การละทิ้งรถเข็นเมื่อนำ 3D Secure มาใช้งาน: สาเหตุและมาตรการรับมือ

Payments
Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรใหญ่ระดับโลก

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. 3D Secure กับการละทิ้งรถเข็น
  3. เหตุผลที่ 3D Secure ทำให้อัตราการละทิ้งรถเข็นสูงขึ้น
    1. ใช้เวลานานและไม่สะดวก
    2. Shoppers อาจจะลืมรหัสผ่าน 3D Secure ของตัวเอง
    3. การยืนยันตัวตนแบบ 3D Secure อาจไม่สำเร็จ
    4. ผู้ซื้ออาจไม่ไว้วางใจ 3D Secure หากไม่คุ้นเคย
  4. 3D Secure 2.0 จะลดอัตราการละทิ้งรถเข็นลงได้หรือไม่
    1. วิธีการทํางานของ 3D Secure 2.0
    2. 3D Secure 2.0 กับความเสี่ยงในการละทิ้งรถเข็น
  5. วิธีป้องกันการละทิ้งรถเข็นหลังจากนำ 3D Secure มาใช้
    1. การใช้ระบบตรวจจับการฉ้อโกง
    2. การปรับปรุงขั้นตอนการชําระเงิน

จากข้อมูลของ Baymard Institute อัตราการละทิ้งรถเข็นทั่วโลกบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอาจสูงกว่า 70% โดยประมาณ นั่นหมายความว่าผู้ใช้อีคอมเมิร์ซ 7 ใน 10 รายหยิบผลิตภัณฑ์ใส่รถเข็นแล้วออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อ

การละทิ้งรถเข็นนั้นมีสาเหตุหลายประการ เช่น วิธีการชําระเงินที่ผู้ใช้ต้องการไม่พร้อมให้บริการ ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งทําให้ยอดรวมสูงกว่าที่ผู้ใช้คิดไว้ หรือกระบวนการชําระเงินใช้เวลานาน ส่วน 3D Secure ที่เครือข่ายบัตรนํามาใช้ครั้งแรกในปี 2001 เป็น 3D Secure 1.0 ก็ทำให้เกิดการละทิ้งรถเข็นได้เช่นกัน

จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) การประกาศใช้ 3D Secure เวอร์ชันใหม่ (3D Secure 2.0) จะกลายเป็นข้อบังคับสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งหมดภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2025 เพื่อเป็น "มาตรการรับมือการใช้บัตรเครดิตที่เป็นการฉ้อโกง" บทความนี้จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการละทิ้งรถเข็นกับ 3D Secure วิธีที่ธุรกิจสามารถใช้ 3D Secure 2.0 ไปพร้อมๆ กับการหลีกเลี่ยงการละทิ้งรถเข็น และข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากมาย

บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง

  • 3D Secure กับการละทิ้งรถเข็น
  • เหตุผลที่ 3D Secure ทำให้อัตราการละทิ้งรถเข็นสูงขึ้น
  • 3D Secure 2.0 จะลดอัตราการละทิ้งรถเข็นลงได้หรือไม่
  • วิธีป้องกันการละทิ้งรถเข็นหลังจากนำ 3D Secure มาใช้

3D Secure กับการละทิ้งรถเข็น

เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อผลิตภัณฑ์เรียกว่า "อัตราการละทิ้งรถเข็นช้อปปิ้ง" หรือ "อัตราการละทิ้งรถเข็น" หากอัตราการละทิ้งสูงก็หมายความว่าผู้ใช้จํานวนมากออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อสินค้า ซึ่งอาจทําให้สูญเสียโอกาสในการขายและรายได้ลดลง การละทิ้งรถเข็นเกิดขึ้นบ่อยครั้งบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหลายแห่ง

อย่างที่อธิบายไว้ในย่อหน้าแรกๆ ของบทความนี้ ในภาพรวมนั้น การละทิ้งรถเข็นสินค้าเกิดขึ้นหลายกรณีด้วยกัน 3D Secure 1.0 อาจเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งในการละทิ้งรถเข็นเนื่องจากขั้นตอนการชำระเงินใช้เวลานานกว่าปกติ ส่งผลให้มีความคาดหวังเกี่ยวกับ 3D Secure 2.0 มากขึ้น แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนมาใช้ 3D Secure 2.0 ปัญหาการละทิ้งรถเข็นก็ยังไม่หมดไปอยู่ดี

METI ออกประกาศว่า 3D Secure 2.0 จะกลายเป็นข้อบังคับสําหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซทุกรายภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2025 เมื่อมีการนํา 3D Secure ไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการละทิ้งรถเข็น

เหตุผลที่ 3D Secure ทำให้อัตราการละทิ้งรถเข็นสูงขึ้น

ใช้เวลานานและไม่สะดวก

ผู้ซื้อต้องการให้กระบวนการซื้อเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การนำ 3D Secure มาใช้ทำให้ขั้นตอนการซื้อสินค้าใช้เวลานานกว่าเดิม ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกยุ่งยาก

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเราอยากจะหลีกเลี่ยงกระบวนการที่ซับซ้อนและทำการซื้อให้เสร็จในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีเวลาน้อยด้วยแล้ว ดังนั้น หากผู้ซื้อที่ไม่ค่อยมีเวลาถูกขอให้ตรวจสอบตัวตนโดยใช้ 3D Secure ผู้ซื้ออาจจะละทิ้งรถเข็นในท้ายที่สุด

Shoppers อาจจะลืมรหัสผ่าน 3D Secure ของตัวเอง

3D Secure กําหนดให้ต้องระบุข้อมูลการตรวจสอบสิทธิ์ดังต่อไปนี้

  • รหัสผ่านการตรวจสอบสิทธิ์
  • ข้อความส่วนตัว (รหัสผ่านที่ลูกค้าตั้งไว้เมื่อลงทะเบียน)
  • รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว

ผู้ซื้ออาจไม่อยากป้อนข้อมูลการตรวจสอบสิทธิ์นี้ เนื่องจากจํายาก ยกเว้นเป็นรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว

การยืนยันตัวตนแบบ 3D Secure อาจไม่สำเร็จ

หากผู้ใช้เห็นข้อความ "3D Secure ไม่สําเร็จ" ปรากฏบนหน้าจอเนื่องจากข้อผิดพลาดในการป้อนรหัสผ่าน หรือเนื่องจากบัตรเครดิตไม่รองรับ 3D Secure ลูกค้าก็จะไม่สามารถชําระเงินบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซนั้นได้ แม้ว่าจะต้องการซื้อสินค้าจริงๆ ก็ตาม ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผู้ใช้อาจต้องออกจากเว็บไซต์ดังกล่าวไป

นอกจากนี้ หากเกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซทํางานผิดปกติ ลูกค้าอาจหยุดใช้งานเว็บไซต์ไปโดยปริยายเพราะมีข้อกังขาเกี่ยวกับความปลอดภัยของเว็บไซต์

ผู้ซื้ออาจไม่ไว้วางใจ 3D Secure หากไม่คุ้นเคย

รายงาน “การเสริมสร้างมาตรการต่อต้านการใช้หมายเลขบัตรเครดิตโดยมิชอบ ฯลฯ” (หน้า 29) ของ METI ระบุว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซเกือบทั้งหมดในสหภาพยุโรปต่างก็ใช้ 3D Secure 2.0 แต่ในประเทศญี่ปุ่น การยอมรับไม่เร็วเท่ากับยุโรป ผู้ใช้อาจรู้สึกลังเลไม่อยากใช้หน้าจอตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่คุ้นเคยของ 3D Secure 2.0

3D Secure 2.0 จะลดอัตราการละทิ้งรถเข็นลงได้หรือไม่

วิธีการทํางานของ 3D Secure 2.0

3D Secure 2.0 เป็นที่รู้กันดีว่ามีความเสถียรและสะดวกมากกว่า เนื่องจากมีวิธีการตรวจสอบสิทธิ์มากกว่า 3D Secure 1.0 ที่เป็น 3D Secure เวอร์ชันเดิม

3D Secure 1.0 กําหนดให้ธุรกรรมบัตรเครดิตทั้งหมดต้องได้รับการตรวจสอบสิทธิ์โดย ID และรหัสผ่านที่ผู้ใช้กําหนดไว้ล่วงหน้า ดังนั้น ทุกครั้งที่ผู้ใช้ทําการซื้อบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ พวกเขาจะต้องตรวจสอบสิทธิ์ผ่านหน้าจอการตรวจสอบสิทธิ์แบบป็อปอัปพิเศษบนแท็บเบราว์เซอร์ปัจจุบัน ซึ่งบางครั้งก็ทําให้รถเข็นถูกละทิ้งเนื่องจากผู้ใช้ลืมรหัสผ่านหรือการกรอกรหัสผ่านใช้เวลานาน (แบรนด์บัตรต่างประเทศหยุดรองรับ 3D Secure 1.0 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022)

ในทางตรงกันข้าม 3D Secure 2.0 จะดําเนินการตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติมเฉพาะในกรณีที่ระบบถือว่าธุรกรรมมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นการฉ้อโกงเท่านั้น ระบบจะพิจารณาความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงโดยอิงตามข้อมูล เช่น ประวัติการใช้งานบัตร ที่อยู่ในการเรียกเก็บเงิน และวันเกิดของผู้ซื้อ รวมถึงสถานที่และเวลาที่ซื้อ รวมถึงเบราว์เซอร์และอุปกรณ์ที่ใช้ วิธีนี้เรียกว่าการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยง

นอกจากนี้ 3D Secure 2.0 ยังรองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยไบโอเมตริก การสแกนรหัส QR และการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียวผ่านข้อความ (SMS) และแอปต่างๆ แทนที่จะใช้รหัสผ่านที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้า คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยลดความจําเป็นที่ผู้ใช้บัตรเครดิตจะต้องสร้างรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกัน ดังนั้นจึงคาดว่าจะสามารถลดอัตราการละทิ้งรถเข็นได้

สําหรับธุรกิจแล้ว วิธีการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของการละทิ้งรถเข็นเท่านั้น แต่ยังป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า 3D Secure 1.0 ด้วย

How 3D Secure 2.0’s risk-based authentication works - 3D Secure 2.0 authenticates a credit card user’s identity as needed, based on their fraud risk; the level of fraud risk is based on various pieces of information about the credit card user.

3D Secure 2.0 กับความเสี่ยงในการละทิ้งรถเข็น

การนำ 3D Secure 2.0 มาใช้ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงในการละทิ้งรถเข็นหมดไป เพราะแม้จะเป็นธุรกรรมปกติทั่วไป แต่ระบบก็อาจสงสัยว่าธุรกรรมนั้นเป็นการฉ้อโกงในขั้นตอนการชําระเงิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้จะมีการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ซึ่งสะดวกและปลอดภัยกว่า 3D Secure 1.0 ผู้ใช้ก็อาจยังคงได้รับแจ้งให้ป้อนรหัสผ่าน

มีความเป็นไปได้สูงที่การตรวจจับการฉ้อโกงในธุรกรรมปกติทำให้ลูกค้าไม่อยากกลับมาซื้อสินค้าอีกในอนาคต ดังนั้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงต้องเข้าใจว่าการละทิ้งรถเข็นจำนวนหนึ่งๆ นั้นเป็นสิ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

นอกจากนี้ การใช้ 3D Secure 2.0 ยังไม่ได้รับประกันว่าจะป้องกันการฉ้อโกงได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากวิธีการฉ้อโกงมีความซับซ้อนและตรวจจับยากขึ้นทุกๆ ปี และมีความเป็นไปได้ที่การตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ถูกข้ามไป

วิธีป้องกันการละทิ้งรถเข็นหลังจากนำ 3D Secure มาใช้

3D Secure มีความสําคัญต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ขณะซื้อสินค้าออนไลน์

การบังคับใช้ 3D Secure 2.0 จะส่งผลให้ผู้ใช้ต้องดําเนินการตรวจสอบสิทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นธุรกิจจึงต้องหามาตรการรับมือมาป้องกันการละทิ้งรถเข็นที่เพิ่มขึ้น

การใช้ระบบตรวจจับการฉ้อโกง

ดังที่กล่าวมาแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกงจะข้ามการตรวจสอบสิทธิ์ตามความเสี่ยงของ 3D Secure 2.0 ได้สำเร็จ หากเกิดเหตุการณ์นี้หลายครั้ง อัตราการอนุมัติธุรกรรมโดยบริษัทผู้ออกบัตรของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจะมีแนวโน้มลดลงและอาจมีการกําหนดเกณฑ์การอนุมัติที่เข้มงวดขึ้นสําหรับธุรกรรมทุกรายการในอนาคต ทําให้ธุรกรรมถูกปฏิเสธมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้ละทิ้งรถเข็นสินค้ามากขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้น เพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการละทิ้งรถเข็น เราขอแนะนําให้บริษัทอีคอมเมิร์ซใช้ระบบตรวจจับการฉ้อโกงอื่นๆ ร่วมกับ 3D Secure ระบบตรวจจับการฉ้อโกงสามารถป้องกันความเสียหายต่อเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซโดยการตรวจจับและบล็อกธุรกรรมที่อาจไม่ผ่านการยืนยันจาก 3D Secure โดยอัตโนมัติได้อย่างแม่นยํา

นอกจากนี้ระบบตรวจจับการฉ้อโกงยังช่วยลดความเสี่ยงในการละทิ้งรถเข็นของผู้ใช้ตัวจริงโดยการอนุญาตให้พวกเขาทําการชําระเงินโดยไม่ต้องตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติมหรือขั้นตอนเพิ่มเติมอื่น ๆ

การปรับปรุงขั้นตอนการชําระเงิน

นอกจากการใช้ระบบตรวจจับการฉ้อโกงแล้ว มาตรการรับมืออีกอย่างหนึ่งที่ธุรกิจสามารถนำมาใช้ป้องกันการฉ้อโกงก็คือการปรับปรุงวิธีการชําระเงิน โดยอาจจะเพิ่มจํานวนวิธีการชําระเงินและทําให้กระบวนการชําระเงินง่ายขึ้น โดยยังคงใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมอบความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า

Stripe Payments นําเสนอฟังก์ชันการประมวลผลการชําระเงินหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดําเนินการตามคําสั่งซื้อ การประมวลผลข้อมูล และการจัดการรายได้ ไม่เพียงเท่านั้น Stripe Payments ยังมีแพลตฟอร์มเดียวที่ตอบสนองความต้องการด้านการชําระเงินที่หลากหลายด้วย

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe