การชำระเงิน อาจล้มเหลวในวินาทีสุดท้าย ไม่ใช่เพราะตัวสินค้าเองมีปัญหา หรือราคาสูงเกินไป แต่เพราะหน้าจอการชำระเงินใช้งานยาก โหลดช้า หรือไม่น่าไว้วางใจ ลูกค้าที่ตัดสินใจไม่ดำเนินการซื้อให้เสร็จ เนื่องจากรู้สึกไม่ไว้วางใจที่จะป้อนข้อมูลบัตรเครดิตบนเว็บไซต์คิดเป็น 19% ของรถเข็นที่ถูกละทิ้ง และสิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายรับ
ด้านล่างนี้ เราจะอธิบายว่าสิ่งใดทำให้หน้าจอการชำระเงินมีประสิทธิภาพ สิ่งใดเป็นอุปสรรค และวิธีจัดการกับปัญหาที่พบบ่อย
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- หน้าจอการชำระเงินคืออะไร
- องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของหน้าจอการชำระเงินที่ช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าคืออะไร
- ความเรียบง่ายของการแสดงผลและสัญญาณความน่าเชื่อถือมีผลต่อหน้าจอการชำระเงินอย่างไร
- คุณควรจัดการกับข้อผิดพลาดในการตรวจสอบและความล้มเหลวในการชำระเงินบนหน้าจอการชำระเงินอย่างไร
หน้าจอการชำระเงินคืออะไร
หน้าจอ การชำระเงิน เป็นขั้นตอนสุดท้ายในเส้นทางการซื้อ ซึ่งเป็นจุดที่ลูกค้าป้อนข้อมูลการชำระเงิน ตรวจสอบคำสั่งซื้อ และยืนยันการชำระเงิน
หน้าจอการชำระเงินทั่วไปประกอบด้วย:
สรุปสิ่งที่ลูกค้ากำลังซื้อ
ช่องข้อมูลแบบฟอร์มสำหรับข้อมูลการติดต่อ การจัดส่ง และการเรียกเก็บเงิน
ส่วนสำหรับป้อนข้อมูลการชำระเงิน
ปุ่มกระตุ้นให้ดำเนินการเพื่อดำเนินคำสั่งซื้อให้เสร็จสิ้น
หน้าจอการชำระเงินคือช่วงเวลาที่ลูกค้าหยุดพิจารณาและตัดสินใจว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือพอหรือไม่ที่จะมอบข้อมูลส่วนตัวและรายละเอียดการชำระเงิน ทุกอย่างเกี่ยวกับหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นเลย์เอาท์ ภาษา หรือความเรียบร้อย ล้วนมีส่วนในการเสริมสร้างหรือบั่นทอนความมั่นใจนั้น
องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของหน้าจอการชำระเงินที่ช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าคืออะไร
หน้าจอการชำระเงินมีหน้าที่ในการปิดการขาย ทุกตัวเลือกในการออกแบบควรสนับสนุนเป้าหมายนี้ โดยทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้น สร้างความมั่นใจ และลดสิ่งรบกวนที่อาจขัดขวางลูกค้าในการทำธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์
หน้าจอการชำระเงินทุกหน้าควรรวมองค์ประกอบการออกแบบเหล่านี้:
แบบฟอร์มข้อมูลที่เป็นระเบียบ
[แบบฟอร์ม] ที่จัดรูปแบบไม่ดีหรือขอข้อมูลมากเกินความจำเป็น (https://stripe.com/resources/more/registration-form-with-payment-101-what-they-are-and-how-to-use-them) อาจทำให้ลูกค้ายกเลิกคำสั่งซื้อ คุณควรใส่ข้อมูลดังต่อไปนี้:
ป้ายช่องข้อมูลที่ชัดเจน
การจัดกลุ่มที่สมเหตุสมผล
ค่าตั้งต้นที่ช่วยลดความยุ่งยาก (เช่น การกรอกที่อยู่การเรียกเก็บเงินโดยอัตโนมัติเป็นที่อยู่จัดส่ง เว้นแต่จะระบุเป็นอย่างอื่น)
รูปแบบการป้อนข้อมูลที่สอดคล้องกัน (เช่น เมนูแบบเลื่อนสำหรับประเทศ การป้อนข้อมูลตัวเลขสำหรับรหัสไปรษณีย์)
ทุกช่องข้อมูลควรมีเหตุผลที่ชัดเจน ไม่ควรขอข้อมูลเกินความจำเป็นในการดำเนินการสั่งซื้อ และขอข้อมูลในลักษณะที่ลดความสับสนและไม่ซ้ำซ้อน
สรุปคำสั่งซื้อที่มองเห็นได้ชัดและถูกต้อง
ในส่วนนี้ ลูกค้าจะตรวจสอบสินค้าที่กำลังจะซื้อและตรวจสอบว่ายอดรวมถูกต้องหรือไม่ สรุปคำสั่งซื้อที่ดีควรประกอบด้วย:
ชื่อและปริมาณสินค้า
ราคาต่อรายการและยอดรวมย่อย
ภาษี และค่าธรรมเนียมการจัดส่ง
ส่วนลดหรือรหัสโปรโมชันที่ใช้
ราคาสุทธิสุดท้าย
โดยปกติแล้ว รุปรายการคำสั่งซื้อจะแสดงตลอดขั้นตอนต่างๆ โดยเฉพาะในขั้นตอนการชำระเงิน การเรียกเก็บเงินที่ไม่คาดคิดหรือยอดรวมใหม่ในวินาทีสุดท้ายอาจทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อได้
ส่วนการชำระเงินที่ยืดหยุ่น
บัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นวิธีการชำระเงินขั้นต่ำ แต่การเสนอวิธีการชำระเงินอื่นๆ เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล การโอนเงินผ่านธนาคาร และวิธีการชำระเงินในพื้นที่ จะทำให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นมากขึ้น อนุญาตให้ผู้ใช้เลือกวิธีการชำระเงินที่มีอยู่ จากนั้นกรอกข้อมูลล่วงหน้าตามที่คุณทำได้ (เช่น รายละเอียดของบัตรที่บันทึกไว้สำหรับผู้ใช้ที่กลับมาใช้บริการ) และใช้ตัวช่วยการจัดรูปแบบ เช่น การเว้นวรรคหมายเลขบัตรโดยอัตโนมัติหรือการป้อนวันที่หมดอายุแบบอัจฉริยะ
CTA ที่มองเห็นได้ชัดเจน
นี่คือช่วงเวลาของการตัดสินใจขั้นสุดท้าย การดำเนินการหลัก (เช่น “ยืนยันคำสั่งซื้อ” หรือ “ดำเนินการชำระเงิน”) ควรถูกวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมตอนท้ายของกระบวนการและมองเห็นได้ชัดเจนด้วยสีที่ตัดกันหรือขนาดที่แตกต่าง ปุ่มควรมีข้อความที่ชัดเจน เช่น “ชำระเงิน 64.99 ดอลลาร์และยืนยันคำสั่งซื้อ” ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแค่ “ชำระเงินเลย”
ลดการแสดงผลสำหรับการดำเนินการรอง (เช่น “กลับไปที่รถเข็น”) เพื่อไม่ให้แย่งความสนใจจากปุ่มกระตุ้นให้ดำเนินการ (CTA)
ตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าสำหรับกระบวนการหลายขั้นตอน
หากขั้นตอน การชำระเงิน แบ่งออกเป็นหลายหน้า ให้แสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าพวกเขาอยู่ในส่วนใดของขั้นตอน ใช้ลำดับเวลาการแสดงผลที่เข้าใจง่ายซึ่งแสดงรายการแต่ละขั้นตอน เน้นที่ขั้นตอนปัจจุบัน และแสดงขั้นตอนต่อไป วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่ากำลังดำเนินการต่ออย่างต่อเนื่อง
ตัวเลือกการชำระเงินโดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบ
การบังคับให้ลูกค้าสร้างบัญชีก่อนการซื้ออาจทำให้ลูกค้ายกเลิกการสั่งซื้อ
แนวทางที่ดีกว่าคือการอนุญาตการชำระเงินโดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบเป็นค่าเริ่มต้น และเสนอการสร้างบัญชีภายหลังการซื้อ (เช่น “บันทึกข้อมูลเพื่อใช้ในครั้งต่อไป”) หากจำเป็นต้องมีบัญชีผู้ใช้ ให้รองรับตัวเลือกที่รวดเร็ว เช่น การเข้าสู่ระบบด้วย Google หรือ Apple
ช่องข้อมูลรหัสโปรโมชันเชิงกลยุทธ์
หากธุรกิจของคุณใช้รหัสส่วนลด ควรมีพื้นที่ให้ป้อนรหัสเหล่านั้นบนหน้าจอการชำระเงิน โดยไม่ให้ส่วนนี้กินพื้นที่หน้าจอมากเกินไป
รูปแบบที่ดีควรประกอบด้วย:
ลิงก์เล็กๆ (เช่น “มีรหัสโปรโมชันหรือไม่”) ที่ขยายเมื่อคลิก
การตรวจสอบรหัสที่ป้อนทันที
การแสดงยอดรวมคำสั่งซื้อที่อัปเดตทันทีเมื่อมีการใช้ส่วนลด
การจัดการข้อผิดพลาดที่ช่วยได้
เมื่อเกิดข้อผิดพลาด ความชัดเจนสำคัญกว่าการออกแบบ ควรทำเครื่องหมายช่องข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือขาดหายไปถัดจากหรือในช่องข้อมูลโดยตรง และใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่ออธิบายว่าต้องแก้ไขอะไร เก็บข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกไว้เมื่อเกิดข้อผิดพลาด และเลื่อนเคอร์เซอร์ไปยังช่องข้อมูลแรกที่มีปัญหา ข้อความแจ้งข้อผิดพลาดควรช่วยให้ผู้ใช้แก้ไขสำเร็จ ไม่ใช่บังคับให้เริ่มกรอกข้อมูลใหม่ทั้งหมด
สัญญาณความปลอดภัยที่เล็กน้อยแต่มีความหมาย
บางครั้งลูกค้าอาจลังเลก่อนที่จะป้อนข้อมูลที่ละเอียดอ่อน หน้าจอการชำระเงินที่ชาญฉลาดจะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัย สัญญาณความน่าเชื่อถืออาจประกอบด้วย:
ไอคอนล็อกพร้อมข้อความ “ชำระเงินอย่างปลอดภัย – เข้ารหัส TLS” (Transport Layer Security)
โลโก้ของวิธีการชำระเงินที่ยอมรับ
ข้อความเตือนสั้นๆ เกี่ยวกับนโยบายการคืนสินค้าหรือการคืนเงิน
การกล่าวถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดของอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI)
หากคุณใช้โซลูชัน เช่น Stripe Checkout การใส่ข้อความเล็กๆ ว่า “Powered by Stripe” สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าได้
การเข้าถึงการสนับสนุนและนโยบาย
คาดการณ์คำถามและข้อกังวลของลูกค้า และแสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าคุณพร้อมช่วยเหลือหากมีบางอย่างผิดพลาด รวมถึงลิงก์ “หากต้องการความช่วยเหลือ” หมายเลขโทรศัพท์ หรือวิดเจ็ตแชท และเพิ่มลิงก์ไปยังนโยบายการคืนสินค้า รายละเอียดการจัดส่ง และข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัว วางตำแหน่งลิงก์เหล่านี้ใกล้กับ CTA หรือในส่วนท้ายของหน้า
ความเรียบง่ายของการแสดงผลและสัญญาณความน่าเชื่อถือมีผลต่อหน้าจอการชำระเงินอย่างไร
เมื่อถึงขั้นตอนที่ลูกค้ากำลังชำระเงิน จุดสำคัญที่คุณควรให้ความสนใจคือการขจัดข้อสงสัยและความล่าช้าในช่วงสุดท้าย โดยสองปัจจัยหลักที่ส่งผลอย่างมาก ได้แก่ ความเรียบง่ายของการแสดงผลและความน่าเชื่อถือ
ต่อไปนี้คือวิธีที่แต่ละปัจจัยสามารถส่งผลต่อลูกค้าในช่วงเวลาสำคัญนี้
ความเรียบง่ายของการแสดงผล
ความเรียบง่ายบนหน้าจอ การชำระเงิน ช่วยลดปริมาณงานที่ลูกค้าต้องทำเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด:
ไม่รกตา: เมื่อหน้าจอมีข้อมูลมากเกินไป ผู้ใช้จะจดจ่อกับขั้นตอนได้ยากขึ้น และขั้นตอนถัดไปอาจไม่ชัดเจน ความไม่ชัดเจนนี้อาจทำให้ผู้ใช้ใช้เวลานานขึ้นหรือยกเลิกการทำรายการ
เลย์เอาท์ที่เรียบง่าย: หากผู้ใช้สามารถมองเห็นและทำความเข้าใจสินค้าที่ตนกำลังซื้อ ราคา ช่องข้อมูลที่ต้องป้อน และวิธีดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์ได้ในทันที จะช่วยให้ขั้นตอนสำเร็จได้ง่ายขึ้น
ความเร็ว: หน้าเว็บที่เรียบง่ายมักจะโหลดได้เร็วกว่า การลดเวลาการโหลดลงเพียงไม่กี่วินาทีสามารถช่วยลดจำนวนการละทิ้งรถเข็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใช้ใช้งานผ่านเครือข่ายที่ช้าหรือชำระเงินในขณะเดินทาง
หน้าจอการชำระเงินควรรู้สึกเหมือนเป็นเส้นทางที่ชัดเจนและใช้งานง่ายจากขั้นตอน “ตรวจสอบ” ไปยัง “ชำระเงิน” โดยไม่มีสิ่งรบกวนที่แย่งความสนใจของผู้ใช้
สัญญาณความน่าเชื่อถือ
ที่หน้าจอการชำระเงิน ลูกค้ากำลังมอบข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและรายละเอียดการชำระเงิน ไม่ว่าระบบของคุณจะน่าเชื่อถือเพียงใด ขั้นตอนสุดท้ายนี้ก็อาจทำให้เกิดความลังเลได้ สัญญาณเล็กๆ บนหน้าจอการชำระเงินช่วยลดช่องว่างของความไม่มั่นใจนั้นได้
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ได้ผล:
ความคุ้นเคย: การแสดงโลโก้ของ Visa, Mastercard, PayPal, Apple Pay และวิธีการชำระเงินทั่วไปอื่นๆ ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกสบายใจ เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณรองรับระบบเดียวกับที่พวกเขาใช้เป็นประจำ
สัญญาณความปลอดภัย: ไอคอนล็อกพร้อมข้อความ “การชำระเงินที่ปลอดภัย” หรือป้ายรับรองชั้นซ็อกเก็ตที่ปลอดภัย (SSL)/TLS หรือหมายเหตุเกี่ยวกับการชำระเงินที่เข้ารหัสสามารถเพิ่มความมั่นใจได้ โดยเฉพาะสำหรับลูกค้าใหม่
ความโปร่งใส: ค่าธรรมเนียมแอบแฝงหรือค่าธรรมเนียมที่ไม่คาดคิดถือเป็นสัญญาณอันตรายทันที หน้าเว็บควรแสดงค่าจัดส่ง ภาษี และนโยบายการคืนสินค้าให้ผู้ใช้ทราบก่อนที่พวกเขาจะชำระเงิน
ความเป็นมืออาชีพ: คุณภาพการแสดงผลก็มีความสำคัญ หน้าจอการชำระเงินที่มีการพิมพ์ผิด การจัดรูปแบบไม่ดี หรือองค์ประกอบที่ไม่ตรงกันอาจดูน่าสงสัย การออกแบบที่สะอาดตาและเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าธุรกิจนั้นมีความน่าเชื่อถือและถูกต้องตามกฎหมาย
หลักฐานทางสังคม: ข้อความเล็กน้อย เช่น “ได้ 4.8/5 คะแนนจากลูกค้ามากกว่า 10,000 คน” หรือคำบอกเล่าสั้นๆ ก็สามารถเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยได้ หากเลือกใช้ในตำแหน่งที่เหมาะสมและไม่มากจนเกินไป
การให้ความมั่นใจหลังจากเกิดความล้มเหลว: แม้การชำระเงินจะล้มเหลว แต่วิธีที่คุณจัดการกับมันนั้นก็มีความสำคัญ ข้อความง่ายๆ ที่อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจและรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ข้อความแจ้งข้อผิดพลาดที่สร้างความสับสนหรือมีลักษณะทั่วไปจะส่งผลตรงกันข้าม
คุณควรจัดการกับข้อผิดพลาดในการตรวจสอบและการชําระเงินไม่สําเร็จในหน้าจอการชำระเงินอย่างไร
ไม่ว่าหน้าจอการชำระเงินของคุณจะออกแบบมาดีเพียงใด ลูกค้าก็ยังอาจป้อนข้อมูลผิดพลาด หรือเกิดปัญหาในการชำระเงินได้ หน้าที่ของคุณคือช่วยลูกค้าแก้ไขปัญหาเหล่านั้นโดยไม่สูญเสียโอกาสในการขาย
ต่อไปนี้คือวิธีการจัดการกับข้อผิดพลาดในการตรวจสอบ (ปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อน) และ การชําระเงินไม่สําเร็จ (เมื่อธุรกรรมไม่สำเร็จ)
ข้อผิดพลาดในการตรวจสอบ
ข้อผิดพลาดในการตรวจสอบทั่วไปประกอบด้วยการพิมพ์ผิด ช่องข้อมูลที่ตกหล่น และการจัดรูปแบบไม่ถูกต้อง เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น คุณต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบอย่างรวดเร็วและชัดเจนเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อได้อย่างราบรื่น
นี่คือเคล็ดลับบางประการ:
แจ้งข้อผิดพลาดทันที: หากผู้ใช้พิมพ์อีเมลผิดหรือเว้นช่องข้อมูลที่จำเป็นไว้ ควรแจ้งข้อผิดพลาดทันที ไม่ใช่รอจนกว่าผู้ใช้จะกดปุ่ม “ชำระเงิน”
ระบุให้ชัดเจน: แจ้งให้ผู้ใช้ทราบอย่างตรงไปตรงมาว่าข้อผิดพลาดคืออะไรและควรแก้ไขอย่างไร เช่น “โปรดใส่รหัสไปรษณีย์ที่ถูกต้อง” หรือ “หมายเลขบัตรนี้สั้นเกินไป”
แสดงข้อความในหรือถัดจากช่องข้อมูล: อย่าใช้แบนเนอร์ทั่วไป ผู้ใช้ไม่ควรต้องเลื่อนหน้าจอหรือค้นหาว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นที่ใด
เก็บข้อมูลที่ป้อนไว้: หากผู้ใช้ป้อนข้อมูลผิดในช่องใดช่องหนึ่ง อย่าลบข้อมูลในช่องอื่นทั้งหมด การป้อนข้อมูลใหม่ทั้งหมดจะทำให้ขั้นตอนการชำระเงินใช้เวลานานขึ้น
วางแผนรับมือกับปัญหาที่พบบ่อย: รองรับรูปแบบหมายเลขโทรศัพท์หลายรูปแบบ ป้อนชื่อเมืองอัตโนมัติตามรหัสไปรษณีย์ อนุญาตให้ผู้ใช้วางหมายเลขบัตรเครดิตได้แม้จะมีเว้นวรรค ออกแบบโดยคำนึงถึงพฤติกรรมของผู้ใช้
การชําระเงินไม่สําเร็จ
ในขั้นตอนนี้ ลูกค้าได้ป้อนข้อมูลและตัดสินใจซื้อสินค้าแล้ว หากเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ลูกค้าอาจรู้สึกหงุดหงิด กังวล หรือทั้งสองอย่าง
เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นั้นกลายเป็นการยกเลิกคำสั่งซื้อ:
ตรงไปตรงมาและโปร่งใส: แจ้งอย่างชัดเจนว่าการชำระเงินไม่สำเร็จ และยืนยันว่าลูกค้าไม่ได้ถูกเรียกเก็บเงิน หลีกเลี่ยงข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่กำกวมหรือรหัสทางเทคนิค
อธิบายขั้นตอนถัดไป: แจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าควรป้อนข้อมูลการชำระเงินใหม่ ลองใช้ [วิธรการชำระเงิน] แบบอื่น (https://stripe.com/resources/more/alternative-payment-methods) หรือติดต่อธนาคารของตน
เก็บข้อมูลและรถเข็นของลูกค้าไว้: หากการชำระเงินล้มเหลว ลูกค้าควรสามารถลองชำระเงินใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องเริ่มป้อนข้อมูลใหม่ทั้งหมด
ให้ตัวเลือกแก่พวกเขา: หากวิธีการชำระเงินหนึ่งล้มเหลว ให้แนะนำวิธีการชำระเงินทางเลือก หากบัตรถูกปฏิเสธการชำระเงิน โปรดแจ้งให้ผู้ใช้ตรวจสอบการพิมพ์ผิดหรือลองใช้วิธีอื่น
หลีกเลี่ยงการให้ชำระเงินซ้ำๆ โดยไม่สิ้นสุด: หากการชำระเงินวิธีเดิมล้มเหลวมากกว่าหนึ่งครั้ง ควรให้คำแนะนำเพิ่มเติมหรือส่งเรื่องไปยังฝ่ายสนับสนุน อย่าปล่อยให้ผู้ใช้กดปุ่ม “ชำระเงิน” ซ้ำๆ โดยไม่มีข้อมูลตอบกลับ
เตรียมทางเลือกสำรอง: แสดงลิงก์ความช่วยเหลือหรือช่องทางติดต่อหากพวกเขาไม่ทราบวิธีดำเนินการ เพิ่มข้อความ เช่น “หากปัญหายังคงอยู่ ทีมของเราพร้อมช่วยเหลือคุณ”
สื่อสารเรื่องระยะเวลา: หากสินค้าคงคลังหรือเวลามีความละเอียดอ่อน (เช่น บัตรเข้างานกิจกรรมหรือแฟลชเซล) โปรดแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าคุณกำลังสงวนคำสั่งซื้อไว้ในเวลาจำกัด เช่น ข้อความว่า “เรากำลังสงวนรายการของคุณไว้เป็นเวลา 10 นาทีขณะที่คุณดำเนินการชำระเงิน” จะช่วยให้มีเวลาจัดการกับปัญหาได้
เมื่อการชำระเงินล้มเหลว ช่วงเวลานี้จะเป็นตัววัดว่าระบบของคุณสามารถสนับสนุนลูกค้าได้หรือไม่ หรือทำให้ลูกค้ารู้สึกถูกทอดทิ้ง ในจุดนี้ รายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลอย่างมาก
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ