ความปลอดภัยของ Open Banking: สิ่งที่คุณต้องรู้

Treasury
Treasury

Stripe Treasury คือ API การให้บริการธนาคารที่คุณสามารถรวมบริการทางการเงินไว้ในมาร์เก็ตเพลสหรือแพลตฟอร์ม

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. Open Banking ใช้ทําอะไร
  3. Open Banking มีการทํางานอย่างไร
  4. ความท้าทายด้านความปลอดภัยของ Open Banking มีอะไรบ้าง
    1. ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความยินยอม
    2. การเข้าถึง API
    3. ความเสี่ยงจากบุคคลภายนอก
    4. การเข้ารหัสและความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูล
    5. การตรวจจับการฉ้อโกง
    6. การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
    7. การจัดการข้อมูลประจําตัวและการเข้าถึง
    8. ความยืดหยุ่นและการตอบสนองต่อเหตุการณ์
  5. API ทํางานร่วมกับ Open Banking อย่างไร
  6. ความปลอดภัยของ API ใน Open Banking
    1. การตรวจสอบสิทธิ์และการอนุมัติ
    2. การเข้ารหัส
    3. เกตเวย์ API
    4. แนวทางการพัฒนา API ที่ปลอดภัย
    5. การจํากัดอัตราและควบคุมปริมาณการเรียกใช้
    6. การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยเป็นประจําและการทดสอบการเจาะระบบ
    7. ระบบตรวจจับและตอบสนองความผิดปกติ
  7. การใช้กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยแบบอิงตามความเสี่ยง
  8. การใช้นโยบาย Zero Trust
  9. การระบุหาและป้องกันช่องโหว่

Open Banking คือแนวทางปฏิบัติที่อนุญาตให้ผู้ให้บริการทางการเงินบุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลลูกค้าจากธนาคารและสถาบันทางการเงินอื่นๆ ลูกค้ามีสิทธิ์ควบคุมว่าใครสามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้บ้าง และต้องตกลงว่าจะแชร์ข้อมูลของตนกับบุคคลที่สาม ข้อมูลที่แชร์ซึ่งเข้าถึงได้ผ่านอินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) ทําให้เกิดนวัตกรรมและการแข่งขันในอุตสาหกรรมการเงินมากขึ้น และทําให้เกิดการเติบโตของฟินเทคและข้อเสนอใหม่ๆ ในตลาดบริการทางการเงิน คาดการณ์ว่ามูลค่าธุรกรรมรวมของการชําระเงินผ่าน Open Banking ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็นกว่า 3.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027

เมื่อดําเนินการอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย Open Banking จะต่อยอดจากรากฐานด้านความปลอดภัยที่ปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนซึ่งแบ่งปันกันระหว่างบุคคลต่างๆ ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายวิธีการทํางานของ Open Banking และมาตรการต่างๆ ที่ทําให้ข้อมูลลูกค้าปลอดภัย รวมถึงความปลอดภัยของ API รวมทั้งกลยุทธ์การระบุตัวตนและการป้องกัน

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • Open Banking ใช้ทําอะไร
  • Open Banking มีการทํางานอย่างไร
  • ความท้าทายด้านความปลอดภัยของ Open Banking มีอะไรบ้าง
  • API ทํางานอย่างไรกับ Open Banking
  • ความปลอดภัยของ API ใน Open Banking
  • การใช้กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยแบบอิงตามความเสี่ยง
  • การนํานโยบาย Zero Trust มาใช้
  • การระบุและป้องกันช่องโหว่

Open Banking ใช้ทําอะไร

Open Banking ช่วยอํานวยความสะดวกในการแชร์ข้อมูลซึ่งช่วยยกระดับบริการทางการเงินให้กับลูกค้าและธุรกิจ ต่อไปนี้คือเครื่องมือและฟีเจอร์ทางการเงินบางส่วนที่ Open Banking ช่วยให้เป็นไปได้

  • แอปจัดทํางบประมาณและการออม: Open Banking ช่วยให้สามารถสร้างแอปของบุคคลที่สามที่รวบรวมข้อมูลจากบัญชีธนาคารของผู้ใช้ และให้คําแนะนําเกี่ยวกับการจัดทํางบประมาณและการออมโดยอ้างอิงจากมุมมองที่ครอบคลุมนี้

  • การตัดสินใจเกี่ยวกับการพิจารณาเครดิตและให้สินเชื่อ: ผู้ให้กู้สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้รวดเร็วและวิเคราะห์ข้อมูลได้มากขึ้นผ่าน Open Banking ซึ่งอาจนําไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับการพิจารณาเครดิตที่ดีขึ้นและอนุมัติสินเชื่อได้เร็วขึ้น

  • บริการด้านการธนาคารที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล: สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลที่เข้าถึงผ่าน Open Banking เพื่อนําเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะบุคคลที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย เช่น อัตราดอกเบี้ยที่เสนอให้ลูกค้าเฉพาะราย

  • การชําระเงินเข้าบัญชีโดยตรง: สามารถนำ Open Banking API มาใช้เพื่อเริ่มการชําระเงินจากบัญชีธนาคารได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านระบบการชําระเงินแบบเดิมๆ เช่น บัตรเครดิต และสามารถลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมได้

  • การตรวจจับการฉ้อโกงที่ดีขึ้น: การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการมีขีดความสามารถด้านการตรวจจับการฉ้อโกงที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต

  • การจัดการกระแสเงินสด: ธุรกิจต่างๆ สามารถใช้โซลูชัน Open Banking เพื่อผสานข้อมูลจากหลายๆ บัฯญชี ไว้ในแพลตฟอร์มเดียวเพื่อให้เข้าใจกระแสเงินสดของตนได้ดียิ่งขึ้น

  • ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาด: ธุรกิจต่างๆ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลธนาคารที่ Open Banking จัดให้เข้าถึงได้ เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า แนวโน้มตลาด และสภาพเศรษฐกิจ

Open Banking มีการทํางานอย่างไร

Open Banking ใช้ API เพื่อแชร์ข้อมูลทางการเงินระหว่างธนาคารกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามที่ได้รับอนุญาต การแชร์ข้อมูลขึ้นอยู่กับความยินยอมของลูกค้าซึ่งควบคุมภายใต้กรอบการทํางานที่หลากหลาย ต่อไปนี้คือวิธีการทํางานของ Open Banking

  • การพัฒนา API: ธนาคารพัฒนาหรือนํา API มาตรฐานมาใช้ ซึ่งช่วยให้ผู้ให้บริการบุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลทางการเงินได้ API เหล่านี้ทําหน้าที่เป็นเกตเวย์ที่ปลอดภัยสําหรับการร้องขอและส่งข้อมูลตอบกลับ

  • ความยินยอมของลูกค้า: ลูกค้าให้ความยินยอมอย่างชัดเจนกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามให้เข้าถึงข้อมูลทางการเงินของตน โดยทั่วไปแล้วความยินยอมจะได้รับการจัดการผ่านอินเทอร์เฟซที่ปลอดภัย ซึ่งกฎหมายกําหนดให้ต้องได้รับทราบและแสดงอย่างชัดแจ้ง

  • การเข้าถึงข้อมูล: เมื่อได้รับความยินยอมแล้ว ผู้ให้บริการบุคคลที่สามจะใช้ API เพื่อขอเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของลูกค้าจากธนาคาร API จัดการคําขอเหล่านี้ด้วยวิธีการที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน

  • การตรวจสอบสิทธิ์และการอนุมัติ: ธนาคารจะยืนยันตัวตนของลูกค้า และตรวจสอบว่าผู้ให้บริการบุคคลที่สามมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ โดยกระบวนการมักจะประกอบด้วยขั้นตอนการตรวจสอบสิทธิ์ เช่น การเข้าสู่ระบบผ่านพอร์ทัลของธนาคารหรือการตรวจสอบความปลอดภัยอื่นๆ

  • การแชร์ข้อมูล: หลังจากตรวจสอบสิทธิ์และอนุมัติสําเร็จแล้ว ธนาคารจะแชร์ข้อมูลที่ขอกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามผ่าน API ข้อมูลอาจประกอบด้วยยอดคงเหลือในบัญชี ประวัติธุรกรรม ฟังก์ชันการเริ่มต้นการชําระเงิน และอื่นๆ

  • การใช้งานข้อมูล: ผู้ให้บริการบุคคลที่สามใช้ข้อมูลนี้เพื่อนําเสนอบริการแก่ลูกค้า ซึ่งอาจรวมถึงการจัดการทางการเงิน คําแนะนําทางการเงินส่วนบุคคล กระบวนการให้กู้ยืมที่ง่ายขึ้น หรือบริการชําระเงิน

  • คํายินยอมและการรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง: ลูกค้าสามารถจัดการหรือเพิกถอนความยินยอมของตัวเองได้ทุกเมื่อ ธนาคารและผู้ให้บริการบุคคลที่สามจะต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อปกป้องข้อมูลและเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว

  • กรอบข้อบังคับ: Open Banking อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของหน่วยงานรัฐบาลและกฎหมายระดับประเทศ ซึ่งกําหนดมาตรฐานการรักษาความปลอดภัย ขั้นตอนการขอความยินยอมจากลูกค้า และประเภทข้อมูลที่สามารถแชร์ใน Open Banking ได้ หน่วยงานกํากับดูแลตรวจสอบธนาคารและผู้ให้บริการบุคคลที่สามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามกฎระเบียบเกี่ยวกับ Open Banking

ความท้าทายด้านความปลอดภัยของ Open Banking มีอะไรบ้าง

Open Banking ทำให้ข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนมีความเสี่ยงมากขึ้น จึงต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลนั้นจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต ความท้าทายด้านความปลอดภัยที่มากับ Open Banking จะต้องได้รับการแก้ไขด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูง กระบวนการรักษาความปลอดภัยที่ออกแบบมาอย่างดี และการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ความท้าทายด้านความปลอดภัยหลักๆ ใน Open Banking มีดังนี้

ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความยินยอม

ข้อมูลทางการเงินส่วนบุคคลจะเข้าถึงได้เมื่อลูกค้าได้ให้ความยินยอมไว้อย่างชัดแจ้งเท่านั้น โดยลูกค้าจะต้องสามารถเพิกถอนการเข้าถึงนั้นได้ทุกเมื่อ

วิธีแก้ปัญหา

  • นําระบบที่ทันสมัยมาใช้เพื่อจัดการความยินยอม
  • ให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการควบคุมข้อมูลของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
  • ปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวด เช่น กฎระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR)

การเข้าถึง API

API เปิดประตูสู่ข้อมูลและต้องได้รับการปกป้องอย่างดีจากการเข้าถึงและการโจมตีที่ไม่ได้รับอนุญาต

วิธีแก้ปัญหา

  • ใช้วิธีการอนุมัติที่ทันสมัย เช่น OAuth 2.0
  • ตรวจสอบว่า API ได้รับการปกป้องด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น Transport Layer Security (TLS) สองทางในการตรวจสอบสิทธิ์
  • ตรวจสอบการใช้งานเพื่อป้องกันและตรวจจับกิจกรรมที่ผิดปกติ

ความเสี่ยงจากบุคคลภายนอก

บริการของบุคคลที่สามมีระดับความปลอดภัยแตกต่างกันไป

วิธีแก้ปัญหา

  • ประเมินมาตรการรักษาความปลอดภัยของผู้ให้บริการภายนอกทั้งหมดอย่างละเอียด
  • ติดตามตรวจสอบผู้ให้บริการบุคคลที่สามอย่างต่อเนื่อง
  • ยืนยันที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง

การเข้ารหัสและความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูล

ข้อมูลต้องได้รับการเข้ารหัสเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแทรกแซงหรืออ่านหากถูกดักจับ

วิธีแก้ปัญหา

  • ใช้เทคนิคการเข้ารหัสที่รัดกุมสําหรับข้อมูลที่จัดเก็บไว้และที่อยู่ระหว่างส่ง
  • ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลเป็นประจําโดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น ลายเซ็นดิจิทัล

การตรวจจับการฉ้อโกง

การเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้นอาจนําไปสู่การฉ้อโกงประเภทใหม่ๆ

วิธีแก้ปัญหา

  • ใช้แมชชีนเลิร์นนิงขั้นสูงเพื่อตรวจจับการฉ้อโกงที่เกิดขึ้น
  • จัดให้มีระบบเฝ้าระวังและตอบสนองต่อการกระทําที่น่าสงสัยอย่างรวดเร็ว

การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ

กฎระเบียบอาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งส่งผลต่อวิธีการจัดการข้อมูล

วิธีแก้ปัญหา

  • สร้างกลยุทธ์การปฏิบัติตามข้อกําหนดที่สามารถปรับให้เข้ากับกฎหมายใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
  • ตรวจสอบว่าทีมของคุณรับทราบข่าวสารเกี่ยวกับข้อกําหนดล่าสุดอยู่เสมอ

การจัดการข้อมูลประจําตัวและการเข้าถึง

ผู้ใช้แต่ละรายต้องได้รับการยืนยันและจัดการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลอย่างระมัดระวัง

วิธีแก้ปัญหา

  • นําระบบการยืนยันตัวตนแบบรัดกุมและระบบการตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA) มาใช้
  • ตั้งค่าการควบคุมการเข้าถึงที่แม่นยํา

ความยืดหยุ่นและการตอบสนองต่อเหตุการณ์

บริการจะต้องทํางานได้อย่างราบรื่นแม้เมื่อเกิดปัญหา การละเมิดความปลอดภัยจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด

วิธีแก้ปัญหา

  • เตรียมพร้อมและอัปเดตแผนรับมือภัยคุกคามเป็นประจํา
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีระบบสํารองอยู่
  • ดําเนินการฝึกซ้อมการรักษาความปลอดภัยเป็นประจํา

API ทํางานร่วมกับ Open Banking อย่างไร

API เป็นเครื่องมือหลักของ Open Banking ซึ่งมอบวิธีการที่ปลอดภัยและเป็นมาตรฐานให้แอปและบริการผสานการทํางานกับธนาคารและเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน ต่อไปนี้คือวิธีการทํางานของ API

  • ทําหน้าที่เป็นผู้ส่งสารที่ปลอดภัย: API จะส่งคําขอข้อมูล (เช่น ยอดคงเหลือในบัญชี ประวัติธุรกรรม) จากแอปที่คุณกําลังใช้ (เช่น แอปจัดทํางบประมาณ) ไปยังธนาคารของคุณ และรับข้อมูลตอบกลับของธนาคารกลับมายังแอป วิธีนี้ช่วยให้คุณได้ใช้บริการทางการเงินที่หลากหลายผ่านแอปของบุคคลที่สามได้ โดยที่ข้อมูลด้านธนาคารของคุณยังปลอดภัยอยู่

  • จัดการสิทธิ์: เมื่อคุณใช้บริการหรือแอปทางการเงินใหม่เป็นครั้งแรก API จะถามว่าจะให้แอปดังกล่าวเข้าถึงข้อมูลของคุณหรือไม่ หากคุณตอบว่าใช่ API จะทําให้แน่ใจว่าแอปได้รับเฉพาะข้อมูลที่ต้องใช้เท่านั้น วิธีนี้ช่วยให้คุณควบคุมได้ว่าใครจะเห็นข้อมูลทางการเงินของคุณ และแน่ใจได้ว่าแอปไม่ได้เข้าถึงข้อมูลมากเกินจำเป็น

  • ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์: API ช่วยให้แอปดึงข้อมูลอัปเดตล่าสุดจากธนาคารของคุณได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมล่าสุดหรือการยืนยันกรรมสิทธิ์ในบัญชีก็ตาม วิธีนี้ช่วยอํานวยความสะดวกให้กับบริการเทคโนโลยีทางการเงินที่หลากหลาย รวมถึงแอปจัดทํางบประมาณและการอนุมัติเงินกู้อัตโนมัติ

  • สร้างมาตรฐานการสื่อสาร: Open Banking API ปฏิบัติตามมาตรฐานที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งหมายความว่าสามารถพูด "ภาษากลาง" ได้ แม้ว่าจะมีการใช้งานโดยธนาคารและแอปที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าแอปและบริการต่างๆ จะทํางานร่วมกับธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ได้อย่างราบรื่น

  • รักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว: API ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัส ระหว่างการโอนข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าเฉพาะคําขอที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่ได้รับการประมวลผล API เหล่านี้ทําหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูที่ป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตรักษาความเป็นส่วนตัวของคุณ และปกป้องข้อมูลทางการเงินของคุณจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

ความปลอดภัยของ API ใน Open Banking

การปรับปรุงความปลอดภัยของ API ใน Open Banking ต้องใช้ระบบหลายชั้นเพื่อให้แน่ใจว่าการโต้ตอบทั้งหมดระหว่างธนาคาร ผู้ให้บริการบุคคลที่สาม และลูกค้าความปลอดภัยและมีความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูล ต่อไปนี้คือแง่มุมด้านความปลอดภัยที่ต้องจัดการเกี่ยวกับ API

การตรวจสอบสิทธิ์และการอนุมัติ

โปรโตคอลการตรวจสอบสิทธิ์และการอนุมัติช่วยให้มั่นใจว่ามีเพียงผู้ใช้และบริการที่ถูกต้องเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง API ได้

  • OAuth 2.0: OAuth 2.0 เป็นวิธีการอนุมัติที่ใช้โทเค็นแทนข้อมูลประจําตัว โทเค็นแต่ละตัวจะให้สิทธิ์เข้าถึงชุดทรัพยากรที่กำหนดไว้ในระยะเวลาที่จํากัด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการขโมยโทเค็น

  • OAuth: OAuth มีวิธีการรับโทเค็นสําหรับสถานการณ์ต่างๆ เช่น ใช้รหัสการอนุมัติสําหรับแอปและข้อมูลประจําตัวไคลเอ็นต์สําหรับการโต้ตอบระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับเซิร์ฟเวอร์

การเข้ารหัส

การเข้ารหัสใช้เพื่อปกป้องข้อมูลขณะที่เคลื่อนย้ายระหว่างระบบ (ระหว่างส่ง) และเมื่อจัดเก็บ (อยู่ในที่จัดเก็บ) การใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสที่อัปเดตและรัดกุมจะช่วยป้องกันการดักจับข้อมูลโดยผู้โจมตี

  • TLS: TLS ปกป้องข้อมูลระหว่างการส่ง เข้ารหัสข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์

  • AES: มาตรฐานการเข้ารหัสขั้นสูง (AES) ใช้กับรายการฐานข้อมูลและที่เก็บข้อมูลอื่นๆ เพื่อปกป้องข้อมูลที่จัดเก็บไว้

เกตเวย์ API

เกตเวย์ API จะจัดการและรักษาความปลอดภัยให้กับการรับส่งข้อมูลไปยัง API เกตเวย์ API ทําหน้าที่เป็นพร็อกซีย้อนกลับเพื่อรับการเรียกใช้ API ทั้งหมด รวมบริการที่จําเป็นสําหรับการดําเนินการ และส่งกลับผลลัพธ์ที่เหมาะสม โดยจะจัดการการจํากัดอัตราการเรียกใช้ รายการ IP ที่อนุญาตพิเศษ และการควบคุมการเข้าถึง เกตเวย์สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบการรับส่งข้อมูลและแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบถึงภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้

แนวทางการพัฒนา API ที่ปลอดภัย

API ปลอดภัยด้วยการออกแบบ นักพัฒนาควรปฏิบัติตาม Open Web Application Security Project (OWASP) API Security Top Ten ซึ่งเป็นเอกสารเพื่อความตระหนักเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย API

  • การตรวจสอบข้อมูลที่ป้อน: การตรวจสอบอินพุตจะป้องกันการแทรกแซง SQL และการโจมตีแบบ Cross-site Scripting (XSS)

  • การบันทึกธุรกรรม API: การบันทึกธุรกรรม API อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมในกรณีที่มีการตรวจสอบ

  • การตรวจสอบโค้ดเป็นประจํา: การตรวจสอบโค้ดเป็นประจําช่วยระบุช่องโหว่ก่อนที่จะเกิดการละเมิดความปลอดภัย

การจํากัดอัตราและควบคุมปริมาณการเรียกใช้

การจํากัดอัตราและควบคุมปริมาณการเรียกใช้ช่วยป้องกันการใช้ API ในทางที่ผิด กระบวนการนี้คือการจำกัดจำนวนคำขอที่ผู้ใช้หรือบริการสามารถทําได้ในช่วงเวลาหนึ่ง หากจํานวนเกินขีดจํากัด คําขอที่่เกินจากนั้นจะดำเนินการช้าลงหรือถูกบล็อก การควบคุมปริมาณช่วยจัดการภาระงานและช่วยให้ยังคงให้บริการได้ต่อไปแม้ในสถานการณ์ที่มีการรับส่งข้อมูลสูงหรือการโจมตี

การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยเป็นประจําและการทดสอบการเจาะระบบ

การตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยเป็นประจําและการทดสอบการเจาะระบบเป็นประจำช่วยประเมินเสถียรภาพการรักษาความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐาน API อย่างต่อเนื่อง แนวทางปฏิบัติเหล่านี้ควรเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบการรักษาความปลอดภัยตามปกติ และเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและการปฏิบัติตามข้อกำหนด การตรวจสอบตามรอบและการทดสอบการเจาะระบบอาจทำให้พบช่องโหว่ก่อนที่จะถูกฉวยประโยชน์

ระบบตรวจจับและตอบสนองความผิดปกติ

ระบบเหล่านี้จะตรวจจับและตอบสนองต่อกิจกรรมที่ผิดปกติซึ่งอาจบ่งบอกถึงการละเมิดความปลอดภัย โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิงและการวิเคราะห์ขั้นสูงอื่นๆ เพื่อตรวจสอบรูปแบบการรับส่งข้อมูล API และรายงานกิจกรรมที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ ซึ่งมักจะผสานรวมเข้ากับกลไกรับมือภัยคุกคามเพื่อแยกและบรรเทาภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

การใช้กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยแบบอิงตามความเสี่ยง

การใช้กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยแบบอิงตามความเสี่ยง ประกอบด้วยการจัดลําดับความสําคัญของงานและทรัพยากรด้านการรักษาความปลอดภัยโดยพิจารณาจากความเป็นไปได้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยคุกคามต่างๆ กลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยแบบอิงตามความเสี่ยงช่วยให้องค์กรคล่องตัวและตอบสนองต่อภัยคุกคามใหม่ๆ ได้ และช่วยให้แน่ใจว่าทรัพยากรด้านความปลอดภัยถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมุ่งเน้นในส่วนที่จำเป็นมากที่สุด สิ่งนี้มีความสําคัญอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีงบประมาณด้านความปลอดภัยจํากัดหรือสภาพแวดล้อมที่ภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ต่อไปนี้คือหลักการทํางานของกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยแบบอิงตามความเสี่ยง

  • ประเมินความเสี่ยง: ระบุและประเมินความเสี่ยงตามผลกระทบและโอกาสที่อาจเกิดขึั้น ทำแผนผังสินทรัพย์ขององค์กร และพิจารณาภัยคุกคามที่สินทรัพย์แต่ละรายการต้องเผชิญ ประเมินช่องโหว่ และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยคุกคามเหล่านั้น ใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การสร้างแบบจําลองภัยคุกคามและการสแกนช่องโหว่

  • จัดลําดับความสําคัญความเสี่ยง: พิจารณาว่าความเสี่ยงใดที่ต้องให้ความสนใจทันที ความเสี่ยงใดที่สามารถเฝ้าระวังได้ และความเสี่ยงใดที่ยอมรับได้ จัดอันดับความเสี่ยงตามความรุนแรงและแนวโน้ม โดยให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่มีผลกระทบสูงและมีความเป็นไปได้สูงเพื่อการบรรเทาผลกระทบทันที

  • ใช้งานการควบคุม: ใช้มาตรการควบคุมที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดเพื่อจัดการและลดความเสี่ยงที่มีความสําคัญสูงสุด ใช้มาตรการควบคุมประเภทต่างๆ (เช่น เชิงป้องกัน เชิงสืบสวน เชิงแก้ไข) โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยง การควบคุมอาจรวมถึงโซลูชันทางเทคโนโลยี (เช่น ไฟร์วอลล์และการเข้ารหัส) นโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติงาน รวมทั้งโปรแกรมการฝึกอบรมและสร้างการตระหนักรู้

  • ติดตามตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัย: ติดตามตรวจสอบมาตรการการจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการดังกล่าวมีประสิทธิภาพ กระบวนการนี้อาจประกอบด้วยการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจํา การใช้ระบบตรวจจับการบุกรุก และการตรวจติดตามบันทึกการเข้าถึงและเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยอื่นๆ

  • เรียนรู้และปรับปรุง: ปรับมาตรการเพื่อรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงในองค์กร หรือบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ใช้คําติชมจากระยะการติดตามและตรวจสอบเพื่อปรับปรุงแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัย รวมทั้งอัปเดตการประเมินและการควบคุมความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุการณ์และพบช่องโหว่

การใช้นโยบาย Zero Trust

ในขณะที่โมเดลการรักษาความปลอดภัยแบบดั้งเดิมตั้งอยู่บนข้อสันนิษฐานว่าทุกสิ่งภายในเครือข่ายขององค์กรเชื่อถือได้ แต่นโยบาย Zero Trust มีหลักการว่าไม่มีอะไรเชื่อถือได้ Zero Trust กําหนดให้มีการยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวดกับทุกคนที่พยายามเข้าถึงทรัพยากรเครือข่าย ไม่ว่าจะอยู่ภายในหรือภายนอกขอบเขตเครือข่ายก็ตาม ต่อไปนี้คือวิธีการนำนโยบาย Zero Trust มาใช้

  • ยืนยันอย่างชัดเจน: คําขอเข้าถึงทุกรายการต้องได้รับการยืนยันก่อนที่จะให้สิทธิ์เข้าถึง ไม่ว่าคําขอนั้นจะมาจากที่ใดหรือเข้าถึงแหล่งข้อมูลใดก็ตาม ใช้ MFA ไบโอเมตริก และการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้ และใช้การตรวจสอบสิทธิ์ตามบริบทที่พิจารณาตัวแปรต่างๆ เช่น สถานะของอุปกรณ์ ตําแหน่งที่ตั้ง และเวลาในการเข้าถึง

  • ใช้หลักการให้สิทธิ์เข้าถึงน้อยที่สุด: ลดการเข้าถึงส่วนที่อ่อนไหวของเครือข่ายให้น้อยที่สุดด้วยการให้สิทธิ์การเข้าถึงขั้นต่ำแก่ผู้ใช้และอุปกรณ์เท่าที่จำเป็นต่อการทํางาน จัดการสิทธิ์โดยใช้นโยบายควบคุมการเข้าถึงและกำหนดบทบาทที่เข้มงวด ซึ่งมีการตรวจสอบและปรับปรุงเป็นประจํา

  • การแบ่งส่วน: แบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วนๆ เพื่อลดการเคลื่อนไหวแนวนอนภายในเครือข่ายโดยผู้โจมตี การดําเนินการนี้จะสร้างขอบเขตขนาดเล็กรอบๆ ข้อมูลและระบบที่ละเอียดอ่อน ทําให้ผู้โจมตีเคลื่อนที่ในเครือข่ายได้ยากขึ้นหากเข้าถึงระบบได้

  • การป้องกันแบบแบ่งระดับ: ใช้การป้องกันแบบหลายชั้นที่ผู้โจมตีต้องอยายามหาทางเข้าถึงทรัพยากร ผสมผสานการใช้ไฟร์วอลล์ ระบบตรวจจับการบุกรุก และระบบป้องกันการบุกรุก (IDS/IPS) และการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างส่งและขณะจัดเก็บ

  • ตรวจสอบและรักษาความปลอดภัย: ตรวจสอบการรับส่งข้อมูลเครือข่ายและกิจกรรมของผู้ใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ใช้ระบบการจัดการข้อมูลและเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย (SIEM) เพื่อวิเคราะห์และเชื่อมโยงบันทึกเพื่อหาพฤติกรรมที่ผิดปกติ แมชชีนเลิร์นนิงจะช่วยให้ทราบถึงรูปแบบที่ผิดปกติได้

  • การรักษาความปลอดภัยเป็นกระบวนการแบบบูรณาการ: การสร้างความปลอดภัยเป็นข้อพิจารณาที่สําคัญของทุกโครงการด้านไอทีและการดําเนินธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น จัดให้มีการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยเป็นประจําสําหรับพนักงานทุกคน และบูรณาการการรักษาความปลอดภัยเข้าไปในวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ (DevSecOps)

การระบุหาและป้องกันช่องโหว่

การระบุหาและป้องกันช่องโหว่คือการค้นหา จัดหมวดหมู่ และแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือจุดอ่อนในซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ผู้โจมตีอาจใช้ประโยชน์อย่างเป็นระบบ วิธีการทํางานโดยทั่วไปมีดังนี้

  • การระบุช่องโหว่: ทําการสแกนช่องโหว่เป็นประจําโดยใช้เครื่องมืออัตโนมัติที่เปรียบเทียบการกําหนดค่าระบบและซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งกับฐานข้อมูลช่องโหว่ที่รู้จัก การทดสอบการเจาะระบบ ซึ่งทำโดยแฮ็กเกอร์ที่มีจริยธรรมซึ่งจะพยายามฉวยโอกาสจากช่องโหว่ ก็เป็นอีกวิธีที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับจุดอ่อนของระบบด้วย

  • การประเมินช่องโหว่: หลังจากพบช่องโหว่แล้ว ให้ประเมินช่องโหว่ตามปัจจัยต่างๆ เช่น ความสะดวกในการแสวงหาผลประโยชน์ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตี และขอบเขตของความเสี่ยงต่อระบบ วิธีนี้ช่วยในการจัดลําดับความสําคัญของการแก้ไขตามลักษณะและความรุนแรงของความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

  • การจัดการแพตช์: ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เป็นผู้จัดหาแพตช์หรือการอัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ ใช้กระบวนการที่เป็นระบบเพื่อนำแพตช์ด้านความปลอดภัย อัปเดต และโปรแกรมแก้ไขด่วนมาใช้อย่างทันท่วงที เพื่อให้แน่ใจว่าช่องโหว่ได้รับการแก้ไขทันทีที่มีแพตช์แก้ไข

  • การจัดการการกําหนดค่า: ใช้เครื่องมือการจัดการการกําหนดค่าเพื่อให้แน่ใจว่าระบบได้รับการตั้งค่าอย่างปลอดภัยและได้รับการดูแลให้อยู่ในสถานะคงที่ ตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการกําหนดค่าเป็นประจําเพื่อลดพื้นที่การโจมตี และป้องกันช่องโหว่จากการกําหนดค่าผิดพลาดหรือการตั้งค่าเริ่มต้น

  • การป้องกันภัยคุกคามแบบ Zero-day: ใช้เทคโนโลยีการตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูง เช่น ระบบตรวจจับแบบอิงตามพฤติกรรม ซึ่งไม่ได้อาศัยรูปแบบของช่องโหว่ที่เป็นที่รู้จักเพียงอย่างเดียว เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถระบุและลดกิจกรรมที่ผิดปกติซึ่งอาจบ่งชี้ว่ามีการใช้ช่องโหว่อยู่ และป้องกันช่องโหว่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักหรือที่ไม่มีโปรแกรมแก้ไข

  • การศึกษาและความตระหนัก: ฝึกอบรมการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่องให้กับพนักงานทุกคน โดยมุ่งเน้นเรื่องการระบุความพยายามฟิชชิ่ง การจัดการรหัสผ่านอย่างปลอดภัย และการตระหนักถึงความสําคัญของการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจํา สิ่งนี้จะช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งอาจทําให้เกิดช่องโหว่หรือทําให้ช่องโหว่รุนแรงขึ้น

  • การตรวจสอบความปลอดภัยและการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดเป็นประจํา: ทําการตรวจสอบความปลอดภัยและตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดเป็นประจํา เพื่อประเมินการปฏิบัติตามนโยบายด้านการรักษาความปลอดภัยว่าทำได้ดีเพียงใด และเพื่อระบุช่องว่างในสถานะการรักษาความปลอดภัยขององค์กร การดําเนินการดังกล่าวช่วยให้มั่นใจว่าแนวทางปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานและระเบียบข้อบังคับที่กําหนดไว้

  • การวางแผนรับมือกับเหตุการณ์: พัฒนาและทดสอบแผนรับมือภัยคุกคามซึ่งระบุขั้นตอนที่ต้องดําเนินการเมื่อมีการละเมิดความปลอดภัยเป็นประจํา แผนควรมีขั้นตอนการจำกัดขอบเขต การกําจัด การคืนสภาพ และการวิเคราะห์หลังเกิดเหตุ

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Treasury

Treasury

Stripe Treasury คือ API การให้บริการธนาคารที่คุณสามารถรวมบริการทางการเงินไว้ในมาร์เก็ตเพลสหรือแพลตฟอร์ม

Stripe Docs เกี่ยวกับ Treasury

ดูข้อมูลเกี่ยวกับ Stripe Treasury API