปกับแพ็กเกจแบบชำระเงินกี่แพ็กเกจก็ได้ เมื่อผู้ใช้อัปเกรดแพ็กเกจ Stripe จะดูแลรายละเอียดการเรียกเก็บเงิน เช่น การเปลี่ยนแพ็กเกจ การแบ่งค่าบริการตามสัดส่วน การออกใบแจ้งหนี้ และการจัดการการชำระเงิน

คุณยังสามารถแบ่งตามช่วงทดลองใช้งาน คูปอง หรือการตั้งราคาตามปริมาณที่วัด หากคุณต้องการทดลองให้ผู้ใช้ฟรีทดลองใช้แบบพรีเมียม 14 วันหรือเสนอส่วนลดตามกิจกรรมหรือกลุ่มประชากรตามรุ่น Stripe ก็พร้อมรองรับโดยไม่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมมากมาย

ให้ผู้ใช้ชำระเงินตามที่ต้องการ

Stripe รองรับวิธีการชำระเงินมากกว่า 100 วิธีทันทีที่เริ่มใช้งาน รวมถึงบัตรเครดิตและบัตรเดบิต กระเป๋าเงินดิจิทัล การหักบัญชีอัตโนมัติ และการโอนเงินผ่านธนาคาร เพื่อให้ผู้ใช้สามารถชำระเงินวิธีใดก็ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังช่วยจัดการการแปลงสกุลเงิน การปฏิบัติตามข้อกำหนดในพื้นที่ และการเรียกเก็บภาษีอีกด้วย

ขั้นตอนการอัปเกรดที่ช้าคือปัจจัยที่จะฉุดรั้งการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว แต่ Stripe ลดความเสี่ยงนั้นให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการบันทึกรายละเอียดการชำระเงินอย่างปลอดภัยเมื่อผู้ใช้สมัครใช้งาน ผู้ใช้ฟรีสามารถอัปเกรดได้ในไม่กี่คลิกโดยไม่ต้องป้อนข้อมูลใดๆ อีกครั้ง

สร้างระบบอัตโนมัติในโครงสร้างพื้นฐานรายรับเมื่อคุณขยายธุรกิจ

เมื่อธุรกิจ freemium ของคุณเติบโตขึ้น เหล่ากรณีพิเศษก็เช่นกัน อย่างเช่นบัตรหมดอายุ การเปลี่ยนแปลงแพ็กเกจกลางรอบบิล การยกเลิก และการคืนเงินบางส่วน Stripe มีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การตรวจจับการฉ้อโกง (ผ่าน Stripe Radar), การลองใหม่โดยอัตโนมัติสำหรับการชำระเงินที่ล้มเหลว ระบบจัดการใบแจ้งหนี้อัจฉริยะ และเครื่องมือการติดตามหนี้เพื่อกู้คืนรายรับ

ทดสอบและพัฒนากลยุทธ์การสร้างรายได้ของคุณ

โมเดลฟรีเมียมมักไม่ค่อยคงที่ คุณอาจจะเปลี่ยนสิ่งที่เปิดให้ใช้ฟรี สิ่งที่จำกัด วิธีตั้งราคาระดับพรีเมียม และปัจจัยกระตุ้นการอัปเกรด Stripe ทำให้การทดสอบตัวเลือกเหล่านี้ง่ายขึ้น หากคุณต้องการจำกัดฟีเจอร์ตามจำนวนที่นั่งหรือปริมาณการใช้งาน Stripe รองรับโมเดลแบบไฮบริด หากคุณต้องการเรียกใช้ข้อเสนอตามเวลาสำหรับผู้ใช้ฟรีรายใหม่ คุณสามารถใช้คูปองหรือรหัสโปรโมชันได้ หากคุณต้องการดูว่าผู้ใช้ตอบสนองต่อแพ็กเกจที่คิดราคาตามปริมาณที่วัดอย่างไรเมื่อเทียบกับแพ็กเกจที่คิดค่าบริการคงที่ คุณสามารถเปิดให้ใช้ทั้งสองแพ็กเกจ และคุณสามารถเริ่มใช้การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องยกเครื่องแบ็กเอนด์ทั้งหมดหรือวางตรรกะหลักใหม่ทุกครั้งที่คุณปรับแต่งการตั้งราคา

สร้างความเชื่อมั่นผ่านความน่าเชื่อถือและการรักษาความปลอดภัย

โมเดลฟรีเมียมอาศัยความสัมพันธ์ระยะยาว หากสุดท้ายแล้วผู้ใช้จะชำระเงิน ผู้ใช้ก็ต้องเชื่อว่าผลิตภัณฑ์และประสบการณ์การเรียกเก็บเงินนั้นเชื่อถือได้ Stripe เป็นผู้ให้บริการ PCI ระดับ 1 ซึ่งมีการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงด้วยแมชชีนเลิร์นนิง ทั้งยังครองสถิติระยะเวลาให้บริการ 99.999%

Stripe ให้คุณสามารถออกแบบโมเดลฟรีเมียมให้เหมาะกับธุรกิจของคุณได้อย่างอิสระ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่คุณต้องการใช้ดำเนินงานเมื่อขยายธุรกิจออกไปแล้ว คุณกำหนดระดับ ตั้งราคา และระบุขั้นตอนการอัปเกรดได้เอง พร้อมเครื่องมือที่จะทำให้ระบบนั้นทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือ ปลอดภัย และมีการวิเคราะห์อย่างที่คุณต้องใช้ในการปรับปรุงต่อไป

วิธีเริ่มใช้งาน Stripe Sigma เพื่อวิเคราะห์การใช้งานแบบฟรีเมียม

Stripe ช่วยให้คุณเห็นข้อมูลการเรียกเก็บเงินและข้อมูลลูกค้าได้โดยละเอียดด้วย Stripe Sigma คุณสามารถใช้ Sigma เพื่อส่งคำขอข้อมูลได้โดยตรงจากแดชบอร์ดและถามคำถาม เช่น

  • มีผู้ใช้กี่คนที่อัปเกรดจากแบบฟรีเป็นแบบชำระเงินในเดือนที่แล้ว
  • เวลาเฉลี่ยในการอัปเกรดแบ่งตามกลุ่มประชากรตามรุ่นเป็นเท่าไร
  • แผนใดที่รักษาผู้ใช้ได้สูงสุดหลังจากผ่านไป 90 วัน
  • อัตราการเลิกใช้บริการเป็นเท่าไรสำหรับผู้ใช้ที่อัปเกรดภายใน 7 วันแรก
  • รหัสคูปองใดมีอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินสูงสุด

ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้คุณติดตามข้อมูลได้ตลอดทั้งกระบวนการใช้งานแบบฟรีเมียม ตั้งแต่การสมัคร การอัปเกรด ไปจนเลิกใช้บริการ คุณยังสามารถกำหนดเวลาให้รายงานเหล่านี้ทำงานโดยอัตโนมัติและแชร์กับทีมของคุณได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องการส่งออกไฟล์ค่าที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (CSV) หรือเชื่อมโยงกับเครื่องมือวิเคราะห์แยกต่างหาก หากคุณใช้ Stripe Billing หรือ Payments จะมีข้อมูลนี้อยู่แล้ว

วิธีเริ่มใช้งาน Stripe Sigma มีดังนี้

  • เปิดใช้งาน Stripe Sigma: ทดสอบ Sigma ด้วยการทดลองใช้ฟรี 30 วันโดยเปิดใช้งานในแดชบอร์ด Stripe ของคุณ
  • ทดลองด้วยเทมเพลตคำขอ: เปิดตัวแก้ไข Sigma และทดสอบคำขอที่สร้างไว้ล่วงหน้าของ Stripe ซึ่งปรับให้เหมาะกับคำถามในโลกแห่งความเป็นจริง คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนคำขอเล็กน้อยเพื่อดูลูกค้าที่เลิกใช้บริการ การสมัครใช้งาน การเติบโต หรือการโต้แย้ง
  • บันทึกและกำหนดเวลาคำขอ: เมื่อคุณสร้างคำขอแล้ว คุณสามารถบันทึก กำหนดเวลาให้ทำงานเป็นระยะๆ และแชร์ผลลัพธ์กับทีมของคุณ Stripe จะส่งผลลัพธ์โดยอัตโนมัติในอีเมลหรือเหตุการณ์ Webhook
  • สร้างระบบอัตโนมัติและแชร์คำขอ: คุณสามารถตั้งค่ารายงานการอัปเกรดรายสัปดาห์ ติดตามแนวโน้มของอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงินเมื่อเวลาผ่านไป หรือเฝ้าสังเกตรูปแบบการเลิกใช้บริการที่ผิดปกติ นอกจากนี้ยังสามารถส่งออกผลลัพธ์จาก Sigma ไปยังเครื่องมือ Business Intelligence (BI) หรือคลังข้อมูลได้หากต้องการรวมข้อมูล Stripe กับเมตริกการใช้งานหรือเมตริกผลิตภัณฑ์ของแพลตฟอร์มอื่น
  • ทำซ้ำตามสิ่งที่คุณเรียนรู้: ในขณะที่วิเคราะห์รูปแบบการอัปเกรด จังหวะเวลา และประสิทธิภาพของแพ็กเกจ คุณสามารถใช้สิ่งที่คุณเรียนรู้เพื่อปรับระดับการตั้งราคาหรือขีดจำกัดการใช้งาน ปรับปรุงข้อความแจ้งให้อัปเกรดหรือเวลาที่จะส่งข้อความ ระบุปัญหาในขั้นตอนการเรียกเก็บเงิน และทดสอบสิ่งจูงใจใหม่ๆ เช่น การทดลองใช้หรือส่วนลด

Stripe Sigma ช่วยให้คุณพบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจและตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องรอทีมข้อมูลหรือสร้างแดชบอร์ดแบบกำหนดเอง หากข้อมูลอยู่ใน Stripe คุณสามารถส่งคำขอข้อมูลได้โดยตรง

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Sigma

Sigma

Stripe Sigma ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ วิเคราะห์ข้อมูล Stripe ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสให้ทีมงานได้รับข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

Stripe Docs เกี่ยวกับ Sigma

สืบค้นข้อมูลในบัญชีขององค์กร