การเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจในประเทศไทยหรือในต่างแดนถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผนและมีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจ เสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้ทั้งกับทางลูกค้าและเหล่าพันธมิตรทางธุรกิจ อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการจัดการธุรกรรมการเงินและการบัญชีให้รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่าบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจคืออะไร ประเภทของบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจในประเทศไทย ประโยชน์ของการเปิดบัญชีสำหรับธุรกิจ ขั้นตอนการเปิดบัญชีสำหรับธุรกิจและเอกสารที่จำเป็น รวมถึงแนะนำบริการที่ช่วยรองรับบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจและบริการต่างๆ สำหรับผู้ค้า เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางธุรกิจผ่านการเลือกใช้บัญชีธนาคารที่เหมาะสม
เนื้อหาหลักในบทความ
- บัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจคืออะไร
- ประเภทบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจในประเทศไทย
- ประโยชน์ในการเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจ
- วิธีเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจ
- SStripe Payments ช่วยธุรกิจใหม่ของคุณได้อย่างไร
บัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจคืออะไร
บัญชีธนาคารที่เปิดขึ้นเพื่อใช้ดำเนินธุรกรรมการเงินสำหรับธุรกิจ โดยการจัดสรรแยกการเงินส่วนตัวและธุรกิจออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เพื่อให้การจัดการการเงินและการทำบัญชีของธุรกิจเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้การคำนวณภาษีและการตรวจสอบทางการเงินเป็นไปอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ยังสามารถใช้โอนเงินและรับชำระเงินจากลูกค้า ให้ธุรกรรมเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับบัญชีบุคคลทั่วไป ธุรกิจสามารถเปิดบัญชีธนาคารได้หลากหลายประเภทรวมถึงบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์ เพื่อจัดการรายรับและรายจ่ายต่างๆ เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าโฆษณาและค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ภาษีที่ต้องชำระ การสมัครขอสินเชื่อ การรับรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ หรือการรับเงินจากนักลงทุน เป็นต้น
ประเภทบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจในประเทศไทย
ธนาคารต่างๆ ในประเทศไทยมีประเภทบัญชีสำหรับธุรกิจให้ผู้ประกอบการเลือกใช้หลักๆ ดังนี้
บัญชีกระแสรายวันธุรกิจ (Business Checking Account): บัญชีที่ใช้สำหรับธุรกรรมทั่วไปของธุรกิจ เหมาะสำหรับการใช้งานที่มีความเคลื่อนไหวทางการเงินบ่อย เช่น การรับเงินจากลูกค้า การจ่ายค่าสินค้า และการจ่ายเงินเดือนพนักงาน บัญชีนี้ไม่ได้รับดอกเบี้ย แต่สามารถใช้สำหรับธุรกรรมการเงินได้อย่างสะดวก
บัญชีออมทรัพย์ธุรกิจ (Business Savings Account): ใช้เก็บเงินและรับดอกเบี้ยจากยอดเงินเพื่อการออมทรัพย์ เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวทางการเงิน การมีบัญชีออมทรัพย์แยกต่างหากช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างกองทุนฉุกเฉินและเก็บเงินไว้สำหรับเป้าหมายในอนาคต
บัญชีธุรกิจสำหรับการลงทุน (Business Investment Account): ใช้สำหรับธุรกิจที่มีเป้าหมายเพื่อการลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มมูลค่าทางการเงินของธุรกิจ การใช้บัญชีประเภทนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถแยกการลงทุนออกจากบัญชีกระแสเงินสดที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจประจำวัน
บัญชีการจัดการเงินสด (Cash Management Account): บัญชีที่รวมคุณสมบัติของบัญชีกระแสรายวัน บัญชีออมทรัพย์และบัญชีลงทุนเข้าไว้ด้วยกัน เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการบัญชีที่มีวัตถุประสงค์หลากหลายในการใช้งาน ทั้งรับชำระเงิน บริหารกระแสเงินสด ใช้สำหรับการลงทุน หรือต้องการอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อการออมทรัพย์
บัญชีเงินฝากประจำธุรกิจ (Business Fixed Deposit Account): สำหรับธุรกิจที่มีก้อนเงินและไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น รับอัตราดอกเบี้ยได้สูงกว่าแต่ไม่สามารถถอนเงินได้จนกว่าจะครบกำหนดเวลา
นอกจากประเภทบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไป บางธนาคารอาจรองรับบัญชีประเภทอื่นๆ ที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ยกตัวอย่างเช่น
บัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit Account): ช่วยลดความเสี่ยงจากค่าเงินที่ผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสกุลเงินต่างประเทศ
บัญชีเงินฝากธุรกิจเพื่อการเฉพาะ (Special Purpose Business Account): สำหรับธุรกิจการนำเข้า-ส่งออก การดำเนินโครงการพิเศษ หรือธุรกิจที่ต้องการให้การรับ-จ่ายเงินเกิดขึ้นในลักษณะเฉพาะ
ประโยชน์ในการเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจ
การเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจมีผลประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
การจัดการอย่างมีระบบ: บัญชีธุรกิจสามารถแยกการเงินส่วนตัวออกจากธุรกิจได้อย่างชัดเจน ช่วยให้การบริหารจัดการงบการดำเนินธุรกิจและการทำบัญชีเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การแยกบัญชียังช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถวิเคราะห์ผลดำเนินงานได้อย่างละเอียดและแม่นยำขึ้นอีกด้วย
เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การใช้บัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นทางการ เพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสให้กับธุรกิจในการทำธุรกรรมกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ผ่านบัญชีที่ระบุชื่อธุรกิจ
บริหารกระแสเงินสด: ธุรกิจสามารถตรวจสอบรายรับและรายจ่ายของธุรกิจได้ง่ายขึ้น โดยสามารถดูสถานะการเงินของธุรกิจในแต่ละช่วงเวลา ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถควบคุมการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับความเป็นมาของกระแสการเงินในธุรกิจช่วยให้เจ้าของสามารถวางแผนการเงินได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้การติดตามสถานะการชำระหนี้และการชำระเงินให้กับเจ้าหนี้ได้อย่างชัดเจน
ประโยชน์ทางภาษี: การแยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัวช่วยให้สามารถระบุรายได้และค่าใช้จ่ายของธุรกิจได้อย่างชัดเจน ช่วยให้การคำนวณภาษีเป็นไปได้อย่างแม่นยำและลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการคำนวณ ลดความซับซ้อนและไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือความล่าช้าในการยื่นภาษี
การเข้าถึงสินเชื่อ: ธุรกิจที่มีบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจมักจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อหรือวงเงินเครดิตจากธนาคารได้ง่ายขึ้นโดยการมีประวัติการเงินที่ชัดเจนจากบัญชีธุรกิจ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการขยายธุรกิจหรือเมื่อต้องการเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ยังมีโอกาสจะได้รับเงื่อนไขสินเชื่อที่ดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าและระยะเวลาการชำระหนี้ที่ยืดหยุ่น
บริการทางการเงิน: บัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจมักจะมีบริการพิเศษที่มอบความสะดวกและตอบสนองความต้องการเฉพาะของธุรกิจ เช่น การฝากเงินหรือถอนเงินจำนวนมาก บริการโอนเงินระหว่างประเทศ การบริหารเงินสด หรือ บริการจัดการเช็คสำหรับการชำระหนี้หรือรับชำระจากลูกหนี้ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในกรณีล่าช้าหรือเช็คมีปัญหา
ระบบความปลอดภัย: การเก็บเงินในบัญชีธนาคารช่วยลดความเสี่ยงจากการเก็บเงินสด ธนาคารมีระบบความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันการปลอมแปลงเอกสารหรือการโจรกรรมข้อมูลจากบัญชีธุรกิจ นอกจากนี้ธนาคารมักมีระบบติดตามและตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งช่วยป้องกันการทุจริตหรือการฉ้อโกงได้
วิธีเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจ
การเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจในประเทศไทยนั้น โดยทั่วไปสามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอน ดังนี้
เลือกประเภทบัญชี: เลือกประเภทบัญชีที่เหมาะสมกับลักษณะการดำเนินธุรกิจ ควรมีการศึกษาเพื่อเลือกประเภทบัญชีที่ตรงกับจุดประสงค์และความต้องการของธุรกิจ เช่น บัญชีกระแสรายวัน บัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากประจำ
เลือกธนาคารและสาขา: พิจารณาจากประเภทบัญชีสำหรับธุรกิจที่ต้องการ ความสะดวกในการติดต่อ การให้บริการ ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขของแต่ละธนาคารก่อนการเปิดบัญชี
เตรียมเอกสาร: เอกสารประกอบการเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละธนาคาร ดังนั้นควรตรวจสอบกับธนาคารที่คุณเลือกใช้บริการเพื่อความครบถ้วนของเอกสาร ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียมโดยทั่วไป มีดังนี้
- บัตรประชาชนของผู้ขอเปิดบัญชี
- เอกสารแสดงถึงที่อยู่ของธุรกิจ เช่น บิลค่าไฟฟ้า สัญญาเช่าสถานที่ หรือสัญญาซื้อขาย
- เอกสารทางการเงินที่ธนาคารกำหนด เช่น เอกสารแสดงรายได้ แหล่งที่มาของเงินทุน หรือ หลักฐานการเสียภาษี เป็นต้น
- และเอกสารที่ต้องใช้ตามแต่ละรูปแบบองค์กรธุรกิจ:
- บัตรประชาชนของผู้ขอเปิดบัญชี
|
รูปแบบธุรกิจ |
เอกสารประกอบการเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจ |
|
บุคคลธรรมดา |
บัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทาง (กรณีชาวต่างชาติ) สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาใบทะเบียนพาณิชย์ (ถ้ามี) |
|
ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล |
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของหุ้นส่วนผู้มีอำนาจลงนามทุกคน สำเนาหนังสือจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคล และใบอนุญาตประกอบธุรกิจ (ถ้ามี) |
|
นิติบุคคล |
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของกรรมการ สำเนาหนังสือรับรองบริษัท หรือใบอนุญาตประกอบธุรกิจ และบัญชีรายชื่อกรรมการหรือรายชื่อผู้มีอำนาจลงนาม |
ยื่นเอกสารและเปิดบัญชี: ยื่นคำขอเปิดบัญชีที่ต้องการโดยการกรอกแบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชีตามที่ทางธนาคารกำหนดและนำเอกสารที่เตรียมไว้ไปยื่นที่สาขาธนาคารที่เลือก (บางธนาคารอาจมีบริการเปิดบัญชีออนไลน์สำหรับธุรกิจ) โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารจะตรวจสอบเอกสารและดำเนินการเปิดบัญชีให้
ยืนยันตัวตน: ผู้มีอำนาจลงนามต้องแสดงตนและยืนยันตัวตนที่สาขาธนาคาร โดยแสดงบัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง หรือใช้หนังสือเดินทางที่มีอายุไม่น้อยกว่า 30 วัน (กรณีชาวต่างชาติ) หลังจากยืนยันตัวตนแล้วธนาคารจะส่ง SMS สามารถยืนยันการเปิดบัญชีเพื่อเริ่มใช้งาน
นอกจากนี้การเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจในประเทศไทยอาจมีข้อกำหนดเรื่องเงินฝากขั้นต่ำ ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละธนาคารและประเภทบัญชี เช่น บัญชีออมทรัพย์สำหรับธุรกิจอาจไม่มีจำนวนฝากขั้นต่ำ แต่บัญชีประเภทอื่นๆ เช่น บัญชีกระแสรายวันมักมีข้อกำหนดจำนวนเงินฝากขั้นต่ำที่ 10,000 บาทขึ้นไป
Stripe Payments ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร
Stripe Payments มอบโซลูชันการชำระเงินระดับโลกแบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจใดๆ ตั้งแต่สตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตไปจนถึงองค์กรระดับโลกรับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกได้
Stripe Payments สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์การชำระเงินของคุณ: สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าและประหยัดเวลาในการทำงานวิศวกรรมได้หลายพันชั่วโมงด้วย UI การชำระเงินที่สร้างไว้ให้แล้ว, สิทธิ์เข้าถึงวิธีการชำระเงินมากกว่า 125 วิธี และ Link ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่สร้างโดย Stripe
- ขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น: เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกและลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายสกุลเงินด้วยตัวเลือกการชำระเงินข้ามพรมแดนที่มีให้บริการใน 195 ประเทศและกว่า 135 สกุลเงิน
- รวมการชำระเงินที่จุดขายและทางออนไลน์ไว้ด้วยกัน: สร้างประสบการณ์การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมในช่องทางออนไลน์และที่จุดขายเพื่อปรับแต่งการโต้ตอบ ตอบแทนความภักดี และเพิ่มรายได้
- ปรับปรุงประสิทธิภาพการชำระเงิน: เพิ่มรายรับด้วยเครื่องมือการชำระเงินที่กำหนดเองได้และปรับแต่งได้ง่ายๆ ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบไม่ต้องเขียนโค้ดและความสามารถขั้นสูงเพื่อเพิ่มอัตราการอนุมัติ
- เดินหน้าได้เร็วขึ้นด้วยแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและเชื่อถือได้เพื่อการเติบโต: สร้างบนแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อขยับขยายไปพร้อมกับคุณ โดยมีระยะเวลาให้บริการที่แทบจะไม่หยุดทำงานเลย และมีความน่าเชื่อถือระดับแนวหน้าของวงการ
Stripe ยังมีบริการสำหรับผู้ค้าด้วยการให้บริการส่งเสริมธุรกิจพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงิน ตั้งแต่การประมวลผลการชำระเงิน, การเคลื่อนย้ายเงินเข้าและออกจากบัญชีผู้ค้า,ระบบบันทึกการขาย (POS) ไปจนถึงบริการอื่นๆ เช่น โปรแกรมอีคอมเมิร์ซและระบบสะสมคะแนน ซึ่งบริการสำหรับผู้ค้านั้นจะได้รับการปรับแต่งเพื่อให้สอดคล้องและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe Payments สามารถช่วยให้คุณรับการชำระเงินออนไลน์และที่จุดขายได้ หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ