เมื่อพูดถึงการซื้อ การเจรจาต่อรองเงินเดือน หรือใบเสร็จ คำว่า "ขั้นต้น" และ "สุทธิ" เป็นคำที่เราเจอได้ในชีวิตประจําวัน บริษัทต้องระมัดระวังในการใช้คำว่า ขั้นต้น และ สุทธิ และต้องระบุคำทั้งสองให้ชัดเจนอย่างช้าที่สุดในขั้นตอนการออกใบแจ้งหนี้ ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายความหมายของคำว่า ขั้นต้น และ สุทธิ อย่างชัดเจน ความแตกต่างระหว่างราคาขั้นต้นและราคาสุทธิ และสิ่งที่บริษัทต้องพิจารณาเมื่อออกใบแจ้งหนี้
เนื้อหาหลักในบทความ
- ขั้นต้นคืออะไร สุทธิคืออะไร
- ราคาขั้นต้นและราคาสุทธิต่างกันอย่างไร
- บริษัทจะต้องพิจารณาเรื่องอะไรบ้างเมื่อออกใบแจ้งหนี้
- เงินเดือนขั้นต้นและเงินเดือนสุทธิต่างกันอย่างไร
ขั้นต้นคืออะไร สุทธิคืออะไร
คำว่าขั้นต้นหมายถึงจํานวนเงินก่อนที่จะหักภาษีใดๆ ก็ตาม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือยอดที่ยังไม่ได้รับการปรับให้สะท้อนให้เห็นถึงการหักเงินใดๆ ในทางตรงกันข้าม คำว่าสุทธินั้นจะอธิบายยอดที่ปรับแล้วหลังจากหักภาษีและค่าเสื่อมราคาหรือค่าตัดจําหน่ายใดๆ ก็ตาม เนื่องด้วยยอดสุทธิไม่รวมภาษีใดๆ เลย ยอดสุทธิจึงต้องไม่เกินยอดขั้นต้น
ราคาขั้นต้นและราคาสุทธิต่างกันอย่างไร
เมื่อมีคนซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ ใบแจ้งหนี้จะแสดงราคาสุทธิและราคาขั้นต้น ราคาขั้นต้นคือราคาที่ลูกค้าต้องชำระในท้ายที่สุด นอกเหนือจากยอดสุทธิที่ต่ำกว่าแล้ว ราคาขั้นต้นยังรวมภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย บุคคลธรรมดาควรใส่ใจราคาขั้นต้นเป็นพิเศษเมื่อซื้อสินค้า เนื่องจากราคาขั้นต้นนี้เป็นราคาที่ผู้ซื้อจะต้องจ่ายเมื่อชำระเงิน
แต่สําหรับบริษัท สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือราคาสุทธิ โดยบริษัทที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะกำหนดค่าบริการโดยอิงจากราคาสุทธิ นอกจากนี้ ราคาเหล่านี้เป็นราคาเดียวที่มีความสำคัญจริงๆ เมื่อบริษัทซื้อสินค้าด้วยตนเองเพราะบริษัทจะจ่ายเพียงราคาสุทธิเท่านั้นในท้ายที่สุด บริษัทแตกต่างจากบุคคลธรรมดาตรงที่บริษัทไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทสามารถหักภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายสำหรับการซื้อและบริการออกจากภาระภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยการหักภาษีมูลค่าเพิ่มขาเข้า ด้วยเหตุนี้ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายและภาระภาษีมูลค่าเพิ่มจะได้รับการชำระปรับสมดุลในที่สุด
การแปลงราคาขั้นต้นและราคาสุทธิ
หากต้องการแปลงราคาขั้นต้นที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม 19% ให้เป็นราคาสุทธิ ให้หารราคาขั้นต้นด้วย 1.19
ตัวอย่าง: ราคาขั้นต้น 119 ยูโร ÷ 1.19 = ราคาสุทธิ 100 ยูโร
หากต้องการแปลงราคาขั้นต้นที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้เป็นราคาสุทธิ ให้หารราคาขั้นต้นด้วย 1.07
ตัวอย่าง: ราคาขั้นต้น 107 ยูโร ÷ 1.07 = ราคาสุทธิ 100 ยูโร
ขั้นตอนเดียวกันนี้จะใช้ได้ในทางกลับกัน หากคุณต้องการแปลงยอดสุทธิเป็นยอดขั้นต้น
หากต้องการแปลงราคาสุทธิเป็นราคาขั้นต้นที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม 19% ให้คูณราคาสุทธิด้วย 1.19
ตัวอย่าง: ราคาสุทธิ 100 ยูโร x 1.19 = ราคาขั้นต้น 119 ยูโร
หากต้องการแปลงราคาสุทธิเป็นราคาขั้นต้นที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้คูณราคาสุทธิด้วย 1.07
ตัวอย่าง: ราคาสุทธิ 100 ยูโร x 1.07 = ราคาขั้นต้น 107 ยูโร
บริษัทจะต้องพิจารณาเรื่องอะไรบ้างเมื่อออกใบแจ้งหนี้
บริษัทมีภาระผูกพันต้องออกใบแจ้งหนี้ให้กับบริษัทอื่นๆ และนิติบุคคลที่ไม่ใช่ธุรกิจช้าสุดภายในระยะเวลาหกเดือนหลังจากให้บริการที่เกี่ยวข้อง ภาระผูกพันนี้จะไม่บังคับใช้กับบุคคลธรรมดา เว้นแต่บริการจะเกี่ยวข้องกับที่ดิน (ดูส่วนที่ 14 ของกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของเยอรมนี หรือ Umsatzsteuergesetz—เรียกย่อว่า UStG)
ข้อมูลในใบแจ้งหนี้ต้องครบถ้วนและถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การทำให้ครบถ้วนและถูกต้องอาจทำได้ยากเมื่อมีเรื่องของราคาขั้นต้นและราคาสุทธิมาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีการใช้อัตราภาษีผิดหรือมีข้อผิดพลาดอื่นๆ เกิดขึ้นเมื่อคำนวณยอดภาษี
ยอดสุทธิที่จะต้องออกใบแจ้งหนี้สำหรับสินค้าหรือบริการเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการคำนวณใดๆ ก็ตาม โดยจะมีการนำภาษีในอัตราปกติ 19% อัตราลด 7% หรืออัตรา 0% นำมาปรับใช้ ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับยอดสุทธิ ตามส่วนที่ 12 ของ UStG อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จะนำไปปรับใช้กับสิ่งต่าง ๆ เช่น อาหาร หนังสือและนิตยสาร การขนส่งสาธารณะในท้องถิ่น ตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ต โรงละคร หรือพิพิธภัณฑ์ และสัตว์มีชีวิต สินค้าและบริการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีอัตราภาษี 0% แสดงให้เห็น จะครอบคลุมรายการต่างๆ เช่น กรมธรรม์ประกันภัย หรือบริการตัวกลางในการกู้ยืมเงิน นอกเหนือจากข้อยกเว้นเหล่านี้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 19% จะปรับใช้กับสินค้าและบริการส่วนใหญ่
คุณสามารถคำนวณยอดภาษีใดๆ ก็ตามได้ง่ายๆ ด้วยการดำเนินการเพียงสองขั้นตอน ขั้นแรก ให้นำยอดสุทธิหารด้วย 100 เพื่อให้ได้ 1% ของยอดนี้ จากนั้นนำตัวเลขนั้นคูณด้วย 7 หรือ 19 ตามอัตราภาษี
ตัวอย่าง: (ราคาสุทธิ 100 ยูโร ÷ 100) x อัตราภาษี 7 = ยอดภาษี 7 ยูโร
ตัวอย่าง: (ราคาสุทธิ 100 ยูโร ÷ 100) x อัตราภาษี 19 = ยอดภาษี 19 ยูโร
จากนั้นยอดภาษีจะถูกบวกเข้ากับราคาสุทธิเพื่อให้ได้ราคาขั้นต้น
ใบแจ้งหนี้ทุกใบที่บริษัทออกต้องระบุยอดขั้นต้นและยอดสุทธิให้เห็น ข้อกำหนดนี้บังคับใช้กับใบแจ้งหนี้มูลค่าน้อยที่มีมูลค่ารวมสูงสุด 250 ยูโรและตลอดจนถึงใบแจ้งหนี้มูลค่าสูง นอกจากนี้ ใบแจ้งหนี้มาตรฐานยังต้องมีข้อมูลที่จำเป็นต่อไปนี้ตามที่ระบุไว้ในส่วนที่ 14 วรรค 4 ของ UStG
- ชื่อและที่อยู่ของบริษัทผู้ออกใบแจ้งหนี้
- หมายเลขภาษีของบริษัทผู้ออกใบแจ้งหนี้
- หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทผู้ออกใบแจ้งหนี้
- ชื่อและที่อยู่ของผู้รับใบแจ้งหนี้
- วันที่ออกใบแจ้งหนี้
- เวลาและวันที่ที่ให้บริการ
- หมายเลขกำกับใบแจ้งหนี้
- การระบุชื่อสินค้าหรือบริการ
- ปริมาณหรือประเภทสินค้า และขอบเขตการบริการ
- ยอดสุทธิ
- อัตราภาษีและยอดเงิน:
- ยอดขั้นต้น
- อาจมีหมายเหตุเพิ่มเติมเกี่ยวกับการได้รับการยกเว้นสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
หมายเหตุ: ธุรกิจขนาดเล็กได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มใดๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจขนาดเล็กจึงออกใบแจ้งหนี้ที่มีเฉพาะยอดสุทธิเท่านั้น และจะไม่ออกใบแจ้งหนี้ที่มียอดขั้นต้นที่จะมีการรวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ ธุรกิจขนาดเล็กได้แก่ ผู้ทำงานอิสระ ผู้ประกอบการ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้สูงสุด 22,000 ยูโรในปีงบประมาณก่อนหน้าและมีรายรับไม่เกิน 50,000 ยูโรในปีงบประมาณปัจจุบัน
บริษัทอาจใช้บริการของผู้ให้บริการชำระเงินที่ได้รับการรับรองเพื่อวัตถุประสงค์ในการออกใบแจ้งหนี้ โดยผู้ให้บริการเหล่านี้จะมีขั้นตอนอัตโนมัติที่อิงตามโปรแกรมการออกใบแจ้งหนี้อัจฉริยะ และช่วยลดอัตราข้อผิดพลาดในขั้นตอนต่างๆ อย่างการคำนวณยอดภาษีได้อย่างมาก
เงินเดือนขั้นต้นและเงินเดือนสุทธิต่างกันอย่างไร
ในไม่ช้า พนักงานจะสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างเงินเดือนขั้นต้นและเงินเดือนสุทธิหากพนักงานเปรียบเทียบเงินเดือนที่ระบุในสัญญาจ้างกับเงินที่เข้าบัญชีธนาคารจริง สัญญาจ้างงานมักจะแสดงเงินเดือนขั้นต้นในขณะที่เงินเดือนสุทธิจะจ่ายเข้าบัญชี นายจ้างต้องหักเงินเดือนขั้นต้นบางส่วนในรูปแบบของภาษีและเงินสมทบประกันสังคม แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรหรือผู้ให้บริการประกันสังคม เงินเดือนสุทธิที่เหลือจะจ่ายให้กับลูกจ้าง
คุณสามารถคำนวณจำนวนการหักภาษีของคุณได้ทางออนไลน์ กระทรวงการคลังแห่งสหพันธ์เยอรมนีมีเครื่องมือคำนวณออนไลน์สำหรับคำนวณภาษีเงินได้จากการทำงานและเงินสมทบประกันสังคม เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณสามารถคำนวณเงินเดือนสุทธิจากเงินเดือนขั้นต้นได้ คุณเพียงแค่ต้องระบุประเภทการจ้างงาน เงินเดือนขั้นต้นประจำปี และเงินสมทบบำนาญ เครื่องมือคำนวณจะทำการแยกความแตกต่างระหว่างคู่สมรสหรือคู่ชีวิตที่จดทะเบียนในความสัมพันธ์ภาษีร่วมและบุคคลโสด นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือคำนวณภาษีเงินได้สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระและผู้ทำงานอิสระให้ใช้งานอีกด้วย
เงินเดือนขั้นต้นประกอบด้วยเงินเดือนสุทธิ ภาษี และส่วนแบ่งเงินสมทบประกันสังคมของพนักงาน รายละเอียดมีดังนี้
ภาษีการจ้างงาน:ภาษีในระดับสากลที่เรียกว่าภาษีเงินได้จะถูกนำมาปรับใช้กับรายได้ของบุคคลธรรมดาทุกคนในเยอรมนี ฐานทางกฎหมายสำหรับเรื่องนี้คือกฎหมายว่าด้วยเรื่องภาษีเงินได้ (Einkommensteuergesetz เรียกย่อว่า EStG) ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องชำระภาษีเงินได้โดยตรง ในขณะที่พนักงานต้องชำระภาษีที่เทียบเท่ากันซึ่งเรียกว่า ภาษีการจ้างงาน ภาษีการจ้างงานเป็นภาษีเงินได้รูปแบบหนึ่งที่บริษัทต่างจะส่งต่อให้กับสำนักงานสรรพากรที่เกี่ยวข้อง ภาษีนี้ถือได้ว่าเป็นการชำระภาษีรายเดือนล่วงหน้าสำหรับภาระภาษีเงินได้ประจำปี ระดับภาษีการจ้างงานจะแตกต่างกันไปในแต่ละกรณีเพราะจะมีการปรับอัตราภาษีให้สอดคล้องกับเงินเดือนและสถานการณ์ส่วนบุคคล
ประกันสุขภาพ: ส่วนที่ 193 ของกฎหมายว่าด้วยเรื่องของสัญญาประกันภัยของเยอรมนี (Versicherungsvertragsgesetz เรียกย่อว่า VVG) กำหนดภาระผูกพันประกันสุขภาพทั่วไปตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเยอรมนีมีหน้าที่ต้องทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลหรือประกันสุขภาพตามกฎหมาย นายจ้างและลูกจ้างจะต้องแบ่งค่าใช้จ่ายกันอย่างเท่าเทียมกันเช่นเดียวกับประกันบำนาญ ประกันการว่างงาน และประกันการดูแลระยะยาว ระดับการจ่ายเงินสมทบประกันสุขภาพจะประกอบด้วยทั้งจำนวนเงินพื้นฐานและจำนวนเงินเพิ่มเติม จำนวนเงินพื้นฐานจะเท่ากันสำหรับผู้ให้บริการประกันสุขภาพทุกราย และเท่ากับ 14.6% ของเงินเดือนขั้นต้น สูงสุดไม่เกินเพดานการประเมินเงินสมทบที่ 4,987.50 ยูโรต่อเดือน หรือ 59,850 ยูโรต่อปี จำนวนเงินเพิ่มเติมจะกำหนดโดยผู้ให้บริการประกันสุขภาพแต่ละรายโดยมีค่าเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 1.6%
ประกันบำนาญ: ประกันบำนาญเป็นข้อบังคับสำหรับลูกจ้างเช่นกัน นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ลูกจ้างฝึกงาน ผู้ที่เลี้ยงดูบุตร และบุคคลอื่นๆ บางกลุ่มอาจต้องทำประกันตามประมวลกฎหมายสังคมเยอรมัน เล่มที่ 6 (Sozialgesetzbuch หรือเรียกย่อว่า SGB) ระดับเงินสมทบสำหรับการประกันเงินบำนาญมีจำนวนเท่ากับ 18.6 % ของเงินเดือนขั้นต้น ซึ่งสูงสุดไม่เกินเพดานการประเมินเงินสมทบที่ 7,100 ยูโรต่อเดือนในรัฐสหพันธ์ใหม่ของเยอรมนี และ 7,300 ยูโรต่อเดือนในรัฐสหพันธ์เดิม
ประกันการว่างงาน: เงินเดือนขั้นต้น 2.6% จะถูกจัดสรรให้กับประกันการว่างงาน เพดานการประเมินเงินสมทบจะอ้างอิงจากตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับประกันบำนาญ ตามส่วนที่ 25 ในหนังสือเล่มที่ 3 ของ SGB พนักงานทุกคน ไม่ว่าจะมีเงินเดือนเท่าใด มีหน้าที่ต้องทำประกัน ผู้ที่ทำงานพาร์ทไทม์จะได้รับการยกเว้นจากประกันการว่างงาน (ตามส่วนที่ 27 วรรค 2 ในหนังสือเล่มที่ 3 ของ SGB)
ประกันการดูแลระยะยาว: ผู้ที่มีประกันสุขภาพตามกฎหมายทุกคนจะได้รับความคุ้มครองภายใต้ประกันดูแลระยะยาวทางสังคมด้วย ส่วนผู้ที่มีประกันสุขภาพเอกชนสามารถทำประกันดูแลระยะยาวแบบเอกชนได้ อัตราเงินสมทบอยู่ที่ 3.4% ของเงินเดือนขั้นต้น ผู้ที่ไม่มีบุตรจะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่ม 0.6% ในขณะที่ครอบครัวที่มีบุตรมากกว่าหนึ่งคนอายุต่ำกว่า 25 ปี จะได้รับการลดอัตราการชำระเงิน
ประกันอุบัติเหตุ: อีกสาขาหนึ่งของระบบประกันสังคมคือประกันอุบัติเหตุ นายจ้างต้องทำประกันและชำระเงินค่าประกันภาคบังคับนี้ผ่านสถาบันประกันตามกฎหมายที่ตนสังกัดอยู่ ซึ่งหมายความว่าลูกจ้างจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสำหรับอุบัติเหตุในที่ทำงานและจากการเดินทาง โดยไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เงินสมทบประกันอุบัติเหตุอยู่ที่ 1.6% ของเงินเดือนขั้นต้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระสามารถทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลได้
ภาษีคริสตจักร: สมาชิกในคริสตจักรจัดหาเงินทุนให้คริสตจักรผ่านภาษีคริสตจักร ผู้ที่เป็นสมาชิกของคริสตจักรที่ได้รับการยอมรับจะต้องจ่ายภาษีการจ้างงานหรือภาษีเงินได้ 9% (8% ในบาวาเรียและบาเดิน เวือร์ทเทมแบร์ก) ให้แก่คริสตจักร ภาษีคริสตจักรจะเก็บรวบรวมโดยสำนักงานภาษีและส่งต่อไปยังคริสตจักร
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ