การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมคืออะไร คู่มืออนุกรมวิธานธุรกรรมและประโยชน์

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมทำงานอย่างไร
  3. ธุรกิจประเภทใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดหมวดหมู่ธุรกรรม
  4. ตัวอย่างหมวดหมู่ธุรกรรม
    1. หมวดหมู่การเงินส่วนบุคคล
    2. หมวดหมู่การเงินธุรกิจ
  5. วิธีใช้การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมด้วย Stripe
    1. กำหนดหมวดหมู่ของคุณ
    2. ใช้การจัดหมวดหมู่
    3. วิเคราะห์ข้อมูลที่จัดหมวดหมู่
  6. ประโยชน์ของการจัดหมวดหมู่ธุรกรรมที่ถูกต้องสำหรับธุรกิจ
    1. การแสดงข้อมูลทางการเงิน
    2. การทำบัญชีและการรายงาน
    3. การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    4. ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า
    5. การตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกง
  7. วิธีปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกรรมโดยละเอียด

การจัดหมวดหมู่ธุรกรรม (หรืออนุกรมวิธานธุรกรรม) เป็นกระบวนการจัดหมวดหมู่ธุรกรรมทางการเงินที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปสามารถเข้าใจได้ดีขึ้นว่าเงินทุนมาจากที่ใดและใช้จ่ายอย่างไร โดยเป็นกระบวนการที่มักนำมาใช้จัดการการเงินส่วนบุคคลและการบัญชีของธุรกิจ

เนื่องจากธุรกิจต่างๆ เกือบ 70% ต้องรับมือกับการสูญเสียรายได้จากการฉ้อโกงที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมอาจบทบาทสำคัญในการระบุและป้องกันกิจกรรมฉ้อโกง คู่มือนี้จะอธิบายว่าลูกค้าและธุรกิจสามารถใช้การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมเพื่อปรับปรุงการจัดการด้านการเงินและสถานะทางการเงินโดยรวมได้อย่างไร

เนื้อหาหลักในบทความ

  • การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมเป็นอย่างไร
  • ธุรกิจประเภทใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดหมวดหมู่ธุรกรรม
  • ตัวอย่างหมวดหมู่ธุรกรรม
  • วิธีใช้การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมด้วย Stripe
  • ประโยชน์ของการจัดหมวดหมู่ธุรกรรมที่ถูกต้องสำหรับธุรกิจ
  • วิธีปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกรรมโดยละเอียด

การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมทำงานอย่างไร

การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมหรืออนุกรมวิธานธุรกรรมเป็นดำเนินการจัดหมวดหมู่ธุรกรรมทางการเงินตามลักษณะโดยรวม วัตถุประสงค์ หรือประเภท การจัดหมวดหมู่นี้ช่วยให้บุคคลทั่วไป ธุรกิจ และสถาบันการเงินจัดการการเงินของตนได้

ขั้นตอนแรกของกระบวนการนี้คือการระบุธุรกรรมทางการเงินของบุคคลทั่วไปภายในบันทึกของบุคคลทั่วไปหรือองค์กร ไม่ว่าจะด้วยตนเองหรือผ่านระบบอัตโนมัติที่อ่านคำอธิบายธุรกรรม จำนวนเงิน และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง องค์กร บุคคลทั่วไป หรือระบบอัตโนมัติจะจำแนกและติดป้ายกำกับธุรกรรมเป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มเฉพาะ โดยใช้ระบบใดระบบหนึ่งต่อไปนี้

  • ระบบแบบทำงานตามกฎ: ระบบเหล่านี้ใช้กฎหรือคีย์เวิร์ดที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อกำหนดหมวดหมู่ตามคำอธิบายธุรกรรม เช่น ธุรกรรมที่มีคำว่า "Starbucks" อาจได้รับการจัดหมวดหมู่ชื่อ "ร้านกาแฟ"

  • โมเดลแมชชีนเลิร์นนิง: โมเดลเหล่านี้ใช้อัลกอริทึมเพื่อเรียนรู้จากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ของธุรกรรมที่มีป้ายกำกับ และนำความรู้นั้นไปใช้ในการจัดหมวดหมู่ธุรกรรมใหม่ โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงอาจมีความแม่นยำและปรับเปลี่ยนได้มากกว่าระบบที่ทำงานตามกฎ

สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความสอดคล้องในดำเนินการจัดหมวดหมู่โดยใช้หมวดหมู่และหมวดหมู่ย่อยเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไปและในธุรกรรมต่างๆ หลังจากดำเนินการการจัดหมวดหมู่ องค์กรจะใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลักษณะการใช้จ่าย แหล่งรายได้ และแนวโน้มทางการเงินอื่นๆ เพื่อคำสั่งซื้อการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณ การลงทุน และการจัดการทางการเงินโดยรวม

ธุรกิจประเภทใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดหมวดหมู่ธุรกรรม

แทบทุกธุรกิจที่จัดการธุรกรรมทางการเงินจะได้รับประโยชน์จากการใช้การจัดหมวดหมู่ธุรกรรม โดยเฉพาะธุรกิจบางประเภทดังนี้:

  • ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB): SMB มักจะมีทรัพยากรจำกัดในการจัดการด้านการเงิน การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมจะช่วยให้ติดตามค่าใช้จ่าย ระบุส่วนที่ประหยัดต้นทุนได้ และตัดสินใจทางการเงินอย่างรอบคอบได้

  • ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจเหล่านี้จัดการกับธุรกรรมออนไลน์จำนวนมาก การจัดหมวดหมู่จะช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซวิเคราะห์ข้อมูลการขาย ติดตามพฤติกรรมของลูกค้า และระบุผลิตภัณฑ์หรือบริการยอดนิยมได้

  • ธุรกิจแบบชำระเงินตามรอบบิล: ธุรกิจเหล่านี้พึ่งพารายรับตามแบบแผนล่วงหน้า การจัดหมวดหมู่ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ติดตามการชำระเงินตามรอบบิล ระบุการเลิกใช้บริการ และคาดการณ์รายรับในอนาคตได้

  • ธุรกิจที่มีช่องทางสร้างรายรับหลายทาง: บริษัทที่มีแหล่งที่มารายได้ที่หลายทางสามารถใช้การจัดหมวดหมู่เพื่อติดตามประสิทธิภาพของช่องทางสร้างรายรับแต่ละทางและจัดสรรทรัพยากรตามเหมาะสมได้

  • ธุรกิจที่มีโครงสร้างค่าใช้จ่ายซับซ้อน: บริษัทที่มีหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายหลายรายการสามารถใช้การจัดหมวดหมู่เพื่อติดตามการใช้จ่าย ระบุศูนย์ต้นทุน และอัปเดตงบประมาณได้

  • องค์กรไม่แสวงผลกำไร: องค์กรไม่แสวงผลกำไรต้องกำหนดการบริจาคและค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบเพื่อให้มีความโปร่งใสและความรับผิดชอบชัดเจน การจัดหมวดหมู่ช่วยให้จัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและแสดงผลลัพธ์ต่อผู้บริจาคได้

  • ผู้ประกอบอาชีพอิสระและผู้ประกอบการเดี่ยว: ผู้รับจ้างอิสระสามารถใช้การจัดหมวดหมู่เพื่อติดตามรายได้และค่าใช้จ่าย เตรียมพร้อมสำหรับช่วงยื่นภาษี และตัดสินใจทางการเงินอย่างรอบคอบ

  • ร้านอาหาร: ร้านอาหารสามารถใช้การจัดหมวดหมู่เพื่อติดตามค่าอาหาร ค่าแรง และรายรับจากรายการเมนูต่างๆ

  • ร้านค้าปลีก: ร้านค้าปลีกสามารถใช้การจัดหมวดหมู่เพื่อติดตามยอดขายตามหมวดหมู่สินค้า ระบุสินค้าขายดีที่สุด และวิเคราะห์ลักษณะการใช้จ่ายของลูกค้าได้

  • ธุรกิจบริการ: ธุรกิจบริการสามารถใช้การจัดหมวดหมู่เพื่อติดตามชั่วโมงที่เรียกเก็บเงินได้ ค่าใช้จ่ายในโครงการ และการชำระเงินของลูกค้าได้

  • บริษัทผู้ผลิต: บริษัทผู้ผลิตสามารถใช้การจัดหมวดหมู่เพื่อติดตามต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิต และยอดขายสินค้าสำเร็จรูปได้

ตัวอย่างหมวดหมู่ธุรกรรม

หมวดหมู่ธุรกรรมแบ่งรายได้และรายจ่ายออกเป็นกลุ่มที่จัดการได้และสมเหตุสมผล สำหรับธุรกิจต่างๆ แล้ว การจัดหมวดหมู่โดยละเอียดช่วยปรับปรุงการวิเคราะห์และการรายงานทางการเงิน ตลอดจนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ ส่วนสำหรับบุคคลทั่วไป จะช่วยปรับปรุงการจัดการงบประมาณ การออม และการจัดการทางการเงินโดยรวม

ต่อไปนี้คือหมวดหมู่ธุรกรรมทั่วไปบางส่วน ซึ่งสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของผู้ใช้

หมวดหมู่การเงินส่วนบุคคล

การจัดหาบ้าน

  • ค่าเช่า
  • การชำระเงินจำนอง
  • ประกันบ้าน
  • ภาษีทรัพย์สิน
  • การบำรุงรักษาและซ่อมแซม

บริการสาธารณูปโภค

  • ไฟฟ้า
  • น้ำ
  • แก๊ส
  • อินเทอร์เน็ต
  • เคเบิล

การคมนาคม

  • เชื้อเพลิง
  • ค่าขนส่งสาธารณะ
  • การบำรุงรักษายานพาหนะ
  • ค่าจอดรถ

ค่ารถยนต์

  • อาหาร
  • สินค้าอุปโภคบริโภค
  • ค่ารับประทานอาหารนอกบ้าน
  • อาหารจานด่วน

การดูแลสุขภาพ

  • เบี้ยประกันสุขภาพ
  • การไปพบแพทย์
  • ยาที่สั่งโดยแพทย์
  • การดูแลทันตกรรม

ความบันเทิง

  • ภาพยนตร์
  • คอนเสิร์ต
  • การแข่งขันกีฬา
  • หนังสือ
  • งานอดิเรก

การออมและการลงทุน

  • เงินฝากในบัญชีออมทรัพย์
  • เงินสมทบเพื่อการเกษียณอายุ
  • การซื้อเพื่อลงทุน

การศึกษา

  • ค่าเทอม
  • อุปกรณ์การเรียน
  • เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
  • หลักสูตรออนไลน์

หมวดหมู่การเงินธุรกิจ

รายรับ

  • ยอดขายสินค้า
  • ค่าบริการ
  • ค่าลิขสิทธิ์
  • รายได้จากการลงทุน

ต้นทุนสินค้าที่ขาย (COGS)

  • วัตถุดิบ
  • แรงงานโดยตรง
  • วัสดุการผลิต
  • ค่าขนส่ง

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

  • เงินเดือนและค่าแรง
  • ค่าเช่า
  • ค่าสาธารณูปโภค
  • การตลาดและการโฆษณา
  • บริการเฉพาะทาง (เช่น กฎหมาย การให้คำปรึกษา)

ค่าใช้จ่ายการลงทุน

  • การซื้ออุปกรณ์
  • การปรับปรุงอาคาร
  • การอัปเกรดเทคโนโลยี

ภาษี

  • ภาษีเงินได้
  • ภาษีการขาย
  • ภาษีเงินเดือน
  • ภาษีโรงเรือน

บริการด้านหนี้สิน

  • การชำระดอกเบี้ย
  • การชำระคืนเงินต้น

ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด

  • การเดินทางและความบันเทิง
  • ค่าเบี้ยประกันภัย
  • อุปกรณ์สำนักงาน

วิธีใช้การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมด้วย Stripe

Stripe ให้บริการออบเจ็กต์ธุรกรรมยอดดุลที่แสดงถึงทุกธุรกรรมที่ส่งผลต่อยอดคงเหลือในบัญชี Stripe รวมถึงการชำระเงิน การคืนเงิน การโต้แย้งการชำระเงิน และค่าธรรมเนียม และคุณยังสามารถเพิ่มข้อมูลเมตาไปยังค่าบริการ Stripe, ลูกค้า และออบเจ็กต์อื่นๆ ซึ่งใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกรรมได้ เช่น หมวดหมู่ ประเภทสินค้า หรือกลุ่มลูกค้า ธุรกิจที่ใช้ Stripe จะจัดหมวดหมู่ธุรกรรมได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกทางการเงิน ลดความซับซ้อนในการทำบัญชี และทำการตัดสินใจโดยอิงตามข้อมูลเป็นหลัก

กำหนดหมวดหมู่ของคุณ

สร้างชุดหมวดหมู่ที่ชัดเจนและสอดคล้องกัน โดยเป็นไปตามความต้องการธุรกิจของคุณ

  • รายได้: อาจรวมถึงยอดขาย เงินชำระตามรอบบิล และเงินบริจาค

  • ค่าใช้จ่าย: อาจรวมถึงเงินคืน ค่าธรรมเนียม เงินที่ดึงคืน

  • หมวดหมู่สินค้าหรือบริการ: หมวดหมู่เหล่านี้อาจเป็นเสื้อผ้า ซอฟต์แวร์ หรือการให้คําปรึกษา

  • กลุ่มลูกค้า: กลุ่มเหล่านี้อาจเป็นกลุ่มค้าปลีก ค้าส่ง หรือองค์กร

ใช้การจัดหมวดหมู่

การจัดหมวดหมู่ด้วยตนเองประกอบด้วยการจัดหมวดหมู่แต่ละธุรกรรมภายในแดชบอร์ดหรือ API ของ Stripe โดยกำหนดป้ายกำกับหรือแท็กหมวดหมู่ วิธีนี้อาจใช้เวลานานสำหรับธุรกิจที่มีธุรกรรมจำนวนมาก หากต้องการจัดหมวดหมู่อัตโนมัติ คุณสามารถใช้หมวดหมู่การรายงานของ Stripe เพื่อจัดหมวดหมู่พื้นฐาน แต่จะต้องใช้เครื่องมือหรือการผสานการทำงานของบริษัทอื่นเพื่อการควบคุมที่ละเอียดยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว คุณจะต้องรวมการจัดหมวดหมู่แบบด้วยตนเองเข้ากับแบบอัตโนมัติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยใช้การจัดหมวดหมู่อัตโนมัติสำหรับธุรกรรมส่วนใหญ่ และตรวจสอบและปรับเปลี่ยนด้วยตนเองตามความจำเป็น

ต่อไปนี้คือตัวอย่างระบบผสานรวมของบริษัทอื่นที่จัดหมวดหมู่ธุรกรรมได้อัตโนมัติ

  • การผสานการทำงานซอฟต์แวร์ทำบัญชี: แพลตฟอร์มทำบัญชีมากมาย เช่น Xero มีการผสานการทำงานกับ Stripe ที่จัดหมวดหมู่ตามกฎหรือการจับคู่โดยอัตโนมัติ

  • เครื่องมือวิเคราะห์ด้านการเงิน: เครื่องมืออย่าง Baremetrics หรือ ChartMogul วิเคราะห์ข้อมูล Stripe ของคุณและจัดหมวดหมู่โดยอัตโนมัติ รายงาน และให้ข้อมูลเชิงลึกได้

  • โซลูชันที่ออกแบบเอง: หากมีข้อกำหนดเฉพาะ คุณก็สร้างโซลูชันแบบกำหนดเองได้โดยใช้ API หรือ Webhook ของ Stripe

วิเคราะห์ข้อมูลที่จัดหมวดหมู่

เมื่อจัดหมวดหมู่ธุรกรรมแล้ว คุณจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ได้

  • ติดตามรายรับและค่าใช้จ่าย: วิเคราะห์ผลลัพธ์ทางการเงินของคุณตามหมวดหมู่

  • ระบุแนวโน้มและลักษณะการใช้จ่าย: มองเห็นโอกาสในขยับขยายหรือประหยัดต้นทุน

  • ทำการตัดสินใจธุรกิจอย่างมีข้อมูลรองรับ: ใช้กลยุทธ์ของคุณตามข้อมูลเชิงลึกที่มีข้อมูลรองรับ

  • ลดความซับซ้อนในการทำบัญชีและรายงาน: ปรับปรุงกระบวนการการทำบัญชีและเตรียมยื่นภาษีของคุณ

ประโยชน์ของการจัดหมวดหมู่ธุรกรรมที่ถูกต้องสำหรับธุรกิจ

การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ปรับปรุงการดำเนินงาน และผลักดันการขยับขยาย โดยมีตัวอย่างข้อได้เปรียบที่สำคัญดังนี้

การแสดงข้อมูลทางการเงิน

  • กระแสเงินสด: การจัดหมวดหมู่ธุรกรรมช่วยให้ธุรกิจเข้าใจรายได้และค่าใช้จ่ายได้อย่างครอบคลุม ซึ่งช่วยให้จัดการกระแสเงินสดและคาดการณ์การเงินได้ดีขึ้น

  • ส่วนที่สร้างรายได้และไม่สร้างรายได้: ข้อมูลที่จัดหมวดหมู่จะเผยว่าผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกลุ่มลูกค้าใดที่สร้างรายรับมากที่สุด และส่วนใดมีต้นทุนสูงสุด

  • การติดตามรายจ่าย: การจัดหมวดหมู่ที่แม่นยำช่วยให้ธุรกิจติดตามค่าใช้จ่ายโดยละเอียดและระบุส่วนที่ลดต้นทุนได้

การทำบัญชีและการรายงาน

  • การทำบัญชี: ธุรกรรมที่จัดหมวดหมู่ช่วยให้ธุรกิจกระทบยอดบัญชี จัดทำงบการเงิน และปฏิบัติตามกับกฎระเบียบภาษีได้

  • การตรวจสอบบัญชี: บันทึกทางการเงินที่ถูกต้องและเป็นระเบียบจะช่วยให้การตรวจสอบบัญชีง่ายขึ้น โดยเป็นการลดเวลาและทรัพยากรที่จำป็นสำหรับการปฏิบัติตามข้อกำหนด

การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

  • แนวโน้มและลักษณะการใช้จ่าย: ข้อมูลที่จัดหมวดหมู่อาจเผยลักษณะการใช้จ่าย ความผันผวนตามฤดูกาล และแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจปรับกลยุทธ์ในเชิงรุกได้

  • แคมเปญการตลาด: การติดตามค่าใช้จ่ายทางการตลาดและเชื่อมโยงกับรายรับที่ได้มาจะช่วยให้ธุรกิจประเมินประสิทธิภาพของการทำการตลาดของตนได้

  • การกำหนดราคาและสินค้าคงคลัง: ข้อมูลธุรกรรมช่วยประกอบการตัดสินใจด้านการกำหนดราคาและการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อให้กำหนดระดับคลังที่เหมาะสมและเพิ่มผลกำไรสูงสุดได้อย่างแน่ใจได้

ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า

  • การปรับแต่งตามบุคคล: การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมจะช่วยให้ธุรกิจได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความชอบลูกค้า ซึ่งช่วยกำหนดทิศทางการตลาดส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์และบริการที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้

  • การแบ่งกลุ่มลูกค้า: ธุรกรรมที่จัดหมวดหมู่ช่วยให้แบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงด้วยโปรโมชันและโปรแกรมลูกค้าภักดีที่ตรงตามความสนใจได้

การตรวจจับและการป้องกันการฉ้อโกง

  • การระบุลักษณะการใช้จ่ายผิดปกติ: การจัดหมวดหมู่ที่ถูกต้องช่วยระบุรูปแบบธุรกรรมผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงกิจกรรมฉ้อโกง ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเข้าไปแทรกแซงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ได้

วิธีปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกรรมโดยละเอียด

ข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกรรมโดยละเอียดสามารถปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ได้โดยช่วยให้ธุรกิจปรับแต่งข้อเสนอของตนเอง คาดการณ์ความชอบและความต้องการของลูกค้า และปรับปรุงการเข้าถึงและการสนับสนุนได้

  • การปรับแต่ง: การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียดจากแต่ละธุรกรรมช่วยให้ธุรกิจปรับแต่งข้อเสนอของตนให้ตรงกับความต้องการและความชอบของลูกค้าได้ เช่น หากข้อมูลธุรกรรมแสดงให้เห็นว่าลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกบ่อยๆ ผู้ค้าปลีกอาจแนะนำผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกอื่นๆ หรือให้ข้อเสนอพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์นั้นได้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าที่ตรงตามต้องการและมีความสนใจมากขึ้น

  • การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์: เมื่อทำความเข้าใจลักษณะและแนวโน้มการซื้อ ธุรกิจต่างๆ จะสามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการก่อนที่ลูกค้าขออย่างชัดเจนได้ เช่น หากข้อมูลเชิงด้านลึกธุรกรรมเผยว่าลูกค้าสั่งซื้อหมึกเครื่องพิมพ์ทุกสามเดือน ธุรกิจก็สามารถตั้งการแจ้งเตือนหรืออนุญาตให้ลูกค้าเลือกสั่งซื้อใหม่โดยอัตโนมัติตามกำหนดการนี้ได้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ง่ายขึ้นและมั่นใจได้ว่าสินค้าสำคัญจะไม่หมดคลัง

  • การสนับสนุนลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น: ข้อมูลโดยละเอียดจะช่วยให้ทีมสนับสนุนเข้าใจบริบทของคำขอหรือปัญหาจากลูกค้าได้เร็วขึ้น หากลูกค้าติดต่อฝ่ายสนับสนุนเกี่ยวกับการซื้อ รายละเอียดธุรกรรมที่จัดหมวดหมู่แบบเข้าถึงได้ทันทีนี้จะช่วยให้ทีมการสนับสนุนตอบกลับได้รวดเร็ว แม่นยำ และเป็นประโยชน์มากขึ้น

  • การพัฒนาสินค้าและบริการ: เมื่อใช้ข้อมูลธุรกรรมประกอบการพัฒนาสินค้า ธุรกิจจะสามารถปรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการลูกค้าและความต้องการของตลาดจริงได้ เช่น หากข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกรรมแสดงให้เห็นแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น บริษัทอาจตัดสินใจขยายประเภทผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเช่นนั้นได้

  • อินเทอร์เฟซผู้ใช้: เมื่อทำความเข้าใจว่าลูกค้าโต้ตอบกับเว็บไซต์หรือแอปของคุณอย่างไร เช่น ฟีเจอร์ใช้มากที่สุด จุดเวลาที่ละทิ้งธุรกรรม และจุดบกพร่องที่เกิดขึ้นแล้ว จะช่วยให้ทราบแนวทางการปรับปรุงอินเทอร์เฟซผู้ใช้ได้ โดยการปรับปรุงอาจรวมถึงการลดความซับซ้อนของการชำระเงิน การช่วยให้นำทางบนแพลตฟอร์มง่ายขึ้น หรือให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากขึ้นในที่ที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุด

  • กลยุทธ์การตลาด: ข้อมูลธุรกรรมช่วยให้ธุรกิจสร้างแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสื่อสารมุ่งเน้นที่ความสนใจและความต้องการของลูกค้าโดยตรง โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการซื้อในอดีต แคมเปญอีเมลที่ปรับแต่งตามแต่ละบุคคล โฆษณาที่กำหนดเป้าหมาย และโปรโมชันที่กำหนดขึ้นเฉพาะจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อมาจากข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียดเกี่ยวกับธุรกรรมของลูกค้า

  • โปรแกรมและรางวัลลูกค้าภักดี: การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมจะช่วยให้ธุรกิจสร้างโปรแกรมรางวัลสำหรับแต่ละบุคคลพร้อมส่วนลด สิทธิพิเศษ หรือสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดลูกค้าที่เจาะจงมากที่สุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและความภักดี

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe