จากข้อมูลของ Baymard Institute อัตราการละทิ้งรถเข็นทั่วโลกบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอาจสูงกว่า 70% โดยประมาณ นั่นหมายความว่าผู้ใช้อีคอมเมิร์ซ 7 ใน 10 รายหยิบผลิตภัณฑ์ใส่รถเข็นแล้วออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อ
การละทิ้งรถเข็นนั้นมีสาเหตุหลายประการ เช่น วิธีการชําระเงินที่ผู้ใช้ต้องการไม่พร้อมให้บริการ ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งทําให้ยอดรวมสูงกว่าที่ผู้ใช้คิดไว้ หรือกระบวนการชําระเงินใช้เวลานาน ส่วน 3D Secure ที่เครือข่ายบัตรนํามาใช้ครั้งแรกในปี 2001 เป็น 3D Secure 1.0 ก็ทำให้เกิดการละทิ้งรถเข็นได้เช่นกัน
จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) การประกาศใช้ 3D Secure เวอร์ชันใหม่ (3D Secure 2.0) จะกลายเป็นข้อบังคับสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งหมดภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2025 เพื่อเป็น "มาตรการรับมือการใช้บัตรเครดิตที่เป็นการฉ้อโกง" บทความนี้จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการละทิ้งรถเข็นกับ 3D Secure วิธีที่ธุรกิจสามารถใช้ 3D Secure 2.0 ไปพร้อมๆ กับการหลีกเลี่ยงการละทิ้งรถเข็น และข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากมาย
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- 3D Secure กับการละทิ้งรถเข็น
- เหตุผลที่ 3D Secure ทำให้อัตราการละทิ้งรถเข็นสูงขึ้น
- 3D Secure 2.0 จะลดอัตราการละทิ้งรถเข็นลงได้หรือไม่
- วิธีป้องกันการละทิ้งรถเข็นหลังจากนำ 3D Secure มาใช้
3D Secure กับการละทิ้งรถเข็น
เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อผลิตภัณฑ์เรียกว่า "อัตราการละทิ้งรถเข็นช้อปปิ้ง" หรือ "อัตราการละทิ้งรถเข็น" หากอัตราการละทิ้งสูงก็หมายความว่าผู้ใช้จํานวนมากออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อสินค้า ซึ่งอาจทําให้สูญเสียโอกาสในการขายและรายได้ลดลง การละทิ้งรถเข็นเกิดขึ้นบ่อยครั้งบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหลายแห่ง
อย่างที่อธิบายไว้ในย่อหน้าแรกๆ ของบทความนี้ ในภาพรวมนั้น การละทิ้งรถเข็นสินค้าเกิดขึ้นหลายกรณีด้วยกัน 3D Secure 1.0 อาจเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งในการละทิ้งรถเข็นเนื่องจากขั้นตอนการชำระเงินใช้เวลานานกว่าปกติ ส่งผลให้มีความคาดหวังเกี่ยวกับ 3D Secure 2.0 มากขึ้น แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนมาใช้ 3D Secure 2.0 ปัญหาการละทิ้งรถเข็นก็ยังไม่หมดไปอยู่ดี
METI ออกประกาศว่า 3D Secure 2.0 จะกลายเป็นข้อบังคับสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซทุกรายภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2025 เมื่อมีการนํา 3D Secure ไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการละทิ้งรถเข็น
เหตุผลที่ 3D Secure ทำให้อัตราการละทิ้งรถเข็นสูงขึ้น
ใช้เวลานานและไม่สะดวก
ผู้ซื้อต้องการให้กระบวนการซื้อเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การนำ 3D Secure มาใช้ทำให้ขั้นตอนการซื้อสินค้าใช้เวลานานกว่าเดิม ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกยุ่งยาก
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราอยากจะหลีกเลี่ยงกระบวนการที่ซับซ้อนและทำการซื้อให้เสร็จในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีเวลาน้อยด้วยแล้ว ดังนั้น หากผู้ซื้อที่ไม่ค่อยมีเวลาถูกขอให้ตรวจสอบตัวตนโดยใช้ 3D Secure ผู้ซื้ออาจจะละทิ้งรถเข็นในท้ายที่สุด
Shoppers อาจจะลืมรหัสผ่าน 3D Secure ของตัวเอง
3D Secure กําหนดให้ต้องระบุข้อมูลการตรวจสอบสิทธิ์ดังต่อไปนี้
- รหัสผ่านการตรวจสอบสิทธิ์
- ข้อความส่วนตัว (รหัสผ่านที่ลูกค้าตั้งไว้เมื่อลงทะเบียน)
- รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว
ผู้ซื้ออาจไม่อยากป้อนข้อมูลการตรวจสอบสิทธิ์นี้ เนื่องจากจํายาก ยกเว้นเป็นรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว
การยืนยันตัวตนแบบ 3D Secure อาจไม่สำเร็จ
หากผู้ใช้เห็นข้อความ "3D Secure ไม่สําเร็จ" ปรากฏบนหน้าจอเนื่องจากข้อผิดพลาดในการป้อนรหัสผ่าน หรือเนื่องจากบัตรเครดิตไม่รองรับ 3D Secure ลูกค้าก็จะไม่สามารถชําระเงินบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซนั้นได้ แม้ว่าจะต้องการซื้อสินค้าจริงๆ ก็ตาม ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผู้ใช้อาจต้องออกจากเว็บไซต์ดังกล่าวไป
นอกจากนี้ หากเกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซทํางานผิดปกติ ลูกค้าอาจหยุดใช้งานเว็บไซต์ไปโดยปริยายเพราะมีข้อกังขาเกี่ยวกับความปลอดภัยของเว็บไซต์
ผู้ซื้ออาจไม่ไว้วางใจ 3D Secure หากไม่คุ้นเคย
รายงาน “การเสริมสร้างมาตรการต่อต้านการใช้หมายเลขบัตรเครดิตโดยมิชอบ ฯลฯ” (หน้า 29) ของ METI ระบุว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซเกือบทั้งหมดในสหภาพยุโรปต่างก็ใช้ 3D Secure 2.0 แต่ในประเทศญี่ปุ่น การยอมรับไม่เร็วเท่ากับยุโรป ผู้ใช้อาจรู้สึกลังเลไม่อยากใช้หน้าจอตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่คุ้นเคยของ 3D Secure 2.0
3D Secure 2.0 จะลดอัตราการละทิ้งรถเข็นลงได้หรือไม่
วิธีการทํางานของ 3D Secure 2.0
3D Secure 2.0 เป็นที่รู้กันดีว่ามีความเสถียรและสะดวกมากกว่า เนื่องจากมีวิธีการตรวจสอบสิทธิ์มากกว่า 3D Secure 1.0 ที่เป็น 3D Secure เวอร์ชันเดิม
3D Secure 1.0 กําหนดให้ธุรกรรมบัตรเครดิตทั้งหมดต้องได้รับการตรวจสอบสิทธิ์โดย ID และรหัสผ่านที่ผู้ใช้กําหนดไว้ล่วงหน้า ดังนั้น ทุกครั้งที่ผู้ใช้ทําการซื้อบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ พวกเขาจะต้องตรวจสอบสิทธิ์ผ่านหน้าจอการตรวจสอบสิทธิ์แบบป็อปอัปพิเศษบนแท็บเบราว์เซอร์ปัจจุบัน ซึ่งบางครั้งก็ทําให้รถเข็นถูกละทิ้งเนื่องจากผู้ใช้ลืมรหัสผ่านหรือการกรอกรหัสผ่านใช้เวลานาน (แบรนด์บัตรต่างประเทศหยุดรองรับ 3D Secure 1.0 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022)
ในทางตรงกันข้าม 3D Secure 2.0 จะดําเนินการตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติมเฉพาะในกรณีที่ระบบถือว่าธุรกรรมมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นการฉ้อโกงเท่านั้น ระบบจะพิจารณาความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงโดยอิงตามข้อมูล เช่น ประวัติการใช้งานบัตร ที่อยู่ในการเรียกเก็บเงิน และวันเกิดของผู้ซื้อ รวมถึงสถานที่และเวลาที่ซื้อ รวมถึงเบราว์เซอร์และอุปกรณ์ที่ใช้ วิธีนี้เรียกว่าการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยง
นอกจากนี้ 3D Secure 2.0 ยังรองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก การสแกนรหัส QR และการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวผ่านข้อความ (SMS) และแอปต่างๆ แทนที่จะใช้รหัสผ่านที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้า คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยลดความจําเป็นที่ผู้ใช้บัตรเครดิตจะต้องสร้างรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกัน ดังนั้นจึงคาดว่าจะสามารถลดอัตราการละทิ้งรถเข็นได้
สําหรับธุรกิจแล้ว วิธีการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของการละทิ้งรถเข็นเท่านั้น แต่ยังป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า 3D Secure 1.0 ด้วย

3D Secure 2.0 กับความเสี่ยงในการละทิ้งรถเข็น
การนำ 3D Secure 2.0 มาใช้ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงในการละทิ้งรถเข็นหมดไป เพราะแม้จะเป็นธุรกรรมปกติทั่วไป แต่ระบบก็อาจสงสัยว่าธุรกรรมนั้นเป็นการฉ้อโกงในขั้นตอนการชําระเงิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้จะมีการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ซึ่งสะดวกและปลอดภัยกว่า 3D Secure 1.0 ผู้ใช้ก็อาจยังคงได้รับแจ้งให้ป้อนรหัสผ่าน
มีความเป็นไปได้สูงที่การตรวจจับการฉ้อโกงในธุรกรรมปกติทำให้ลูกค้าไม่อยากกลับมาซื้อสินค้าอีกในอนาคต ดังนั้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงต้องเข้าใจว่าการละทิ้งรถเข็นจำนวนหนึ่งๆ นั้นเป็นสิ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นอกจากนี้ การใช้ 3D Secure 2.0 ยังไม่ได้รับประกันว่าจะป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากวิธีการฉ้อโกงมีความซับซ้อนและตรวจจับยากขึ้นทุกๆ ปี และมีความเป็นไปได้ที่การตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ถูกข้ามไป
วิธีป้องกันการละทิ้งรถเข็นหลังจากนำ 3D Secure มาใช้
3D Secure มีความสําคัญต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ขณะซื้อสินค้าออนไลน์
การบังคับใช้ 3D Secure 2.0 จะส่งผลให้ผู้ใช้ต้องดําเนินการตรวจสอบสิทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นธุรกิจจึงต้องหามาตรการรับมือมาป้องกันการละทิ้งรถเข็นที่เพิ่มขึ้น
การใช้ระบบตรวจจับการฉ้อโกง
ดังที่กล่าวมาแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงจะข้ามการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ได้สำเร็จ หากเกิดเหตุการณ์นี้หลายครั้ง อัตราการอนุมัติธุรกรรมโดยบริษัทผู้ออกบัตรของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจะมีแนวโน้มลดลงและอาจมีการกําหนดเกณฑ์การอนุมัติที่เข้มงวดขึ้นสําหรับธุรกรรมทุกรายการในอนาคต ทําให้ธุรกรรมถูกปฏิเสธมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้ละทิ้งรถเข็นสินค้ามากขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น เพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการละทิ้งรถเข็น เราขอแนะนําให้บริษัทอีคอมเมิร์ซใช้ระบบตรวจจับการฉ้อโกงอื่นๆ ร่วมกับ 3D Secure ระบบตรวจจับการฉ้อโกงสามารถป้องกันความเสียหายต่อเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซโดยการตรวจจับและบล็อกธุรกรรมที่อาจไม่ผ่านการยืนยันจาก 3D Secure โดยอัตโนมัติได้อย่างแม่นยํา
นอกจากนี้ระบบตรวจจับการฉ้อโกงยังช่วยลดความเสี่ยงในการละทิ้งรถเข็นของผู้ใช้ตัวจริงโดยการอนุญาตให้พวกเขาทําการชําระเงินโดยไม่ต้องตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติมหรือขั้นตอนเพิ่มเติมอื่น ๆ
การปรับปรุงขั้นตอนการชําระเงิน
นอกจากการใช้ระบบตรวจจับการฉ้อโกงแล้ว มาตรการรับมืออีกอย่างหนึ่งที่ธุรกิจสามารถนำมาใช้ป้องกันการฉ้อโกงก็คือการปรับปรุงวิธีการชําระเงิน โดยอาจจะเพิ่มจํานวนวิธีการชําระเงินและทําให้กระบวนการชําระเงินง่ายขึ้น โดยยังคงใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมอบความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า
Stripe Payments นําเสนอฟังก์ชันการประมวลผลการชําระเงินหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดําเนินการตามคําสั่งซื้อ การประมวลผลข้อมูล และการจัดการรายได้ ไม่เพียงเท่านั้น Stripe Payments ยังมีแพลตฟอร์มเดียวที่ตอบสนองความต้องการด้านการชําระเงินที่หลากหลายด้วย
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ