โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า: โปรแกรมนี้คืออะไร ทำงานอย่างไร และใช้งานอย่างไร

Radar
Radar

ต้านการฉ้อโกงด้วยประสิทธิภาพที่ทรงพลังของเครือข่าย Stripe

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้าทำงานอย่างไร
  3. ประโยชน์ของการใช้โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า
  4. ความแตกต่างระหว่างโปรแกรมระบุตัวตนลูกค้ากับกระบวนการ ’รู้จักลูกค้าของคุณ (KYC)’
    1. โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า (CIP)
    2. รู้จักลูกค้าของคุณ (KYC)
    3. ตัวอย่างขั้นตอนการดำเนินงานของ CIP เทียบกับ KYC
  5. ใครบ้างที่ต้องปฏิบัติตามกฎ CIP
  6. วิธีตั้งค่าโปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า
    1. จัดทำนโยบาย CIP เป็นลายลักษณ์อักษร
    2. รวบรวมข้อมูลลูกค้า
    3. ยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้า
    4. นำข้อมูลมาเทียบกับรายชื่อของรัฐบาล
    5. เก็บรักษาบันทึกข้อมูล
    6. จัดการ CIP เมื่อเวลาผ่านไป
  7. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการใช้โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า
    1. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทางเทคนิค
    2. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการดำเนินงาน
    3. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านจริยธรรม

โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า (CIP) เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) ของสถาบันการเงิน องค์การสหประชาชาติได้ประมาณการว่าเงินที่ถูกฟอกทั่วโลกมีมูลค่าตั้งแต่ 8 แสนล้านถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปีเดียว ด้วยเหตุนี้ ระเบียบข้อบังคับต่างๆ เช่น รัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิของสหรัฐอเมริกา จึงกำหนดให้ใช้ CIP เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางการเงินต่างๆ ซึ่งรวมถึงการฟอกเงินและการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย

CIP เป็นแนวป้องกันด่านแรกสำหรับระบบการเงิน โดยจะช่วยตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบการเงินสามารถยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมายให้เหลือน้อยที่สุด โปรแกรมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า (CDD) ที่ขยายความครอบคลุมให้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการติดตามตรวจสอบธุรกรรมของลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจจับและรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย

ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายประโยชน์ของการใช้ CIP, วิธีตั้งค่า CIP และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการใช้ CIP ในธุรกิจของคุณ

เนื้อหาหลักในบทความ

  • โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้าทำงานอย่างไร
  • ประโยชน์ของการใช้โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า
  • ความแตกต่างระหว่างโปรแกรมระบุตัวตนลูกค้ากับกระบวนการ "รู้จักลูกค้าของคุณ (KYC)"
  • ใครบ้างที่ต้องปฏิบัติตามกฎ CIP
  • วิธีตั้งค่าโปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า
  • แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการใช้โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า

โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้าทำงานอย่างไร

โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า (CIP) ใช้ชุดขั้นตอนในการยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้า

  • การรวบรวมข้อมูลลูกค้า: ขั้นแรก CIP จะรวบรวมข้อมูลจากลูกค้า ซึ่งรวมถึงชื่อและนามสกุลทางกฎหมาย วันเกิด ที่อยู่ และหมายเลขประจำตัวที่ออกโดยรัฐบาล (เช่น หมายเลขประกันสังคมหรือหมายเลขหนังสือเดินทาง) ทั้งนี้ CIP อาจเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับโปรไฟล์ความเสี่ยงของลูกค้าหรือประเภทบัญชีที่จะเปิด

  • การยืนยันข้อมูล: จากนั้น CIP จะยืนยันข้อมูลที่ให้ไว้

    • _การยืนยันเอกสาร: _ ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารประจำตัวที่ออกโดยรัฐบาล ขั้นตอนนี้สามารถดำเนินการด้วยตนเองผ่านพอร์ทัลออนไลน์ที่ปลอดภัย หรือใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทางเพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติของเอกสารก็ได้
    • การยืนยันฐานข้อมูล: นำข้อมูลที่ให้ไว้มาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลสาธารณะและส่วนตัวเพื่อยืนยันความถูกต้องและความสอดคล้องของข้อมูล
    • การยืนยันที่ไม่ใช้เอกสาร ติดต่อลูกค้าโดยตรงเพื่อยืนยันตัวตนหรือตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงกับสถาบันการเงินอื่นๆ
  • _การประเมินความเสี่ยง: _ ประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยอิงจากข้อมูลที่รวบรวมและได้รับการยืนยันแล้ว ปัจจัยที่ต้องพิจารณาอาจรวมถึงอาชีพ แหล่งที่มาของเงินทุน และประเทศที่พำนักอาศัยของลูกค้า

  • การติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง: ติดตามตรวจสอบธุรกรรมและกิจกรรมของลูกค้าเพื่อค้นหาพฤติกรรมที่น่าสงสัย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกิจกรรมในบัญชี ประวัติธุรกรรม และข้อมูลส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงไป

  • การอัปเดตข้อมูล: อัปเดตข้อมูลลูกค้าเป็นระยะเพื่อให้ข้อมูลในระบบมีความถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

  • การเก็บบันทึก: เก็บรักษาบันทึกข้อมูลลูกค้า วิธีการยืนยัน และการประเมินความเสี่ยงทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามระเบียบข้อบังคับและใช้เป็นหลักฐานการตรวจสอบข้อมูลในกรณีที่มีการตรวจสอบหรือสอบสวน

ประโยชน์ของการใช้โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า

CIP มีประโยชน์ต่อธุรกิจในหลายๆ ด้าน ดังนี้

  • การลดความเสี่ยง: CIP ช่วยลดความเสี่ยงของอาชญากรรมทางการเงิน เช่น การฟอกเงิน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย และการฉ้อโกง การยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าจะช่วยให้สถาบันป้องกันกิจกรรมที่ผิดกฎหมายเหล่านี้และหลีกเลี่ยงความเสียหายทางกฎหมายและชื่อเสียงที่อาจเกิดขึ้นได้

  • การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ: CIP เป็นข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับสถาบันการเงินในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา การไม่ใช้ CIP อาจนำไปสู่บทลงโทษและการเสียค่าปรับ

  • การรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดยิ่งขึ้น: CIP สร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยการป้องกันการเข้าถึงบัญชีและบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะช่วยปกป้องสถาบันและลูกค้าที่มีตัวตนอยู่จริงจากการสูญเสียทางการเงิน

  • การตรวจสอบข้อมูลลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น: CIP ช่วยให้สถาบันต่างๆ ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า (CDD) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละรายและปรับบริการให้เหมาะสม

  • ประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน: แม้ว่า CIP จำเป็นต้องลงทุนด้านระบบและกระบวนการในเบื้องต้น แต่ก็สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานเมื่อเวลาผ่านไป การปรับขั้นตอนการยืนยันให้เป็นอัตโนมัติและทำให้กระบวนการเริ่มต้นใช้งานง่ายยิ่งขึ้นสามารถประหยัดเวลาและทรัพยากรได้ในระยะยาว

  • เครื่องมือ/ระบบป้องกันการฉ้อโกงสำหรับลูกค้า: CIP ปกป้องลูกค้าจากการขโมยตัวตนและการฉ้อโกงโดยการตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเพียงบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบัญชีของตนได้ ซึ่งจะช่วยปกป้องทรัพย์สินทางการเงินและข้อมูลส่วนตัว

  • ความเชื่อมั่นของลูกค้าเพิ่มขึ้น: ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะเชื่อมั่นในสถาบันที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น CIP

  • กระบวนการเริ่มต้นใช้งานที่รวดเร็วขึ้น: ขั้นตอนของ CIP อาจทำให้กระบวนการเริ่มต้นใช้งานสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าใหม่ โดยจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและกระตุ้นให้ลูกค้าใช้บริการของสถาบัน

  • เข้าถึงบริการได้มากขึ้น: CIP ช่วยให้สถาบันต่างๆ นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้หลากหลายยิ่งขึ้น การยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าจะช่วยให้สถาบันสามารถนำเสนอบริการที่อาจถูกจำกัดเนื่องจากข้อกังวลด้านการกำกับดูแลได้

ความแตกต่างระหว่างโปรแกรมระบุตัวตนลูกค้ากับกระบวนการ "รู้จักลูกค้าของคุณ (KYC)"

โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า (CIP) และกระบวนการรู้จักลูกค้าของคุณ (KYC) คือกระบวนการที่ใช้ในการระบุตัวตนและยืนยันลูกค้า ทว่ามีจุดมุ่งหมายและขอบเขตที่แตกต่างกัน การใช้ CIP ถือเป็นข้อกำหนดด้านระเบียบข้อบังคับที่เน้นการยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าโดยเฉพาะ ในขณะที่ KYC เป็นกระบวนการที่ครอบคลุมกว่า ซึ่งรวมถึงการยืนยันข้อมูลระบุตัวตน การประเมินความเสี่ยง และการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง CIP ถือเป็นขั้นตอนเริ่มต้นของกระบวนการ KYC ที่ครอบคลุมกว่า แม้ว่า CIP จะช่วยสร้างความมั่นใจในการยืนยันข้อมูลระบตัวตนของลูกค้า แต่ KYC จะเจาะลึกไปถึงการทำความเข้าใจพฤติกรรมทางการเงินและการประเมินโปรไฟล์ความเสี่ยงของลูกค้า

โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า (CIP)

CIP มีจุดมุ่งหมายหลักในการยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าในระหว่างกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน ขั้นตอนของ CIP จะเกี่ยวข้องกับการรวบรวมและยืนยันข้อมูลระบุตัวตนบางอย่าง เช่น ชื่อ, วันเกิด, ที่อยู่ และหมายเลขบัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐบาล CIP มีวัตถุประสงค์ในการช่วยสร้างความเชื่อมั่นอย่างสมเหตุสมผลว่าสถาบันรู้จักตัวตนของลูกค้า ซึ่งเป็นการป้องกันการขโมยตัวตนและการฉ้อโกง

รู้จักลูกค้าของคุณ (KYC)

ขั้นตอนการดำเนินงานของ KYC มีขอบเขตที่กว้างกว่าขั้นตอนการดำเนินงานของ CIP โดย KYC ไม่เพียงแต่รวมถึงการยืนยันข้อมูลระบุตัวตนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเงินและโปรไฟล์ความเสี่ยงของลูกค้า โดยวัตถุประสงค์หลักของ KYC คือการประเมินความเสี่ยงโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับลูกค้ารายนั้นๆ และยืนยันว่ากิจกรรมนั้นสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และข้อกำหนดด้านระเบียบข้อบังคับของสถาบันหรือไม่ ขั้นตอนการดำเนินงานของ KYC เกี่ยวข้องการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ครอบคลุมกว่าขอบเขตที่ CIP ประเมิน โดยทั่วไปแล้ว ข้อมูลจะประกอบด้วยอาชีพ แหล่งที่มาของเงินทุน และประเทศที่พำนักอาศัยของลูกค้า ตลอดจนระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ตัวอย่างขั้นตอนการดำเนินงานของ CIP เทียบกับ KYC

เมื่อเปิดบัญชีธนาคาร ลูกค้าต้องส่งเอกสารประจำตัว (เช่น หนังสือเดินทาง ใบอนุญาตขับขี่) เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ CIP แต่ขั้นตอนการดำเนินงานของ KYC ของธนาคารอาจเกี่ยวข้องกับการสอบถามอาชีพ แหล่งที่มาของรายได้ และการใช้บัญชีตามวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินระดับความเสี่ยง

ใครบ้างที่ต้องปฏิบัติตามกฎ CIP

ในหลายประเทศ แนวปฏิบัติของ AML กำหนดให้สถาบันการเงินและบริษัทบางประเภทต้องติดตั้งใช้งาน CIP เช่น มีหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้ข้อกำหนดของ CIP รวมถึงเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงิน (FinCEN), คณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐฯ, บรรษัทคุ้มครองเงินฝากของสหรัฐฯ (FDIC) และสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราสหรัฐฯ (OCC) นอกเหนือจากบริษัทตามประเภทที่ระบุไว้ข้างต้นแล้ว ธุรกิจอื่นๆ ก็อาจต้องติดตั้งใช้งาน CIP ด้วยเช่นกัน หากมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่อการฟอกเงินหรือการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย

  • ธนาคาร: ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการลงทุน

  • สหภาพเครดิต: สถาบันการเงินที่ดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์ ซึ่งสมาชิกเป็นผู้ถือหุ้นและบริหารจัดการเอง

  • โบรกเกอร์และตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์: บริษัทซึ่งให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ในนามของลูกค้าหรือเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเอง

  • กองทุนรวม: บริษัทด้านการลงทุนที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนเพื่อนำไปซื้อพอร์ตที่กระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์หลากหลายประเภท

  • ตัวแทนซื้อขายฟิวเจอร์ส (FCM): บุคคลหรือบริษัทที่เสนอหรือรับคำสั่งซื้อหรือขายสัญญาฟิวเจอร์สและออปชันในสัญญาฟิวเจอร์ส

  • โบรกเกอร์ช่วยแนะนำ (IB): บุคคลหรือบริษัทที่เสนอหรือรับคำสั่งซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สและออปชันในสัญญาฟิวเจอร์ส แต่ไม่ได้รับเงินหรือหลักทรัพย์จากลูกค้า

  • ที่ปรึกษาด้านการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (CTA): บุคคลหรือบริษัทที่ให้คำปรึกษาผู้อื่นเกี่ยวกับการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สและออปชันในสัญญาฟิวเจอร์ส

  • ผู้ดำเนินงานด้านกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ (CPO): บุคคลหรือบริษัทที่ดำเนินงานด้านกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นกองทุนที่ระดมเงินจากผู้ลงทุนเพื่อนำไปซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์

  • ธุรกิจบริการด้านการเงิน (MSB): ธุรกิจที่ให้บริการต่างๆ เช่น การรับโอนเงิน การขึ้นเงินสดจากเช็ค การแลกเปลี่ยนสกุลเงิน หรือการออกใบสั่งจ่ายเงินหรือเช็คเดินทาง

วิธีตั้งค่าโปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า

การออกแบบและติดตั้งใช้งาน CIP ต้องอาศัยชุดขั้นตอนที่คุณต้องปรับแต่งให้เข้ากับขนาด ขอบเขต และโครงสร้างธุรกิจของคุณ โปรดพิจารณาการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนด ซึ่งสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีติดตั้ง CIP ให้คุณได้ ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับข้อกำหนดและขั้นตอนของ CIP เพื่อให้สามารถติดตั้งใช้งานได้อย่างสอดคล้องกัน รวมทั้งแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงความสำคัญของ CIP

ข้อมูลด้านล่างคือขั้นตอนพื้นฐานในการจัดทำ CIP ที่มีเสถียรภาพ หากต้องการข้อมูลโดยละเอียดและข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจง โปรดดูกฎและระเบียบข้อบังคับ CIP ที่เผยแพร่โดยหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง (เช่น FinCEN, FDIC)

จัดทำนโยบาย CIP เป็นลายลักษณ์อักษร

ระบุขั้นตอนเฉพาะเจาะจงที่สถาบันของคุณจะปฏิบัติตามเพื่อรวบรวมและยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้า ระบุว่า CIP จะครอบคลุมบัญชีประเภทใดบ้าง (เช่น บัญชีฝากประจำ บัญชีเครดิต) และอธิบายวิธีที่คุณจะจัดการข้อยกเว้นหรือขั้นตอนทางเลือกสำหรับลูกค้าบางราย (เช่น ลูกค้าที่ไม่มีหมายเลขประกันสังคม)

รวบรวมข้อมูลลูกค้า

ขอข้อมูลสี่รายการต่อไปนี้จากลูกค้าแต่ละราย

  • ชื่อและนามสกุลทางกฎหมาย

  • วันเกิด

  • ที่อยู่ของที่พักอาศัยหรือธุรกิจ

  • หมายเลขประจำตัว (เช่น หมายเลขประกันสังคม หมายเลขหนังสือเดินทาง)

รวบรวมข้อมูลนี้เมื่อลูกค้าเปิดบัญชีของตนหรือก่อนที่ลูกค้าจะสามารถทำธุรกรรมได้

ยืนยันข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้า

ยืนยันข้อมูลที่ลูกค้าให้โดยใช้แหล่งข้อมูลอิสระที่เชื่อถือได้ วิธีการที่ยอมรับมีดังนี้

  • การตรวจสอบเอกสารประจำตัวที่ออกโดยรัฐบาล (เช่น ใบอนุญาตขับขี่ หนังสือเดินทาง)

  • การใช้บริการยืนยันตัวตนของบุคคลที่สาม

  • การขอข้อมูลจากหน่วยงานรายงานข้อมูลผู้บริโภคหรือฐานข้อมูลสาธารณะ

บันทึกวิธีการยืนยันที่คุณใช้และผลลัพธ์ของขั้นตอนการยืนยัน

นำข้อมูลมาเทียบกับรายชื่อของรัฐบาล

ตรวจสอบชื่อของลูกค้ากับรายชื่อผู้ก่อการร้ายที่เป็นที่รู้จักหรือต้องสงสัย หรืออาชญากรอื่นๆ ที่รัฐบาลให้ไว้ (เช่น รายชื่อ SDN ของ OFAC) หากพบชื่อที่ตรงกัน ให้ดำเนินการตามความเหมาะสม เช่น อายัดบัญชีและรายงานข้อมูลดังกล่าวต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เก็บรักษาบันทึกข้อมูล

เก็บรักษาบันทึกข้อมูลระบุตัวตนของลูกค้าและผลการยืนยันทั้งหมดไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีหลังจากปิดบัญชี และพร้อมให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้าตรวจสอบได้เมื่อได้รับการร้องขอ

จัดการ CIP เมื่อเวลาผ่านไป

แต่งตั้งเจ้าหน้าที่หรือทีมด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดเพื่อให้รับผิดชอบในการกำกับดูแล CIP ให้กับธุรกิจของคุณ โดยกำหนดหน้าที่ในการทบทวนและปรับปรุงนโยบาย CIP อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้นโยบายยังคงมีผลบังคับใช้และเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงด้านระเบียบข้อบังคับต่างๆ เจ้าหน้าที่หรือทีมดังกล่าวควรจัดทำการประเมินความเสี่ยงเป็นระยะเพื่อระบุและแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ ในโปรแกรม

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการใช้โปรแกรมระบุตัวตนลูกค้า

ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเหล่านี้ ทั้งทางเทคนิค การดำเนินงาน และจริยธรรม เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณใช้ CIP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทางเทคนิค

  • ID ที่ไม่ซ้ำกันและข้อมูลสอดคล้องกัน: กำหนดรหัสระบุตัวตนที่ไม่ซ้ำกันให้กับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งให้ข้อมูลที่ตรงกันในทุกการโต้ตอบและทุกแพลตฟอร์ม รหัสระบุตัวตนนี้อาจเป็นตัวเลขที่สร้างขึ้นจากการสุ่ม อีเมลที่แฮช หรือการรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน

  • การจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย: ปกป้อง ID ลูกค้าโดยใช้การเข้ารหัสและวิธีการจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย โดยจำกัดการเข้าถึงเฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

  • __ การผสานการทำงานข้อมูล:__ ผสานการทำงาน ID ลูกค้าในทุกระบบและฐานข้อมูลภายในบริษัทเพื่อสร้างมุมมองแบบองค์รวมของลูกค้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการปรับประสบการณ์ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน

  • คุณภาพของข้อมูล: รักษาความถูกต้องและอัปเดตข้อมูล ID ลูกค้าให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ นำขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องและการล้างข้อมูลมาใช้เพื่อความสอดคล้องและความน่าเชื่อถือ

  • ความสามารถในการขยาย: เลือกระบบ ID ลูกค้าที่สามารถปรับขยายไปพร้อมกับธุรกิจของคุณและจัดการปริมาณข้อมูลจำนวนมากได้

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการดำเนินงาน

  • การให้ความยินยอม: ขอความยินยอมจากลูกค้าอย่างชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการรวบรวมและใช้ ID ลูกค้า

  • การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว: ติดตั้งใช้งานเทคโนโลยีที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านความเป็นส่วนตัว (PET) เพื่อปกปิดข้อมูล ID ไม่ให้ระบุตัวตนของลูกค้าหรือใช้นามแฝง

  • การรวบรวมข้อมูลให้น้อยที่สุด: รวบรวมข้อมูลลูกค้าให้น้อยที่สุดตามที่จำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หลีกเลี่ยงการรวบรวมข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด

  • การควบคุมการเข้าถึง: กำหนดการควบคุมการเข้าถึงและเส้นทางการตรวจสอบบัญชีข้อมูล ID ลูกค้าอย่างเข้มงวด จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงให้เฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นและหมั่นติดตามตรวจสอบการใช้งาน

  • แผนรับมือกับเหตุการณ์: จัดทำแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่ครอบคลุมเพื่อจัดการกับการละเมิดข้อมูลหรือเหตุการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ ID ลูกค้า

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านจริยธรรม

  • อิสระของลูกค้า: ให้อำนาจลูกค้าด้วยการมอบสิทธิ์ในการควบคุมข้อมูลด้วยตนเอง อนุญาตให้ลูกค้าเข้าถึง อัปเดต หรือลบข้อมูลของตนได้ทุกเมื่อ

  • การไม่เลือกปฏิบัติ: ห้ามนำ ID ลูกค้าไปใช้ในการเลือกปฏิบัติหรือสร้างโปรไฟล์ที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคลทั่วไปโดยอิงตามคุณลักษณะส่วนตัวหรือพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้น

  • ความโปร่งใส: ใช้ ID ลูกค้าในลักษณะที่เป็นธรรมและโปร่งใส แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าคุณจะใช้ ID เหล่านี้อย่างไร และหลีกเลี่ยงการกระทำที่หลอกลวงหรือชวนให้เข้าใจผิด

  • ความรับผิดชอบ: รับผิดชอบในการใช้ ID ลูกค้าอย่างมีจริยธรรม ดำเนินการตรวจสอบและทบทวนการใช้งานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและมาตรฐานทางจริยธรรม

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Radar

Radar

ต้านการฉ้อโกงด้วยประสิทธิภาพที่ทรงพลังของเครือข่าย Stripe

Stripe Docs เกี่ยวกับ Radar

ใช้ Stripe Radar เพื่อปกป้องธุรกิจจากการฉ้อโกง