ภาษีศุลกากรเป็นองค์ประกอบสําคัญของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่ธุรกิจในญี่ปุ่นจําเป็นต้องทําความคุ้นเคยก่อนขายสินค้าในต่างประเทศ เนื่องจากอัตราภาษีแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ บริษัท จึงต้องรู้เกี่ยวกับภาษีของประเทศที่ตนวางแผนจะดําเนินการอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนด้วย
ในบทความนี้ เราจะพูดถึงภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน และให้ภาพรวมของภาษีศุลกากรในจีน สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- คำอธิบายของภาษีศุลกากร
- ภาษีศุลกากรสําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
- วิธีค้นหาอัตราภาษีศุลกากร
- ภาษีศุลกากรของประเทศรายหลักที่ทำการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนกับญี่ปุ่น
- ภาษีการบริโภคของญี่ปุ่นได้รับการยกเว้นสําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
- หมายเหตุสําคัญเกี่ยวกับภาษีอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและภาษีอื่นๆ
คำอธิบายของภาษีศุลกากร
ภาษีศุลกากร ซึ่งบางครั้งเรียกว่าภาษีนำเข้า คือภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่มีการนำเข้าและส่งออกระหว่างประเทศ โดยผู้นำเข้าสินค้า (หรือผู้รับ) เป็นผู้รับภาระภาษีศุลกากรดังกล่าว และเนื่องจากผู้รับเป็นผู้ต้องชำระภาษีศุลกากรเมื่อต้องการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อนำเข้ามายังประเทศของตน จึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้นำเข้าจะเจรจาราคากับธุรกิจในต่างประเทศ (เช่น ผู้ส่งออก)
วัตถุประสงค์ของภาษีศุลกากร
มี 2 เหตุผลหลักที่ประเทศต่างๆ เรียกเก็บภาษีศุลกากร โดยประการแรกคือเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ และประการที่สอง เพื่อจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับประเทศและภูมิภาคที่ใช้มาตรการภาษีศุลกากร
การคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ
ในทางสมมุติฐาน หากประเทศหนึ่งนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศในปริมาณมหาศาล ผู้บริโภคภายในประเทศอาจหันไปซื้อแต่สินค้านำเข้าเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้ยอดขายของสินค้าที่ผลิตภายในประเทศลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวของอุตสาหกรรมภายในประเทศ และส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศต่างๆ จึงเรียกเก็บภาษีศุลกากร กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประเทศใช้ภาษีศุลกากรเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะไม่มีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากเกินไป
การจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ
ประเทศต่างๆ เรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าที่นำเข้าเพื่อใช้เป็นแหล่งรายได้ ซึ่งรายได้นี้สามารถนำไปสนับสนุนด้านการเงินของประเทศได้
วิธีการเก็บภาษี
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจำเป็นต้องตระหนักว่าวิธีการเก็บภาษีที่ใช้กับสินค้าแต่ละประเภทจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศและลักษณะของสินค้า โดยทั่วไปมีอัตราภาษีอยู่ 3 ประเภทที่อาจถูกนำมาใช้ ดังนั้นหากมีการขายสินค้าหลายรายการ จึงควรตรวจสอบวิธีการจัดเก็บภาษีของแต่ละรายการอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการขาย
- ภาษีตามราคา: ภาษีที่เรียกเก็บตามราคาสินค้า
- อัตราภาษีศุลกากรตามสภาพ: ภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บตามปริมาณ น้ำหนัก หรือปริมาตรของสินค้า
- ภาษีแบบผสม: ภาษีที่เรียกเก็บซึ่งเป็นการรวมกันของอัตราภาษีตามราคาและอัตราภาษีตามสภาพ
ภาษีศุลกากรสําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
ข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศต่างๆ เรียกเก็บภาษีสําหรับสินค้าที่นําเข้าจากต่างประเทศ หมายความว่าภาษีศุลกากรจะนําไปใช้กับสินค้าปลีกที่ซื้อผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนตามที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ภาษีศุลกากรเป็นภาษีที่ผู้ซื้อหรือผู้รับสินค้ามักเป็นผู้รับภาระ ดังนั้น ลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจึงต้องชำระภาษีศุลกากรตามอัตราที่กำหนดในฐานะผู้นำเข้าสินค้า
ธุรกิจที่ดำเนินการอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจำเป็นต้องให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากรแก่ลูกค้าอย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ลูกค้าได้รับแจ้งให้ชำระภาษีหลังจากที่สินค้าจัดส่งแล้ว แนวทางที่เหมาะสมคือควรกำหนดราคาสินค้าโดยคาดการณ์ว่าจะมีการเรียกเก็บภาษี หรือแสดงอัตราภาษีและจำนวนภาษีโดยประมาณให้ชัดเจนในขั้นตอนที่ลูกค้าทำการสั่งซื้อสินค้า
วิธีค้นหาอัตราภาษีศุลกากร
ในที่นี้ เราจะพูดถึงเครื่องมือที่เป็นประโยชน์สําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่ต้องการตรวจสอบอัตราภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้อง
พิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (HS)
ประเทศต่างๆ จัดหมวดหมู่อัตราภาษีสําหรับสินค้าโดยใช้รหัสหกหลักที่เรียกว่าพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ หรือ HS โดยมีมากกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคที่ใช้รหัสนี้ รหัส HS ไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราภาษีเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกำหนดหรือระเบียบที่ต้นทางของสินค้าอีกด้วย รหัส HS อยู่ภายใต้การจัดการขององค์การศุลกากรโลก (WCO) และในบางประเทศ รหัส HS อาจมีการเพิ่มตัวเลขเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นรหัสเฉพาะของประเทศนั้นๆ สำนักงานศุลกากรและภาษีอากรได้เผยแพร่ตารางภาษีศุลกากรของญี่ปุ่น สำหรับการนำเข้าสินค้าเข้าญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นแหล่งอ้างอิงที่เป็นประโยชน์
World Tariff
World Tariff เป็นฐานข้อมูลอัตราภาษีศุลกากรที่ให้บริการโดย FedEx Trade Networks ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ในฐานะเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน คุณสามารถใช้ World Tariff เพื่อค้นหาอัตราภาษีศุลกากรของประเทศต่างๆ ได้มากกว่า 175 ประเทศทั่วโลก หากคุณพำนักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น คุณสามารถใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงลงทะเบียนผ่านองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) แต่หากไม่ได้ลงทะเบียนผ่าน JETRO จะมีค่าใช้บริการในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว
The Rules of Origin Facilitator
การป้อนรหัส HS และประเทศผู้นำเข้าและผู้ส่งออกลงใน Rules of Origin Facilitator ที่สร้างขึ้นโดยศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพิจารณาได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่กําหนดมีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นพักภาษีหรือไม่ (เช่น อัตราภาษีพิเศษ) นอกจากนี้ Rules of Origin Facilitator ยังให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบของประเทศต้นทางของสินค้าอีกด้วย
ภาษีศุลกากรของประเทศรายหลักที่ทำการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนกับญี่ปุ่น
ในที่นี้ เราจะพิจารณาระบบภาษีศุลกากรของประเทศหลักที่ญี่ปุ่นดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนด้วย ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และไต้หวัน
จีน
เมาเริ่มกันที่ระบบภาษีศุลกากรของจีน ซึ่งมีการอธิบายเพิ่มเติมไว้ในหัวข้อ “ระบบภาษีศุลกากรของจีน” ของ JETRO
นอกจากภาษีศุลกากรแล้ว จีนยังเรียกเก็บภาษีนําเข้าและภาษีไปรษณีย์ ตลอดจนภาษีรวมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนอีกด้วย
ภาษีนําเข้าและภาษีไปรษณีย์
ภาษีนําเข้าและไปรษณีย์จะเกิดขึ้นเมื่อพัสดุที่ส่งมามีไว้เพื่อใช้ส่วนตัว (กล่าวคือผู้บริโภค) ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าในประเทศจีนได้รับสินค้าโดยตรงจากญี่ปุ่นโดยใช้บริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ลูกค้าซึ่งเป็นผู้นําเข้าจะต้องชําระภาษีนี้ในขณะที่นําเข้า สําหรับอัตราภาษีนําเข้าและภาษีไปรษณีย์สําหรับสินค้าบุคคลทั่วไป โปรดดูที่ “การแก้ไขภาษีนําเข้าและไปรษณีย์” ของ JETRO
ภาษีรวมสำหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
ภาษีรวมสำหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนหมายถึงการจัดเก็บภาษีในอัตราภาษีพิเศษที่กำหนดไว้กับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด (ดู JETRO “ภาพรวมของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในจีนและข้อควรระวัง: การส่งออกไปยังจีน
แม้อัตราภาษีรวมสำหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจะต่ำกว่าอัตราภาษีนำเข้าและภาษีไปรษณีย์ แต่ก็มีข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่า โดยจีนจำกัดสินค้าที่บังคับใช้เฉพาะสินค้าที่อยู่ใน “รายการสินค้านำเข้าสำหรับการค้าปลีกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน” เท่านั้น คุณสามารถดูอัตราภาษีรวมของแต่ละรายการสินค้าในหมวดอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนได้จาก JETRO ในส่วน “ตลาดอีคอมเมิร์ซของจีนและแนวทางการใช้ประโยชน์
สหรัฐอเมริกา
ในสหรัฐอเมริกา มีการใช้พิกัดอัตราภาษีศุลกากรตามราคา อัตราภาษีศุลกากรตามสภาพ และอัตราภาษีศุลกากรแบบผสม สำหรับสินค้านำเข้าแต่ละรายการ สหรัฐฯ จัดหมวดหมู่และระบุพิกัดอัตราภาษีเหล่านี้โดยใช้รหัส HS ด้วยเหตุนี้ สหรัฐอเมริกาจึงกำหนดอัตราภาษีจากทั้งปริมาณและราคาของสินค้าที่นำเข้า
สหรัฐอเมริกาจัดหมวดหมู่อัตราภาษีศุลกากรออกเป็น 3 ประเภท
อัตราภาษีศุลกากรทั่วไป
ประเทศส่วนใหญ่ที่ทำการค้ากับสหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้สถานะความสัมพันธ์ทางการค้าปกติ (NTR) ซึ่งประเทศที่อยู่ภายใต้สถานะ NTR นี้จะได้รับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราทั่วไป สินค้าที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ภายใต้อัตราภาษีศุลกากรนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สินค้าบางรายการที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรตามอัตราทั่วไป
อัตราภาษีศุลกากรพิเศษ
อัตราภาษีศุลกากรพิเศษของสหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ของสหรัฐฯ และนำมาใช้กับประเทศที่ร่วมทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) หรือข้อตกลงทางการค้าอื่นๆ ที่มีลักษณะพิเศษกับสหรัฐฯ ในกรณีการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ มีการใช้อัตราภาษีศุลกากรพิเศษกับสินค้าบางรายการเป็นมาตรการทางภาษีพิเศษ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ
อัตราภาษีศุลกากรตามกฎหมาย
สหรัฐอเมริกาบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรตามกฎหมายกับคิวบา เกาหลีเหนือ รัสเซีย และเบลารุส ในอดีต อัตราเหล่านี้ใช้ได้กับคิวบาและเกาหลีเหนือเท่านั้น แต่สหรัฐฯ ได้เพิ่มรัสเซียและเบลารุสในเดือนเมษายน 2022 อันเป็นผลมาจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
หากต้องการตรวจสอบอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา ขั้นตอนแรกคือให้ตรวจสอบรหัสพิกัดศุลกากร (HTS) ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้จัดหมวดหมู่สินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯ โดยสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ทางการของคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USITC) เมื่อตรวจสอบยืนยันรหัส HTS แล้ว ให้ค้นหาอัตราภาษีศุลกากรในฐานข้อมูลภาษีศุลกากรของคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USITC)
เกาหลีใต้
ถัดไป เรามาดูภาษีศุลกากรของเกาหลีใต้ตามที่ระบุไว้ใน “ระบบภาษีศุลกากรของเกาหลีใต้” ของ JETRO กัน
เกาหลีใต้มีภาษีศุลกากร 2 ประเภทหลักด้วยกัน ได้แก่
- อัตราภาษีศุลกากรในระดับประเทศ ซึ่งรวมถึงอัตราภาษีพื้นฐาน อัตราภาษีชั่วคราว และอัตราภาษีที่ให้เปลี่ยนแปลงได้
- อัตราภาษีความร่วมมือระหว่างประเทศ
เกาหลีใต้ยังแบ่งอัตราภาษีศุลกากรที่ให้เปลี่ยนแปลงได้ออกเป็น:
- ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด
- ภาษีตอบโต้การอุดหนุน
- ภาษีตอบโต้ส่วนที่สูงขึ้น
- ภาษีฉุกเฉิน
- อัตราภาษีฉุกเฉินพิเศษสําหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ป่าไม้ และปศุสัตว์
- ภาษีที่ปรับแล้ว
- ภาษีโควตา
- ภาษีตามฤดูกาล
- อัตราภาษีที่เป็นประโยชน์
- ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP)
เกาหลีใต้ใช้อัตราภาษีขององค์การการค้าโลก (WTO) กับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ตามข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรและภาษีอากร กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ อัตราภาษีของ WTO หมายถึงการที่เกาหลีใต้กำหนดเพดานอัตราภาษีสูงสุดไว้สำหรับประเทศสมาชิก WTO ตามข้อตกลงของ WTO โดยเกาหลีใต้ตกลงว่าจะไม่จัดเก็บภาษีเกินกว่าเพดานที่กำหนดไว้ อัตราภาษีของ WTO นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อัตราภาษีทั่วไป
แม้ว่าเราจะไม่ลงลึกในรายละเอียดของแต่ละหมวดหมู่ แต่มีประเด็นสำคัญ 3 ข้อที่คุณควรทราบ
อัตราภาษีศุลกากรทั่วไป: นี่คืออัตราภาษีที่พบบ่อยที่สุดที่เกาหลีใต้ใช้เมื่อไม่มีข้อตกลงการค้าเฉพาะระหว่างเกาหลีใต้กับประเทศอื่น
ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด: เกาหลีใต้เรียกเก็บภาษีศุลกากรเหล่านี้เมื่อผลิตภัณฑ์บางรายการอาจส่งผลเชิงลบต่ออุตสาหกรรมในประเทศ หากผู้ซื้อนําเข้าในราคาที่ต่ำกว่าตลาดท้องถิ่น เกาหลีใต้กําหนดภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อป้องกันการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP): เกาหลีใต้ใช้ GSP เพื่อสนับสนุนประเทศกําลังพัฒนา (เช่น ประเทศที่มีสิทธิ์ได้รับ GSP) ภายใต้สิทธิพิเศษแก่ประเทศกำลังพัฒนาในการปฏิบัติตามพันธกรณี (S&D) และกําหนดอัตราภาษีต่ำสําหรับสินค้าที่ผู้ซื้อนําเข้าจากประเทศที่มีสิทธิ์
นอกจากนี้ เกาหลีใต้มีอัตราภาษีหลักอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน
ภาษีนำเข้า:ภาษีนําเข้ามีไว้สําหรับผลิตภัณฑ์ที่นําเข้าไปยังเกาหลีใต้ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและเพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับตลาด
ภาษีส่งออก: ภาษีส่งออกคือภาษีที่เกาหลีใต้เรียกเก็บจากสินค้าที่ลูกค้าหรือบริษัทส่งออกออกจากประเทศเกาหลีใต้
ภาษีผ่านแดน: ภาษีผ่านแดนคือภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่ผ่านเข้ามาในเกาหลีใต้ระหว่างทางไปยังประเทศปลายทางอื่น
เกาหลีใต้ยังแบ่งอัตราภาษีทั้ง 2 ประเภทนี้ออกเป็นภาษีเพื่อรายได้และภาษีเพื่อการคุ้มครองตามวัตถุประสงค์ของการเก็บภาษี นอกจากนี้ยังจำแนกภาษีทั้ง 3 ประเภทออกเป็นภาษีตามกฎหมายภายในประเทศและภาษีตามข้อตกลงตามเหตุผลของการเก็บภาษี และภาษีตามราคาและภาษีตามสภาพตามวิธีการเก็บภาษีอีกด้วย
ไต้หวัน
ตามข้อมูลจาก JETRO รัฐบาลไต้หวันแบ่งอัตราภาษีนําเข้าออกเป็น 3 ประเภท: คอลัมน์ 1 คอลัมน์ 2 และคอลัมน์ 3 โดยญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อตกลงต่างตอบแทนกับไต้หวัน จึงใช้อัตราภาษีตามคอลัมน์ 1
คอลัมน์ 1: อัตราภาษีพิเศษใช้สำหรับประเทศสมาชิกของ WTO ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค รวมถึงประเทศที่มีข้อตกลงต่างตอบแทนกับไต้หวัน
คอลัมน์ 2: อัตราภาษีเหล่านี้ใช้สำหรับประเทศและภูมิภาคกำลังพัฒนาโดยเฉพาะ รวมถึงประเทศและภูมิภาคที่ไต้หวันร่วมทำข้อตกลงการค้าเสรี
คอลัมน์ 3: อัตราภาษีเหล่านี้ใช้กับสินค้านําเข้าที่ไม่อยู่ในคอลัมน์ 1 หรือคอลัมน์ 2
วิธีการเก็บภาษีของไต้หวันมีความคล้ายคลึงกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ โดยรวมภาษีตามราคาและภาษีตามสภาพไว้ด้วย
ภาษีการบริโภคของญี่ปุ่นได้รับการยกเว้นสําหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
ญี่ปุ่นเรียกเก็บภาษีการบริโภคสําหรับสินค้าที่ผู้ซื้อบริโภคในประเทศ เนื่องจากสินค้าที่ลูกค้าซื้อผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนถือเป็นสินค้าที่ส่งออกเพื่อบริโภคในต่างประเทศ จึงไม่ได้อยู่ภายใต้การเก็บภาษีการบริโภค ซึ่งเรียกว่าการยกเว้นภาษีส่งออก
หากธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในญี่ปุ่นต้องการได้รับการยกเว้นภาษีการบริโภค พวกเขาสามารถยื่นขอการยกเว้นภาษีส่งออกหรือชำระภาษีการบริโภคแล้วขอรับการคืนเงินในภายหลังได้
การยกเว้นภาษีส่งออก
เมื่อธุรกิจที่อยู่ภายใต้ระบบภาษีในญี่ปุ่นดำเนินการส่งออก พวกเขาจะได้รับการยกเว้นภาษีการบริโภค ธุรกรรมการส่งออกที่ได้รับการยกเว้นภาษีการบริโภคของญี่ปุ่นมีดังนี้:
สินค้าส่งออก: สินค้าที่ส่งออกจากญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศ รวมถึงสินค้าที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งไม่ได้พำนักอยู่ในญี่ปุ่นซื้อจากร้านค้าปลอดภาษีในญี่ปุ่น
การสื่อสารระหว่างประเทศ: ซึ่งรวมถึงการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมด ไปรษณีย์ระหว่างประเทศ และการติดต่อสื่อสารที่โต้ตอบกันระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศอื่นๆ
การโอนหรือการกู้ยืมสิทธิ์ในสินทรัพย์ไม่มีตัวตน: ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตร สิทธิ์ในทรัพย์สินอุตสาหกรรม ลิขสิทธิ์ และสิทธิ์ทางธุรกิจที่โอนหรือให้กู้ยืมสิทธิ์แก่ผู้ที่ไม่ได้พำนักอยู่ในประเทศ เช่น บุคคลสัญชาติต่างชาติและบริษัทต่างชาติ
การให้บริการแก่ผู้ที่ไม่ได้พำนักอยู่ในประเทศ: การให้บริการที่ได้รับโดยตรงในญี่ปุ่น เช่น บริการอาหารและที่พัก จะต้องเสียภาษี
ตาม[สํานักงานภาษีแห่งชาติ]ของญี่ปุ่น](https://www.nta.go.jp/taxes/shiraberu/taxanswer/shohi/6551.htm)เพื่อให้ธุรกิจที่อยู่ภายใต้ระบบภาษีมีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นภาษีส่งออก ธุรกิจจำเป็นต้องแสดงหลักฐานยืนยันว่าธุรกรรมดังกล่าวเป็นธุรกรรมการส่งออก นอกจากนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกรรมการส่งออก ธุรกิจจะต้องเก็บเอกสารต่างๆ เช่น ใบอนุญาตส่งออกและบัญชีรายงานการส่งออกไว้เป็นระยะเวลา 7 ปี
การขอคืนภาษีการบริโภค
ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนไม่จำเป็นต้องชำระภาษีการบริโภคให้กับรัฐบาลกลางสำหรับธุรกรรมของตน หากคุณดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและได้ชำระภาษีการบริโภคไปแล้ว เช่น ในกรณีที่ซื้อสินค้า คุณสามารถขอคืนภาษีการบริโภคดังกล่าวได้ที่สำนักงานสรรพากร
หากต้องการขอคืนภาษีการบริโภค คุณจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้และเตรียมเอกสารที่จำเป็นให้ครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจกฎระเบียบเกี่ยวกับภาษีการบริโภคในอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ
หมายเหตุสําคัญเกี่ยวกับภาษีอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและภาษีอื่นๆ
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจในญี่ปุ่น อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนมีศักยภาพในการขยายธุรกิจของคุณจากตลาดภายในประเทศไปสู่ตลาดต่างประเทศ อีกทั้งในปัจจุบัน ญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มการท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นที่ซื้อสินค้าของคุณ บางครั้งนักท่องเที่ยวอาจซื้อผลิตภัณฑ์ในญี่ปุ่น แล้วเมื่อกลับประเทศก็กลับมาซื้อซ้ำทางออนไลน์ ธุรกิจในญี่ปุ่นจึงมีโอกาสที่จะเผยแพร่สินค้าของบริษัทของตนไปยังตลาดโลก พร้อมใช้จุดแข็งของแบรนด์ญี่ปุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม หากต้องการขยายธุรกิจของคุณผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนได้อย่างประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือต้องทำสิ่งต่อไปนี้
ระบุจํานวนภาษีศุลกากรที่ลูกค้าจะจ่ายบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของคุณอย่างชัดเจน
ลูกค้าไม่ควรถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรโดยไม่รับทราบล่วงหน้าขณะทำการสั่งซื้อ ด้วยเหตุนี้ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของคุณจึงควรแสดงอัตราภาษีศุลกากรของแต่ละสินค้าอย่างชัดเจน และคุณต้องทำเช่นนี้ก่อนที่ลูกค้าจะซื้อสินค้าใดๆ การแสดงราคาค้าปลีกที่รวมภาษีศุลกากรไว้ด้วยนั้นถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าล่วงหน้าสามารถสร้างความประทับใจที่ดีต่อแบรนด์ของคุณ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการส่งคืนสินค้า การปฏิเสธการจัดส่ง การร้องเรียน และปัญหาอื่นๆ ตามมา
ตรวจสอบอัตราภาษีศุลกากรของแต่ละประเทศ
เพื่อกำหนดราคาค้าปลีกที่คำนึงถึงภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสม คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับหมวดสินค้าที่คุณจำหน่าย โดยในการดำเนินการดังกล่าว คุณต้องไม่เพียงแต่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับรหัส HS ซึ่งใช้กันทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังต้องตรวจสอบอัตราภาษีของประเทศที่คุณวางแผนจะทำการค้าก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
ระวังภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย
นอกจากภาษีศุลกากรแล้ว คุณต้องระวังภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งหมดต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มโดยไม่คํานึงถึงราคาของสินค้า ประเทศส่วนใหญ่จะเพิ่มอัตราภาษีขั้นต่ำ 15% สําหรับสินค้าที่ขายให้กับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปไม่ใช่ประเทศเดียวที่ใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ประเทศในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ก็ใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกัน แม้ว่าบริษัทอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจะไม่ได้ตั้งอยู่ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหรือประเทศในเอเชียที่ใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่โดยหลักทั่วไป หากบริษัทมีแผนจะขายสินค้าให้กับลูกค้าในประเทศเหล่านั้น บริษัทจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
แม้ว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขั้นต่ำจะอยู่ที่ 15% แต่ก็ไม่มีการกำหนดอัตราสูงสุดไว้ และอัตราดังกล่าวจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ อีกทั้งยังมีบางประเทศที่เรียกเก็บทั้งภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าประเทศเป้าหมายที่คุณวางแผนจะดำเนินธุรกิจด้วยมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ และหากมี อัตราภาษีนั้นอยู่ที่เท่าใด
Stripe นำเสนอฟีเจอร์หลากหลายที่สามารถช่วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น Stripe Tax ซึ่งสามารถจัดการการคำนวณภาษีในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและครอบคลุมทุกรัฐในสหรัฐอเมริกา จึงช่วยลดความซับซ้อนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีระดับสากล นอกจากนี้ Stripe Tax ยังช่วยให้คุณสามารถคำนวณและเก็บภาษีในธุรกรรมออนไลน์ได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังสามารถจัดทำรายงานแบบครบถ้วน ซึ่งจำเป็นต่อการยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีกด้วย
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ