การเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน เรียกเก็บเงินจากลูกค้าอย่างแม่นยำตามรูปแบบการบริโภค เฟรมเวิร์กค่าบริการนี้แตกต่างจากค่าธรรมเนียมคงที่หรือโมเดลแบบชำระเงินตามรอบบิล ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ค้นหาโมเดลการคิดค่าบริการที่สะท้อนถึงกลุ่มเป้าหมายและสามารถปรับตามความผันผวนของตลาดได้ การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจึงกลายมาเป็นโซลูชันชั้นนำ ระหว่างปี 2018 ถึง 2022 จํานวนบริษัทที่ให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) ซึ่งใช้โมเดลค่าบริการตามการใช้งานเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 46% ซึ่งสูงขึ้นอย่างมากในระยะเวลา 4 ปี
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานนําเสนอแนวทางการกําหนดราคาที่สมดุล โดยการส่งเสริมความมั่นคงด้านรายรับให้กับธุรกิจพร้อมทั้งมอบโครงสร้างค่าบริการที่โปร่งใสให้แก่ลูกค้า
ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน วิธีการทํางาน และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการเพิ่มประโยชน์สูงสุดให้กับโมเดลการเรียกเก็บเงินนี้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคืออะไร
- องค์ประกอบของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
- คุณควรใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเมื่อใด
- การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
- ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
- แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
ผลการสํารวจล่าสุดของผู้นําธุรกิจทั่วโลกระบุว่า 38% ของธุรกิจสูญเสียยอดขายเนื่องจากระบบการเรียกเก็บเงินที่ไม่ยืดหยุ่น ศึกษาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการเรียกเก็บเงินเพื่อเร่งการเติบโตของรายรับในรายงาน ระบบการเรียกเก็บเงินของคุณกำลังขัดขวางคุณอยู่หรือไม่
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคืออะไร
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานคือกลยุทธ์ค่าบริการที่ระบบจะเรียกเก็บเงินลูกค้าโดยอิงตามปริมาณการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นๆ ใบเรียกเก็บเงินสุดท้ายจะสอดคล้องกับจํานวนผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ลูกค้าใช้โดยตรง วิธีการเรียกเก็บเงินนี้พบได้ในหลากหลายภาคธุรกิจ ต่อไปนี้คือการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานประเภทต่างๆ และภาคส่วนที่ใช้
ค่าบริการแบบแปรผัน: ค่าใช้จ่ายจะปรับเปลี่ยนตามปริมาณหรือปริมาณการบริโภค โดยทั่วไปแล้วสาธารณูปโภค เช่น น้ำหรือไฟฟ้า จะใช้รูปแบบนี้ ซึ่งลูกค้าจะชำระเงินตามจำนวนหน่วยที่ใช้
ค่าบริการแบบแบ่งระดับ: การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานประเภทนี้ขึ้นอยู่กับระดับการใช้งาน และราคาต่อหน่วยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่น 100 หน่วยแรกอาจมีราคาแตกต่างจาก 100 หน่วยถัดไป
ค่าบริการแบบไดนามิก: โมเดลนี้ปรับค่าบริการแบบเรียลไทม์ตามปัจจัยต่างๆ เช่น ความต้องการผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น บริการแชร์รถอาจเรียกเก็บเงินจากลูกค้ามากขึ้นเมื่อเดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือในพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
ค่าบริการต่อฟีเจอร์: โซลูชันซอฟต์แวร์บางตัวใช้รูปแบบนี้ โดยผู้ใช้จะชำระเงินเฉพาะฟีเจอร์ที่ตนใช้เท่านั้น หากพวกเขาใช้เพียงหนึ่งหรือสองฟีเจอร์ของชุดซอฟต์แวร์ ก็จะถูกเรียกเก็บเงินเฉพาะฟีเจอร์เฉพาะนั้นๆ
โมเดลแต่ละโมเดลเหล่านี้จะปรับโครงสร้างการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการของลูกค้า เป้าหมายคือการมอบความยืดหยุ่นและการปรับแต่งมากขึ้นในการเรียกเก็บเงิน และเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้ารู้สึกว่าค่าใช้จ่ายของพวกเขาสะท้อนถึงการบริโภคของตนเองโดยตรง
องค์ประกอบของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
ในการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน ระบบจะเก็บเงินลูกค้าตามปริมาณการใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริง หากแยกโครงสร้างของวิธีการเรียกเก็บเงินนี้ออก เราจะสามารถระบุส่วนประกอบสำคัญหลายประการได้ดังนี้
หน่วยวัด: นี่คือหน่วยพื้นฐานที่ใช้ติดตามการใช้งาน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตัวอย่างเช่น สำหรับบริการที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ หน่วยข้อมูลอาจเป็นกิกะไบต์ ในขณะที่บริการโทรคมนาคม อาจเป็นนาทีหรือข้อความก็ได้
รอบการเรียกเก็บเงิน: หมายถึงรอบการเรียกเก็บเงินเป็นประจำที่ลูกค้าจะถูกเรียกเก็บเงิน รอบที่พบบ่อย ได้แก่ รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ในแต่ละรอบบิล จะมีการตรวจสอบการใช้งานของลูกค้า และเมื่อสิ้นสุดรอบบิล ระบบจะเรียกเก็บเงินตามนั้น
อัตรา: จํานวนที่เรียกเก็บต่อหน่วยการวัด อัตราอาจคงที่หรืออาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณหรือปัจจัยอื่นๆ ของบริการแต่ละแบบ
เครื่องมือติดตามการใช้งาน: ระบบหรือเครื่องมือที่รับผิดชอบในการติดตามและบันทึกการบริโภคของผู้ใช้แบบเรียลไทม์หรือใกล้เคียงเรียลไทม์ การติดตามการใช้งานช่วยให้เรียกเก็บเงินได้ถูกต้อง และยังช่วยแจ้งให้ลูกค้าทราบหากใกล้ถึงเกณฑ์การใช้งานบางอย่าง
การปรับยอดการเรียกเก็บเงิน: หากมีข้อมูลคลาดเคลื่อน การคืนเงิน หรือเครดิตใดๆ ที่จําเป็นต้องนําไปใช้กับบัญชี ธุรกิจต่างๆ จะต้องจัดการข้อมูลดังกล่าวในส่วนนี้ นอกจากนี้ยังรวมถึงอัตราส่งเสริมการขายหรือส่วนลดที่ใช้ได้กับการใช้งานจำนวนหนึ่งด้วย
การแจ้งเตือน: บ่อยครั้งที่ผู้ให้บริการจะเสนอการแจ้งเตือนสําหรับผู้ใช้เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับระดับการใช้งานของพวกเขา การแจ้งเตือนเหล่านี้อาจเป็นการแจ้งเตือนเชิงรุกให้ผู้ใช้ทราบเมื่อใกล้ถึงระดับการใช้งานโดยทั่วไปหรือเกณฑ์ที่กําหนดไว้ล่วงหน้า
การรายงาน: การทําเช่นนี้ช่วยให้ธุรกิจสร้างรายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานของลูกค้าได้ สำหรับผู้ใช้ ก็ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของพวกเขาได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในอนาคต
การรวบรวมส่วนประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันทำให้ธุรกิจสามารถพัฒนาระบบการเรียกเก็บเงินแบบวัดปริมาณที่โปร่งใสสำหรับลูกค้าและจัดการได้สำหรับผู้ให้บริการ
คุณควรใช้การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเมื่อใด
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีส่วนเกี่ยวข้องในหลากหลายอุตสาหกรรมดังต่อไปนี้
การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS)
แม้ว่าธุรกิจ SaaS จำนวนมากจะเสนอแพ็กเกจรายเดือนหรือรายปี แต่บางแห่งก็มีรูปแบบตามการใช้งาน ซึ่งธุรกิจจะชำระเงินตามฟีเจอร์ที่พวกเขาใช้ หรือจำนวนผู้ใช้ นี่เป็นรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจที่ดำเนินการตามฤดูกาลหรือธุรกิจที่กำลังทดลองใช้โซลูชันซอฟต์แวร์ใหม่ผู้ให้บริการสาธารณูปโภค
ผู้ให้บริการไฟฟ้า น้ำ และแก๊สต่างก็มีประสบการณ์ในการคิดเงินตามการใช้งาน ระบบจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามจํานวนทรัพยากรที่ใช้ เพื่อให้มั่นใจได้ในความยุติธรรมและการส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรผู้ให้บริการระบบคลาวด์
ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บเงินตามปริมาณที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ที่ธุรกิจและบุคคลใช้ หรือพลังการประมวลผลที่พวกเขาใช้ โมเดลนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับขนาดความต้องการได้โดยไม่ต้องกำหนดต้นทุนคงที่ ซึ่งทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทที่มีความต้องการไม่แน่นอนบริษัทโทรคมนาคม
บริษัทโทรคมนาคมบางแห่งเสนอแพ็กเกจโทรศัพท์แบบชําระเงินตามการใช้งานซึ่งระบบจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตามจํานวนนาทีที่พูดคุยหรือตามจํานวนข้อความที่จะส่ง สิ่งนี้ดึงดูดใจผู้ใช้ที่ไม่ต้องการผูกมัดรายเดือนหรือผู้ที่มีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันไปแพลตฟอร์มสตรีมมิง
แพลตฟอร์มบางแห่งอาจเลือกรูปแบบที่ผู้ใช้จ่ายเงินสำหรับเนื้อหาที่พวกเขาบริโภค แทนที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนคงที่ ผู้ใช้จะถูกเรียกเก็บเงินตามจำนวนภาพยนตร์หรือตอนต่างๆ ที่พวกเขารับชมบริการให้เช่า
บริษัทให้เช่าจักรยานหรือสกู๊ตเตอร์อาจเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตามเวลาที่เช่ารถ แทนที่จะเป็นอัตราคงที่ โมเดลนี้กระตุ้นให้ผู้คนใช้บริการมากขึ้น เนื่องจากพวกเขารู้ว่าพวกเขากําลังจ่ายเฉพาะสิ่งที่ใช้เท่านั้นผู้ให้บริการข้อมูล
บริษัทที่เสนออินเทอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน (API) สำหรับข้อมูล (เช่น สภาพอากาศ ข้อมูลทางการเงิน หรือบริการตำแหน่ง) อาจเรียกเก็บเงินตามจำนวนการเรียก API ที่ธุรกิจดำเนินการ โมเดลนี้น่าสนใจเป็นพิเศษสําหรับนักพัฒนาหรือธุรกิจที่อาจมีความต้องการแตกต่างกันไป
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีความยืดหยุ่นและช่วยให้กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นเข้าถึงบริการได้ การอนุญาตให้ผู้ใช้จ่ายเฉพาะส่วนที่ตนใช้เท่านั้น จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งรวมถึงลูกค้าที่ใส่ใจงบประมาณและลูกค้าที่มีความต้องการที่ผันผวน โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้ยังสนับสนุนให้เกิดการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจสาธารณูปโภค สําหรับธุรกิจ ธุรกิจอาจมีกระแสรายรับที่คาดการณ์ได้มากขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงโดยตรงกับรูปแบบการบริโภคของผู้ใช้
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมีหลักการทํางานอย่างไร
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นซึ่งปรับแต่งให้เข้ากับรูปแบบการบริโภคของแต่ละบุคคล โดยวิธีการทํางานมีดังนี้
การติดตามตรวจสอบและการวัดปริมาณ
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานต้องอาศัยการติดตามปริมาณการบริโภคของผู้ใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของข้อมูลที่ใช้ ชั่วโมงบริการที่เข้าถึง หรือหน่วยทรัพยากรที่ใช้ไปการกําหนดอัตรา
บริษัทกําหนดอัตราเฉพาะสําหรับหน่วยของปริมาณการบริโภค ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์อาจเรียกเก็บเงินตามกิกะไบต์ของข้อมูลที่จัดเก็บ หรือบริษัทโทรคมนาคมอาจเรียกเก็บเงินตามระยะเวลาการโทรทุกนาทีรอบการเรียกเก็บเงิน
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานก็มีรอบเช่นเดียวกับวิธีการเรียกเก็บเงินแบบเดิมๆ โดยอาจเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือรอบเวลาอื่นใดที่เหมาะกับบริการนั้นๆ เมื่อสิ้นสุดแต่ละรอบ ก็จะมีการคำนวณการบริโภคของผู้ใช้การออกใบแจ้งหนี้แบบไดนามิก
เมื่อคำนวณปริมาณการใช้ในรอบการเรียกเก็บเงินแล้ว ใบแจ้งหนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยอิงตามจำนวนหน่วยทั้งหมดที่ใช้คูณด้วยอัตราต่อหน่วย ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับใบแจ้งหนี้ที่มีจํานวนเงินแตกต่างกันตามการใช้งานของแต่ละบุคคลการแจ้งเตือน
เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด บริษัทต่างๆ หลายแห่งจึงเสนอการแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อค่าใช้จ่ายใกล้ถึงหรือเกินเกณฑ์การบริโภคที่กำหนด วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบและควบคุมการใช้จ่ายของตัวเองได้วิธีการชําระเงิน
เช่นเดียวกับวิธีการเรียกเก็บเงินอื่นๆ ผู้ใช้สามารถชําระใบแจ้งหนี้โดยใช้วิธีการชําระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต การโอนเงินผ่านธนาคาร หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลการโต้แย้งการชําระเงินและการปรับยอด
เนื่องจากผู้ใช้จะถูกเรียกเก็บเงินหลังจากการใช้งาน จึงอาจมีบางกรณีที่ผู้ใช้โต้แย้งเรื่องค่าใช้จ่าย ธุรกิจจะต้องมีกระบวนการที่โปร่งใสเพื่อจัดการกับข้อกังวลเหล่านี้และทําการปรับเปลี่ยนตามที่จําเป็น
ประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
ความยืดหยุ่นสําหรับลูกค้า
ระบบจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าตามปริมาณการใช้ เพื่อให้สามารถจัดการและคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งหมายความว่า ลูกค้าจะไม่ต้องจ่ายเงินมากเกินไปสำหรับบริการที่ไม่ได้ใช้หรือประเมินค่าใช้จ่ายต่ำเกินไป สำหรับธุรกิจยุคใหม่ ความยืดหยุ่นนี้ถือเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการดึงดูดและรักษาลูกค้าที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพที่ใส่ใจงบประมาณไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการการจัดการต้นทุนที่แม่นยำความโปร่งใสในการเรียกเก็บเงิน
เนื่องจากผู้ใช้จะถูกเรียกเก็บเงินเฉพาะส่วนที่ตนบริโภคเท่านั้น จึงทำให้กระบวนการเรียกเก็บเงินมีความชัดเจนและเปิดเผยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความไว้วางใจที่มากขึ้น เช่นเดียวกับการที่ค่าธรรมเนียมแอบแฝงนั้นอาจทำให้เกิดรีวิวและการประชาสัมพันธ์เชิงลบ ความโปร่งใสยังสามารถเป็นปัจจัยที่สร้างความแตกต่างและช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับธุรกิจได้อย่างมากการปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด
โมเดลการเรียกเก็บเงินนี้ช่วยให้ธุรกิจปรับค่าบริการได้อย่างรวดเร็วตามอุปสงค์ของตลาด การแข่งขัน หรือการเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายด้านทรัพยากร ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกำหนดราคาอย่างรวดเร็วอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความเกี่ยวข้องมีโอกาสสร้างรายรับเพิ่มขึ้น
เมื่อผู้ใช้จ่ายเงินตามการใช้งาน พวกเขาอาจมีแนวโน้มที่จะลองใช้ฟีเจอร์หรือบริการใหม่มากกว่า ซึ่งอาจทําให้การบริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้นและสร้างรายรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ธุรกิจนําเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โมเดลตามการใช้งานจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้งานในระยะแรกๆ และการทดลองในหมู่ผู้ใช้การรักษาลูกค้าได้ดีขึ้น
การเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างค่าใช้จ่ายและคุณค่าช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ลูกค้าที่มีความสุขมีแนวโน้มที่จะเลิกใช้งานน้อยลง ดังนั้น ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจและชัดเจนเกี่ยวกับคุณค่าที่พวกเขาได้รับจากเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้ไป ธุรกิจจึงสามารถลดการอัตราการเลิกใช้บริการ และสร้างความร่วมมือในระยะยาว เนื่องจากการรักษาลูกค้าเดิมไว้จะคุ้มต้นทุนมากกว่าการหาลูกค้าใหม่ ข้อดีนี้จึงมีค่าอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจในระยะยาวลดการสิ้นเปลืองทางการเงิน
การเรียกเก็บเงินตามการใช้งานเป็นโมเดลที่ยั่งยืนซึ่งสนับสนุนการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับธุรกิจ โมเดลนี้สามารถลดการสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับบริการแบบอัตราคงที่ได้การนําแนวทางแบบจ่ายตามการเติบโตไปใช้
เนื่องจากธุรกิจสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำบริการใหม่ๆ มาใช้ได้โดยไม่ต้องมีต้นทุนล่วงหน้าจำนวนมาก จึงได้รับประโยชน์อย่างมากจากรูปแบบนี้ เมื่อความต้องการของธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ก็สามารถปรับขนาดการใช้งานและค่าใช้จ่ายได้ตามสัดส่วน สำหรับอุตสาหกรรมใหม่และสตาร์ทอัพ แนวทางนี้จะช่วยขจัดอุปสรรคในการเริ่มต้น ส่งผลให้การเติบโตและนวัตกรรมมีความเป็นพลวัต
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความคาดหวังที่สูงขึ้นของลูกค้า และการผลักดันทั้งในด้านการมองเห็นและความยั่งยืน ประโยชน์แต่ละอย่างเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าสำคัญสำหรับธุรกิจ
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งาน
แม้ว่าการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็ถือเป็นการหลีกหนีจากวิธีการเรียกเก็บเงินแบบเดิมๆ การนำโมเดลใหม่นี้มาใช้โดยไม่ได้คิดอย่างรอบคอบหรือเตรียมการอย่างเพียงพออาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่พอใจของลูกค้า และสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้ ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ควรคํานึงถึงเมื่อเริ่มต้น
สร้างการสื่อสารกับลูกค้าอย่างชัดเจน ก่ก่อนที่จะนำระบบเรียกเก็บเงินตามการใช้งานมาใช้ ให้เริ่มต้นแคมเปญการให้ข้อมูลที่ครอบคลุมสําหรับลูกค้าของคุณ ซึ่งหมายความไม่เพียงแต่การประกาศการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสนอสัมมนาผ่านเว็บ คำแนะนำโดยละเอียด และเซสชันถาม-ตอบด้วย นอกจากนี้ ให้คาดการณ์ความกังวลและแก้ไขล่วงหน้า เมื่อให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับประโยชน์ที่โมเดลนี้จะมอบให้กับพวกเขาได้ และดำเนินการให้แน่ใจว่าลูกค้าเข้าใจความแตกต่างอย่างถ่องแท้ของการเรียกเก็บเงิน คุณก็สามารถวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นยิ่งขึ้นและลดความประหลาดใจในภายหลัง
ตรวจสอบและปรับกลยุทธ์ค่าบริการเป็นประจํา: การทบทวนเมตริกค่าบริการของคุณเป็นประจําคือสิ่งสำคัญ ตรวจสอบเกณฑ์มาตรฐานของอุตสาหกรรม รวบรวมข้อมูลคู่แข่ง และติดตามความพึงพอใจของลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงิน การปรับเปลี่ยนตามข้อมูลจะทำให้คุณสามารถแข่งขันได้ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และรักษาตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาด
ลงทุนกับระบบการติดตามที่มีประสิทธิภาพ: ระบบติดตามที่ละเอียดและแม่นยําช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อทําการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ นำเทคโนโลยีที่ให้ความแม่นยำในการติดตามการใช้งานของลูกค้ามาใช้ และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ดำเนินการได้เกี่ยวกับรูปแบบการบริโภค ฟังก์ชันทั้งสองแบบนี้จะช่วยปกป้องความโปร่งใสในการเรียกเก็บเงินในขณะที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งรวมกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
แจกแจงรายละเอียดการเรียกเก็บเงินให้ลูกค้าทราบ: มอบข้อมูลบริการที่ใช้ให้กับลูกค้าโดยละเอียด ไม่ใช่แค่ใบแจ้งหนี้ทั่วไป ลองใช้แดชบอร์ดแบบอินเทอร์แอกทีฟหรือรายงานรายเดือนแบบละเอียดที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเวลาใช้งานสูงสุด บริการที่ใช้มากที่สุด และอื่นๆ อีกมากมาย ระดับความเปิดกว้างนี้จะช่วยลดการโต้แย้งการชำระเงิน ในขณะเดียวกันก็นำเสนอบริการแบบครบครัน ซึ่งจะมอบโอกาสในการขายต่อยอดอีกด้วย
ให้ความสําคัญกับวิธีการที่เน้นลูกค้าเป็นหลัก: กําหนดจุดยืนให้กับบริษัทในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ลงทุนในการเติบโตของลูกค้า นําเสนอเครื่องมือ การให้คําปรึกษา และแหล่งข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริโภ การทำเช่นนี้จะแสดงให้เห็นว่าความมุ่งมั่นของคุณที่นอกเหนือจากการเรียกเก็บเงิน แต่ยังใส่ใจในความสำเร็จโดยรวมของลูกค้า
เสนอความยืดหยุ่นในสัญญา: แม้ว่าสัญญาที่ได้มาตรฐานจะสามารถปรับกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ แต่การแสดงความสามารถในการปรับตัวก็อาจดึงดูดใจผู้ใช้ โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ที่มีความต้องการที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งหมายถึงการจัดทำข้อตกลงเฉพาะ การนำเสนอค่าบริการแบบแบ่งระดับ หรือการปรับแต่งฟีเจอร์ต่างๆ ทั้งนี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อรองรับความต้องการที่เฉพาะเจาะจงได้ดีขึ้น
ทําการตรวจสอบและประเมินเป็นประจํา: การตรวจสอบกระบวนการเรียกเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยปกป้องความถูกต้องในขณะที่เปิดเผยรูปแบบ ความผิดปกติ และความไม่มีประสิทธิภาพที่อาจมองข้ามไป
สนับสนุนลูกค้าด้วยเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบด้วยตัวเอง: การจัดหาเครื่องมือที่ให้ลูกค้าสามารถติดตามและจัดการการใช้งานของตนอาจเป็นข้อเสนอที่มีคุณค่าอย่างมาก เครื่องมือเหล่านี้นั้นมีตั้งแต่แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ไปจนถึงแดชบอร์ดเว็บ เมื่อลูกค้ารู้สึกว่าควบคุมได้ ก็จะยกระดับประสบการณ์ของพวกเขาและลดภาระของทีมสนับสนุนลูกค้า
กระตุ้นและดําเนินการตามความคิดเห็นของลูกค้า: สร้างช่องทางสําหรับการเปิดรับความคิดเห็นของลูกค้า เช่น แบบสํารวจ เซสชันแสดงความคิดเห็น และช่องทางแบบเปิด ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือการแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนตามข้อเสนอแนะนี้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกของการสร้างสรรค์ร่วมกัน เสริมสร้างความไว้วางใจ และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับผู้ใช้
การเปลี่ยนผ่านไปสู่โมเดลการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานด้วยความระมัดระวังและตั้งใจ จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและใส่ใจในรายละเอียด รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะให้บริการโครงสร้างการเรียกเก็บเงินที่ยุติธรรม
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการเรียกเก็บเงินตามการใช้งานสําหรับธุรกิจ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ