รหัสมาตรฐานการทําบัญชี (ASC) 606-10 เป็นหัวข้อย่อยภายใน ASC 606 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ออกโดยคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีการเงิน (FASB) ที่กำหนดว่าบริษัทต่างๆ ควรรายงานผลกําไรจากสัญญาลูกค้าอย่างไร ASC 606 เป็นส่วนหนึ่งของหลักการบัญชีที่ยอมรับโดยทั่วไป (GAAP)ในสหรัฐอเมริกา เป้าหมายของ ASC 606-10 คือการรับรองว่าบริษัทต่างๆ จะรายงานผลกําไรของตนด้วยวิธีการที่ชัดเจนและสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือตลาดใดก็ตาม
หลักการสำคัญของ ASC 606-10 ก็คือธุรกิจควรบันทึกรายรับก็ต่อเมื่อลูกค้าได้รับสินค้าหรือบริการที่ชําระเงินแล้วเท่านั้น ในการที่จะทําเช่นนั้น ธุรกิจควรปฏิบัติตาม 5 ขั้นตอนง่ายๆ ได้แก่ กําหนดรายละเอียดสัญญาของลูกค้า แจกแจงรายละเอียดข้อสัญญาที่มอบให้กับลูกค้า ตัดสินใจเกี่ยวกับราคา จัดสรรราคาโดยอิงตามข้อสัญญา และบันทึกรายรับเมื่อบริษัททําตามข้อสัญญาเหล่านั้นได้สำเร็จ วิธีนี้จะให้ภาพรวมทางการเงินที่แม่นยํากว่าโดยอิงตามกิจกรรมทางธุรกิจ
ต่อไปนี้ เราจะอธิบายหลักการรับรู้รายรับของ ASC 606-10 เปรียบเทียบมาตรฐานการทําบัญชีนี้กับมาตรฐานอื่นๆ และยกตัวอย่างความท้าทายที่พบบ่อยในการนํามาตรฐาน ASC 606-10 มาใช้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- สิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อใช้ ASC 606-10
- หลักการรับรู้รายรับภายใต้ ASC 606-10
- ASC 606-10 เทียบกับ IFRS 15
- ASC 606-10 เทียบกับ FRS 102
- ความท้าทายที่พบบ่อยในการใช้มาตรฐาน ASC 606-10
สิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อใช้ ASC 606-10
ASC 606-10 ออกในปี 2014 และเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อ 606 โดยมีการประกาศการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญหลายประการ รวมทั้งข้อแตกต่างจากแนวทางการรับรู้รายรับก่อนหน้าภายใต้มาตรฐาน ASC 605 ภายใต้ ASC 606-10 บริษัทจะต้องใช้การพิจารณาและการประมาณในระดับที่สูงขึ้น บริษัทต้องประเมินสัญญาแต่ละฉบับอย่างละเอียดและตัดสินใจเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ เช่น ช่วงเวลาในการเกิดรายรับ การจัดสรรราคา และการจัดการข้อกําหนดของสัญญาที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ASC 606-10 ยังกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลมากขึ้นด้วย ดังนั้นบริษัทต่างๆ จึงต้องมีความโปร่งใสเกี่ยวกับแนวทางการใช้หลักการเหล่านี้ สมมติฐานที่ใช้ และการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้รายรับ
ด้านล่างคือแง่มุมใหม่ๆ และข้อแตกต่างที่น่าสนใจจากการใช้มาตรฐาน ASC 606-10:
โมเดลการรับรู้รายรับ 5 ขั้นตอน: ASC 606-10 นำโมเดลแบบ 5 ขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานมาใช้ในการรับรู้รายรับ ซึ่งแตกต่างจากกฎเฉพาะของอุตสาหกรรมและกฎเฉพาะธุรกรรมของ ASC 605 โมเดลนี้กําหนดให้กิจการต้องระบุสัญญา ภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญา และราคาธุรกรรมอย่างเคร่งครัดมากขึ้น รวมทั้งมอบกรอบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันมากขึ้นให้กับทุกภาคธุรกิจ
มุ่งเน้นภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญามากขึ้น: สิ่งที่แตกต่างจากแนวทางก่อนหน้านี้ก็คือ ASC 606-10 เน้นย้ำการระบุภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญาแยกเป็นรายการและการรับรู้รายรับโดยอิงตามการโอนการควบคุม ไม่ใช่อิงตามความเสี่ยงและประโยชน์จากกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ในการเปลี่ยนแปลงนี้ กิจการต้องประเมินสินค้าหรือบริการที่ให้สัญญาไว้ และกําหนดว่าลูกค้าได้รับการควบคุมอย่างไรและเมื่อใด ซึ่งมักจะส่งผลให้ช่วงเวลาและรูปแบบการรับรู้รายรับมีความแตกต่างกัน
ข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มขึ้น: ASC 606-10 กำหนดให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการรับรู้รายรับอย่างละเอียดมากขึ้น การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ประกอบด้วยข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเกี่ยวกับสัญญาของลูกค้ การตัดสินใจที่สําคัญ และการเปลี่ยนแปลงยอดคงเหลือในสัญญา สิ่งนี้ให้ความโปร่งใสมากขึ้นแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ต้องการทราบข้อมูลกิจกรรมการสร้างรายได้ของนิติบุคคลและผลกระทบทางการเงินของพวกเขา
สิ่งตอบแทนผันแปรและแนวทางเกี่ยวกับข้อจํากัด: ASC 606-10 กําหนดให้บริษัทต้องประมาณสิ่งตอบแทนผันแปร (เช่น โบนัสและส่วนลด) และสามารถรับรู้รายรับรายการที่ "มีความเป็นไปได้" ว่าจะไม่มีการปรับคืนที่มีความสำคัญ นี่แตกต่างจากมาตรฐานก่อนหน้าที่บริษัทมักจะรอจนกว่าความไม่แน่นอนจะสิ้นสุดลงเสียก่อน
หลักการรับรู้รายรับภายใต้ ASC 606-10
ASC 606-10 ให้แนวทางที่อิงตามหลักการมากขึ้นในการรับรู้รายรับสําหรับสัญญาของลูกค้า โดยต่อยอดมาจากโมเดล 5 ขั้นตอนที่มอบแนวทางที่สอดคล้องกันให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ และช่วยให้บริษัทต่างๆ บันทึกการโอนสินค้าหรือบริการได้ดีขึ้น โปรดดูรายละเอียดเกี่ยวกับ 5 ขั้นตอนเหล่านี้
ขั้นตอนที่ 1: ระบุสัญญาที่ทำกับลูกค้า
สัญญาคือข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาสองฝ่ายขึ้นไป ซึ่งทำให้เกิดสิทธิ์และหน้าที่ ภายใต้มาตรฐาน ASC 606-10 คู่สัญญาทุกฝ่ายต้องอนุมัติสัญญา ชี้แจงสิ่งที่แต่ละฝ่ายจะมอบให้และยอมรับ ระบุข้อกําหนดการชําระเงิน รวมทั้งชี้แจงสาระสำคัญทางการค้า สิ่งสําคัญที่สุดคือ สัญญาจะต้องระบุความเป็นไปได้ว่าบริษัทจะเรียกเก็บสิ่งที่ตนพึงได้รับ หากคุณเจรจาต่อรองสัญญาหลายรายการกับลูกค้ารายเดียวกัน คุณอาจต้องรวมสัญญาเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นสัญญาฉบับเดียวเพื่อวัตถุประสงค์ในการทําบัญชี
ขั้นตอนที่ 2: กําหนดภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญา
ภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญาคือข้อสัญญาที่คุณให้ไว้กับลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าจะได้รับ ASC 606-10 กำหนดให้คุณต้องแยกย่อยข้อสัญญาเหล่านี้ออกเป็นรายการ และตัดสินใจว่ารายการใดบ้างที่สามารถแยกออกจากกัน ข้อสัญญาแต่ละรายการจะแยกออกจากกันได้เมื่อลูกค้าใช้ประโยชน์จากข้อสัญญารายการนั้นเพียงรายเดียวได้ (หรือนำไปรวมกับทรัพยากรอื่น ๆ ที่ลูกค้ามีอยู่แล้ว) และจะแยกจากรายการอื่นๆ ในสัญญาได้อย่างชัดเจน
ขั้นตอนที่ 3: คํานวณราคาธุรกรรม
ราคาธุรกรรมคือสิ่งที่บริษัทคาดหวังว่าจะได้รับเพื่อแลกเปลี่ยนกับการส่งมอบสินค้าหรือบริการ หากต้องการคํานวณราคานี้ โปรดพิจารณาดังต่อไปนี้
สิ่งตอบแทนผันแปร
หากราคาไม่คงอยู่ถาวร (เช่น โบนัสหรือค่าปรับ) บริษัทจะต้องประมาณราคาโดยพิจารณาจาก "มูลค่าที่คาดหวัง" หรือ "จํานวนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด" และรับรู้เฉพาะรายรับที่ไม่จําเป็นต้องปรับคืนในภายหลัง
องค์ประกอบเกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนที่มีนัยสำคัญในสัญญา
หากใช้ระยะเวลานานกว่าที่คุณจะส่งมอบสินค้าหรือบริการหลังจากได้รับชำระเงิน คุณอาจจำเป็นจะต้องปรับมูลค่าเงินตามเวลา เนื่องจากเงินที่ได้รับมาก่อนจะมีมูลค่ามากกว่าเงินจํานวนเงินเดียวกันที่ได้รับมาทีหลัง
สิ่งตอบแทนที่ไม่ใช่เงินสด
บางครั้งลูกค้าก็ชําระเป็นสินค้าหรือบริการแทนเงินสด คุณควรตีมูลค่าของสิ่งเหล่านี้ด้วยมูลค่ายุติธรรม (กล่าวคือกำหนดราคาที่คู่สัญญาที่มีความรู้ตกลงยอมรับภายใต้สภาวะตลาดปัจจุบัน)
สิ่งตอบแทนที่จะจ่ายให้กับลูกค้า
สิ่งที่มอบคืนให้ลูกค้า เช่น การคืนเงินและเครดิต ซึ่งมักจะทำให้ธุรกรรมมีราคาลดลง
ขั้นตอนที่ 4: จัดสรรราคาธุรกรรมให้กับภาระหน้าที่ในการปฏฺิบัติตามสัญญา
หลังจากจากชำระราคาธุรกรรมแล้ว คุณต้องจัดสรรราคาดังกล่าวให้กับภาระหน้าที่ในการปฏฺิบัติตามสัญญาแต่ละรายการ โดยอิงตามราคาขายแบบเอกเทศ กรณีที่ไม่มีราคาขายแบบเอกเทศให้สังเกตได้โดยตรง คุณต้องประมาณราคาดังกล่าวโดยใช้วิธีต่างๆ เช่น วิธีการสำรวจตลาด วิธีต้นทุนบวกกำไร และบางครั้งก็เป็นวิธีส่วนของราคาที่เหลือ การจัดสรรราคานี้เป็นกุญแจสำคัญ เนื่องจากเป็นตัวกําหนดว่ามีการรับรู้รายรับเท่าใดสําหรับภาระหน้าที่แต่ละข้อ
ขั้นตอนที่ 5: รับรู้รายรับเมื่อหรือในขณะที่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่เสร็จสิ้น
รับรู้รายรับเมื่อคุณส่งมอบตามสัญญา ซึ่งอาจเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาหนึ่งหรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง รับรู้รายรับตลอดช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
ลูกค้าได้รับประโยชน์ระหว่างที่คุณดําเนินการ (เช่น บริการแบบสมัครสมาชิก)
ลูกค้าควบคุมสิ่งที่คุณกำลังสร้างหรือทำให้สินทรัพย์ของลูกค้าเพิ่มขึ้น (เช่น โครงการก่อสร้างบนที่ดินของลูกค้า)
คุณสร้างสิ่งที่คุณไม่มีทางเลือกอื่นในการนำไปใช้ และคุณมีสิทธิ์ได้รับชำระเงินเป็นค่าผลงานที่เสร็จสิ้นแล้วถึงวันปัจจุบัน
หากไม่เข้าข่ายหลักเกณฑ์ใดๆ ข้างต้น ให้รับรู้รายรับ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งมักเป็นตอนลูกค้าควบคุมสินค้าหรือบริการนั้น สัญญาณที่แสดงถึงการโอนการควบคุมนี้อาจจะรวมถึงกรณีที่ลูกค้าได้รับกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ครอบครองทรัพย์สินในทางกายภาพ ได้รับความเสี่ยงและประโยชน์จากการถือกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ หรือเพียงเพราะยอมรับผลิตภัณฑ์นั้น
ASC 606-10 เทียบกับ IFRS 15
ทั้ง ASC 606-10 และมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) 15 ต่างก็กําหนดกฎสําหรับวิธีที่บริษัทต่างๆ ควรรับรู้รายรับจากสัญญาของลูกค้า มาตรฐานเหล่านี้ออกด้วยกันในปี 2014 เพื่อทำให้มาตรฐานระหว่างประเทศและมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาคล้ายคลึงกันมากขึ้น แม้ว่าจะมีหลายอย่างเหมือนกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างที่สําคัญบางประการที่อาจส่งผลกระทบต่อวิธีการที่บริษัทนําไปใช้ในทางปฏิบัติ
ความคล้ายคลึงกัน
ทั้ง ASC 606-10 และ IFRS 15 ต่างก็ใช้กระบวนการ 5 ขั้นตอนแบบเดียวกันในการรับรู้รายรับ ได้แก่
- ระบุสัญญาที่ทำกับลูกค้า
- ระบุภาระหน้าที่ในการปฏฺิบัติตามสัญญา
- กําหนดราคาธุรกรรม
- จัดสรรราคาให้กับภาระหน้าที่ในการปฏิบัติงานในสัญญา
- รับรู้รายรับเมื่อคุณปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นเสร็จสิ้น
- ระบุสัญญาที่ทำกับลูกค้า
มาตรฐานทั้งสองแบบมีเกณฑ์คล้ายกันว่าควรรับรู้รายรับเมื่อใด นั่นคือเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้นและเมื่อลูกค้าสามารถเข้าควบคุมสิ่งที่ธุรกิจขายให้แก่ลูกค้าได้
มาตรฐานทั้งสองแบบกำหนดให้บริษัทต้องประมาณสิ่งตอบแทนผันแปร เช่น ส่วนลดและโบนัสล่วงหน้า และรับรู้รายรับเฉพาะในกรณีที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีการปรับคืนในภายหลัง
มาตรฐานทั้งสองต่างกำหนดให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียดยิ่งขึ้น รวมถึงวิธีที่ธุรกิจจัดการการรับรู้รายรับ การตัดสินใจที่ธุรกิจดําเนินการ และการเปลี่ยนแปลงของยอดคงเหลือที่เกี่ยวข้องกับสัญญา
ข้อแตกต่าง
แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่ ASC 606-10 (และกฎ GAAP ในสหรัฐอเมริกาที่มีขอบเขตกว้างกว่า) และ IFRS 15 ไม่เหมือนกัน ข้อแตกต่างที่สําคัญๆ มีดังนี้
ASC 606-10
การรับรู้สัญญา: ในการรับรู้สัญญาภายใต้ ASC 606-10 สัญญาต้อง "มีความเป็นไปได้" ว่าจะสามารถเรียกเก็บเงินได้ตามที่คุณคาดหวัง GAAP ของสหรัฐอเมริกาใช้คำว่า "มีความเป็นไปได้" ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงความเป็นไปได้ 75% ขึ้นไป
ต้นทุนของสัญญา: ASC มีกฎที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าว่าคุณจะแปลงค่าใช้จ่ายในการขอหรือดําเนินการตามสัญญา (เช่น ค่าคอมมิชชันการขาย) เป็นทุนได้เมื่อใด นอกจากนี้ยังเสนอทางลัดที่ช่วยให้คุณตัดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ทันทีหากระยะเวลารับผลประโยชน์ไม่เกิน 1 ปี
การทดสอบการด้อยค่าของค่าใช้จ่ายที่แปลงเป็นต้นทุน: ASC 606-10 ใช้กระบวนการการทดสอบการกู้คืนแบบ 2 ขั้นตอน จากนั้นจึงคํานวณการขาดทุนจากการด้อยค่า
คําแนะนําเกี่ยวกับการออกใบอนุญาต: กฎ ASC อาจมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าเกี่ยวกับใบอนุญาต โดยเฉพาะการตัดสินใจว่าใบอนุญาตให้สิทธิ์เข้าถึงบางอย่างในช่วงเวลาหนึ่งหรือสิทธิ์ในการใช้บางสิ่งบางอย่าง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
ข้อแตกต่างเกี่ยวกับการรายงานระหว่างกาล: สหรัฐอเมริกามีข้อกําหนดการรายงานที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเปิดเผยในงบการเงินระหว่างกาล คุณต้องจัดสรรต้นทุนบางรายการที่ให้ประโยชน์มากกว่าหนึ่งช่วงเวลาไปยังช่วงเวลาเหล่านั้น
IFRS 15
การรับรู้สัญญา: ในการรับรู้สัญญาภายใต้ IFRS 15 สัญญาต้อง "มีความเป็นไปได้" ว่าจะสามารถเรียกเก็บเงินได้ตามที่คุณคาดหวัง IFRS ให้คำจำกัดความว่าคำว่า "มีความเป็นไปได้" หมายถึง "มีความเป็นไปได้มากกว่าเป็นไปไม่ได้" กล่าวคือมีความเป็นไปได้มากกว่า 50% ข้อแตกต่างเล็กน้อยเหล่านี้บางครั้งอาจทำให้เกิดการรับรู้รายได้ก่อนภายใต้ IFRS 15
ต้นทุนของสัญญา: IFRS กําหนดให้คุณแปลงค่าใช้จ่ายในการขอหรือทําตามสัญญาเป็นทุนเช่นกัน แต่ไม่มีทางลัดเฉพาะสําหรับสัญญาระยะสั้นเหมือน ASC 606-10 ซึ่งอาจสร้างความแตกต่างเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการรายงานต้นทุน
การทดสอบการด้อยค่าของค่าใช้จ่ายที่แปลงเป็นต้นทุน: IFRS คํานวณการขาดทุนจากการด้อยค่าหากมีตัวบ่งชี้ถึงการด้อยค่า
คําแนะนําเกี่ยวกับการออกใบอนุญาต: IFRS ช่วยให้มีการตัดสินใจมากขึ้นว่าจะจัดการใบอนุญาตอย่างไร ซึ่งอาจส่งผลให้ช่วงเวลาในการรับรู้รายได้แตกต่างกัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เทคโนโลยี สื่อ และเภสัชภัณฑ์
ข้อแตกต่างเกี่ยวกับการรายงานระหว่างกาล: IFRS ต้องการรายละเอียดน้อยกว่าในรายงานระหว่างกาล และเน้นข้อมูลที่จำเป็นต่อการทําความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รายงานประจําปีฉบับล่าสุดมากกว่า คุณไม่สามารถเลื่อนเวลาการตัดบัญชีต้นทุนที่ไม่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ได้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาระหว่างกาล
ASC 606-10 เทียบกับ FRS 102
ทั้ง ASC 606-10 และมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (FRS) 102 กำหนดกฎพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีที่บริษัทควรรับรู้รายรับ แต่ใช้โมเดลและวิธีการแตกต่างกัน ASC 606-10 ใช้โมเดลแบบใหม่ที่ครอบคลุมมากกว่าภายใต้แนวทาง GAAP ของสหรัฐอเมริกาที่ทำให้การรับรู้รายรับของอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วน FRS 102 ใช้กระบวนการทําบัญชีแบบเก่าภายใต้ GAAP ของสหราชอาณาจักร ASC 606-10 ต้องการให้ระบุรายละเอียดมากกว่าและเน้นไปที่การควบคุมสินทรัพย์ แต่ธุรกิจที่ใช้มาตรฐานนี้ต้องดำเนินการและใช้การตัดสินใจมากกว่า ส่วน FRS 102 ใช้งานง่ายกว่าและเน้นไปที่ความเสี่ยงและประโยชน์จากสินทรัพย์ แต่ไม่ได้ให้ภาพรวมครบถ้วนเสมอไป โดยเฉพาะสัญญาที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าปกติ
การเปลี่ยนแปลงที่กําลังจะเกิดขึ้น ที่จะมีผลในปี 2026 จะทำให้ FRS 102 สอดคล้องกับ ASC 606-10 มากขึ้น สําหรับตอนนี้ เรามาดูกันว่ามาตรฐานทั้งสองนี้แตกต่างกันอย่างไร
ASC 606-10
การรับรู้รายรับ: ASC 606-10 ใช้โมเดล 5 ขั้นตอนโดยมุ่งเน้นไปที่การถ่ายโอนการควบคุมสินทรัพย์ ซึ่งจะเน้นเกี่ยวกับการระบุสัญญาและภาระหน้าที่ในการปฏฺิบัติตามสัญญา การกําหนดราคาธุรกรรม การจัดสรรราคาเหล่านี้ และการรับรู้รายรับตลอดช่วงเวลาหรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
หลักเกณฑ์และเวลาในการรับรู้: เวลาในการรับรู้รายรับจะขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าสามารถควบคุมสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้าเมื่อใด โมเดลมีความยืดหยุ่นสูงและช่วยให้บริษัทปรับการรับรู้รายรับให้เหมาะกับแต่ละสัญญาได้
การจัดการสัญญาที่ซับซ้อน: เมื่อจัดการสัญญาที่มีข้อสัญญาจำนวนมาก (เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการหลายรายการ) ASC 606-10 กําหนดให้ธุรกิจต้องแบ่งภาระหน้าที่เหล่านี้แยกออกเป็นหลายรายการ จากนั้นจึงจัดสรรราคาธุรกรรมให้สอดคล้องกัน เพื่อให้มั่นใจว่ารายรับจะตรงกันมากขึ้นกับการจัดส่งสินค้าหรือบริการ
สิ่งตอบแทนผันแปร ASC 606-10 อธิบายวิธีจัดการกับสิ่งตอบแทนผันแปร เช่น ส่วนลด การคืนเงินคืน และโบนัส บริษัทต่างๆ ต้องประมาณจํานวนเงินเหล่านี้และรับรู้ก็ต่อเมื่อมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีการปรับคืนที่มีความสำคัญ ดังนั้นจึงต้องทำการประเมินอย่างถี่ถ้วนเพื่อหลีกเลี่ยงการบันทึกรายรับเกินจํานวน
การแปลงค่าใช้จ่ายเป็นทุน: ASC 606-10 กําหนดให้ธุรกิจแปลงค่าใช้จ่ายบางอย่างเป็นทุนในการทำและการดําเนินการตามสัญญา (เช่น ค่าคอมมิชชันการขาย) หากคาดว่าจะได้รับการกู้คืน นอกจากนี้ยังมีคําแนะนําเกี่ยวกับการชำระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ตลอดระยะเวลารับผลประโยชน์ ซึ่งทําให้การทําบัญชียากยิ่งขึ้น
การเปิดเผยข้อมูล: บริษัทจะต้องให้หมายเหตุโดยละเอียดเกี่ยวกับสัญญา ภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญา และการตัดสินใจที่สําคัญเกี่ยวกับการรับรู้รายรับ ข้อมูลนี้จะให้ความกระจ่างแก่นักลงทุนและผู้ใช้งบการเงินกลุ่มอื่นๆ ว่าบริษัทได้รายรับมาอย่างไรและความเสี่ยงใดบ้าง
FRS 102
การรับรู้รายรับ: FRS 102 ช่วยให้การรับรู้รายรับง่ายขึ้นและอิงตามกฎมากขึ้น โดยเน้นการโอนความเสี่ยงและประโยชน์จากกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์มากกว่าการควบคุมสินทรัพย์ และโดยทั่วไปแล้วจะช่วยให้การนำไปใช้มีความซับซ้อนน้อยลงและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ง่ายกว่าแต่แม่นยําน้อยกว่า
หลักเกณฑ์และเวลาในการรับรู้: ตามมาตรฐาน FRS 102 บริษัทจะรับรู้รายรับได้เมื่อโอนความเสี่ยงและประโยชน์จากกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ให้กับลูกค้าแล้ว รายรับจึงสามารถคาดการณ์ได้และสอดคล้องกันมากขึ้น แต่อาจไม่ค่อยตรงความเป็นจริงทางเศรษฐกิจของธุรกรรมบางรายการ การเปลี่ยนแปลงที่กําลังจะเกิดขึ้นจะมีการเพิ่มข้อกําหนดให้ธุรกิจรับรู้รายรับเมื่อปฏิบัติภาระหน้าที่ตามสัญญาแล้ว
การจัดการสัญญาที่ซับซ้อน: FRS 102 ไม่กำหนดให้บริษัทแยกย่อยสัญญาออกมาเป็นรายการภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญาหรือแยกข้อสัญญาทั้งหมดออกจากกัน แต่จะรับรู้รายรับอิงตามเวลาที่มีการโอนความเสี่ยงและประโยชน์ในกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์ ทําให้กระบวนการง่ายขึ้น แต่อาจจะไม่สะท้อนความแตกต่างของข้อตกลงที่ซับซ้อนกว่าปกติ
สิ่งตอบแทนผันแปร ถึงแม้ว่า FRS 102 จะคํานึงถึงสิ่งตอบแทนผันแปร แต่ไม่มีข้อกําหนดที่เข้มงวดเหมือนกับ ASC 606-10 ธุรกิจควรรับรู้รายรับเมื่อมั่นใจและคำนวณรายรับได้ตามความสมควร โดยไม่มีข้อจํากัดและแนวทางประมาณมูลค่าในระดับเดียวกับ ASC 606-10
การแปลงค่าใช้จ่ายเป็นทุน: ตามมาตรฐาน FRS 102 บริษัทจะตัดยอดค่าใช้จ่ายเป็นต้นทุของสัญญาทันทีที่เกิดขึ้น
การเปิดเผยข้อมูล: แม้จะมีข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูลภายใต้ FRS 102 แต่ไม่ครอบคลุมหรือละเอียดเหมือนอย่างข้อกําหนดของมาตรฐาน ASC 606-10 แต่เน้นการให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการทําความเข้าใจงบการเงิน โดยไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการรับรู้รายรับและการตัดสินใจ
ความท้าทายที่พบบ่อยในการใช้มาตรฐาน ASC 606-10
ASC 606-10 สร้างความท้าทายใหม่ๆ หลายอย่าง บริษัทต้องใช้การตัดสินใจมากกว่า ASC 606 เวอร์ชันก่อนหน้า โดยบริษัทต้องประเมินภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญา ประเมินสิ่งตอบแทนผันแปร และกําหนดเวลาในการรับรู้รายรับโดยอิงตามการโอนการควบคุม แทนที่จะใช้กฎเฉพาะของอุตสาหกรรมที่ตรงไปตรงมามากกว่า
การเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานที่อิงตามหลักการมากขึ้นทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ต้องใช้การตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น ตลอดจนกระบวนการใหม่ๆ และแนวทางการมำบัญชีที่เข้มงวดกว่าเดิม เราลองมาดูอุปสรรคเหล่านั้นกันอย่างละเอียด
ภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญา
ภายใต้มาตรฐาน ASC 606-10 ธุรกิจจะต้องวิเคราะห์สิ่งที่ให้สัญญาไว้กับลูกค้าอย่างละเอียดเพื่อระบุภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญาแต่ละรายการ การดําเนินการนี้อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งสําหรับสัญญาที่มีสินค้าและบริการหลายรายการ
สิ่งตอบแทนผันแปร
ASC 606-10 กําหนดให้ธุรกิจต้องประมาณจํานวนเงิน เช่น ส่วนลด เงินคืน และโบนัสการดำเนินงานตั้งแต่แรก และใช้ข้อจํากัดเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจจะรับรู้รายรับตราบเท่าที่ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับคืนรายรับดังกล่าว
กําหนดเวลาการรับรู้รายรับ
ตามมาตรฐาน ASC 606-10 ธุรกิจต้องเลือกว่าจะรับรู้รายรับตลอดช่วงเวลา หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าลูกค้ามีสิทธิ์ควบคุมสินค้าหรือบริการเมื่อใด และต้องมีการประเมินข้อกําหนดของสัญญาและลักษณะภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญาอย่างถี่ถ้วน
ราคาธุรกรรม
ภายใต้มาตรฐาน ASC 606-10 ธุรกิจจะต้องจัดสรรราคาธุรกรรมให้กับภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญาหลายประการโดยอิงตามราคาขายแบบเอกเทศ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก หากราคาเหล่านี้ไม่สามารถสังเกตได้โดยง่าย
ระบบและกระบวนการ
ธุรกิจหลายแห่งต้องอัปเกรดระบบและขั้นตอนการทําบัญชีเพื่อบันทึกข้อมูลและดําเนินการประมาณและจัดสรรราคาตามข้อกำหนดของ ASC 606-10
ข้อกําหนดการเปิดเผยข้อมูล
มาตรฐาน ASC 606-10 กําหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการรับรู้รายได้ การตัดสินใจ และการเปลี่ยนแปลงยอดคงเหลือของสัญญา การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ทุกคนอ่านงบการเงินและเข้าใจกระแสรายรับของบริษัทได้ดีขึ้น ตลอดจนการตัดสินใจที่เกิดขึ้น
การทํางานร่วมกันระหว่างแผนก
การใช้มาตรฐาน ASC 606-10 ต้องมีการประสานงานข้ามแผนก ธุรกิจจะต้องขอความร่วมมือจากฝ่ายขาย ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายไอที และฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกด้านของการจัดการสัญญาจะสอดคล้องกับข้อกําหนดใหม่
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ