บุคคลหรือกลุ่มบุคคลจะกระทำการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง เมื่อพวกเขาบิดเบือนข้อมูลของตนเองหรือจัดการบัญชีของตนเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน โดยพวกเขาอาจการสร้างตัวตนปลอม การเพิ่มรายได้เกินจริงในใบสมัครสินเชื่อ หรือจงใจไม่รายงานการเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเงินเพื่อให้ยังคงได้รับเครดิตหรือสิทธิประโยชน์ต่อไป ซึ่งแตกต่างจากการฉ้อโกงโดยบุคคลที่สาม เนื่องจากผู้กระทำจะใช้ข้อมูลของผู้อื่น ทั้งนี้ การฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงนั้นเกิดจากเจ้าของบัญชีเองที่กระทำต่อธุรกิจหรือสถาบันการเงิน
การฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง สามารถสร้างความสูญเสียและต้นทุนการดำเนินงานจำนวนมากให้กับธุรกิจ ทั้งจากการฉ้อโกงโดยตรงและจากความพยายามในการตรวจจับและป้องกัน นอกจากนี้ยังพบได้อย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น จากการสำรวจของวีซ่า ปี 2023 พบว่าธุรกิจขนาดเล็ก 9 ใน 10 ของสหราชอาณาจักรได้รายงานว่าตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงภายในระยะเวลา 12 เดือน ในคู่มือนี้ เราจะอธิบายว่า การฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงนั้นทำงานอย่างไร ผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร และวิธีการนำมาตรการป้องกันการทุจริตที่มีประสิทธิภาพมาใช้
เนื้อหาหลักในบทความนี้
- วิธีการทำงานของการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
- การฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร
- กลยุทธ์ในการลดการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
- วิธีใช้มาตรการการป้องกันการฉ้อโกงที่มีประสิทธิภาพ
- ความท้าทายในการระบุและรับมือกับการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
การฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงทำงานอย่างไร
ในการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้กระทำจะบิดเบือนข้อมูลประจำตัวหรือให้ข้อมูลเท็จเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม หรือผิดกฎหมาย โดยการฉ้อโกงประเภทนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่นดังนี้
การฉ้อโกงในการสมัคร: ผู้กระทำจะกรอกข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในใบสมัครใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น สินเชื่อ บัตรเครดิต หรือสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนอาจรวมถึงการใส่รายได้เกินจริง การสร้างประวัติการทำงานปลอม หรือการบิดเบือนประวัติสินเชื่อ
การฉ้อโกงแบบดึงเงินคืน: ลูกค้าทำการซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ภายหลังแจ้งกับบริษัทบัตรเครดิตว่าธุรกรรมนั้นเป็นการฉ้อโกงเพื่อขอเงินคืน ขณะเดียวกันยังคงเก็บสินค้าไว้หรือใช้บริการต่อ ซึ่งกรณีนี้เรียกอีกอย่างว่าการฉ้อโกงที่เป็นมิตร
การฉ้อโกงแบบยึดบัญชี (ATO): ผู้กระทำการฉ้อโกงจะหลอกล่อหรือบังคับให้เจ้าของบัญชีเปิดเผยข้อมูลบัญชีเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
การฉ้อโกงแบบสร้างตัวตนสังเคราะห์: ผู้กระทำจะสร้างตัวตนปลอมโดยใส่ข้อมูลจริงบางส่วนรวมกับข้อมูลเท็จเพื่อเปิดบัญชีและขอสินเชื่อ ซึ่งการฉ้อโกงประเภทนี้มีความซับซ้อนและตรวจจับได้ยาก
กลโกงแบบก่อหนี้แล้วหนี: ลูกค้าจะสร้างประวัติสินเชื่อที่ดีด้วยการทำธุรกรรมและชำระเงินอย่างสม่ำเสมอ เมื่อสร้างความน่าเชื่อถือจนสถาบันการเงินเพิ่มวงเงินเครดิตให้แล้ว พวกเขาจะใช้วงเงินเต็มจำนวนอย่างรวดเร็วและหายไปโดยไม่ชำระหนี้
การยื่นเคลมเท็จ: ผู้กระทำจะยื่นเคลมที่เป็นเท็จเพื่อขอเงินคืนหรือขอเงินชดเชยจากประกันภัย เช่น จงใจทำลายทรัพย์สินของตนเองหรือแกล้งว่าถูกขโมยเพื่อเรียกร้องเงินประกัน
การฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร
การฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการเงินและชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อกำไรในทันที แต่ยังส่งผลต่อความมั่นคงในระยะยาวและตำแหน่งทางกลยุทธ์ในตลาดของธุรกิจด้วย ผลกระทบหลักมีดังนี้
ความสูญเสียทางการเงิน: การสูญเสียเงินเป็นผลกระทบโดยตรงที่สุดของการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น การกู้ยืมแล้วไม่ชำระคืน การใช้วงเงินเครดิตเต็มจำนวนโดยมีเจตนาที่จะไม่ชำระ หรือการยื่นเคลมประกันเท็จ ซึ่งล้วนทำให้ธุรกิจสูญเสียเงิน
การดึงเงินคืนและการคืนเงิน: เมื่อลูกค้าโต้แย้งธุรกรรมที่ถูกต้องหรืออ้างว่าไม่ได้รับสินค้า ธุรกิจจะสูญเสียทั้งมูลค่าการขายและต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจากการดึงเงินคืน
ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น: ธุรกิจจำเป็นต้องลงทุนในระบบตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย เพื่อระบุและลดการฉ้อโกงโดยผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งรวมถึงค่าเทคโนโลยี การฝึกอบรมพนักงาน และบางครั้งต้องจ้างบริการของบริษัทอื่น
ทรัพยากรถูกเบี่ยงเบน: การจัดการกรณีฉ้อโกงและการดำเนินมาตรการป้องกันใช้เวลาและทรัพยากรของบริษัท ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนาบริการหรือขยายธุรกิจแทน
ต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับลูกค้า: ลูกค้ามักต้องรับภาระทางการเงินจากการฉ้อโกงในรูปแบบค่าธรรมเนียม อัตราดอกเบี้ย หรือเบี้ยประกันที่สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจอาจเสียความสามารถในการแข่งขันหากลูกค้าเลือกทางเลือกที่ถูกกว่า
ความเสียหายต่อชื่อเสียง: หากการฉ้อโกงประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง อาจทำให้ชื่อเสียงของธุรกิจเสียหาย ลูกค้าอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของธุรกิจในการปกป้องข้อมูลและจัดการบัญชีอย่างปลอดภัย
ผลทางกฎหมายและข้อบังคับ: ในบางเขตอำนาจศาล หากธุรกิจไม่สามารถป้องกันหรือจัดการการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจถูกตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล และต้องเสียค่าปรับ มีมาตรการลงโทษ หรือค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย
เบี้ยประกันที่สูงขึ้น: ธุรกิจที่มีการยื่นเคลมเกี่ยวกับฉ้อโกงมากขึ้น อาจต้องจ่ายเบี้ยประกันในอัตราที่สูงขึ้น
การสูญเสียสินค้า: ในกรณีที่ผู้กระทำการฉ้อโกงได้รับสินค้าแต่โกหกว่าไม่ได้รับ ธุรกิจจะสูญเสียทั้งสินค้าและรายได้
ความพึงพอใจของลูกค้าลดลง: การจัดส่งล่าช้าหรือการตรวจสอบที่เข้มงวดจากมาตรการป้องกันการฉ้อโกง อาจสร้างความไม่สะดวกหรือความไม่พอใจให้กับลูกค้าที่สุจริต
กลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงได้
การใช้ข้อมูลชีวมิติด้านพฤติกรรม: ใช้เทคโนโลยีชีวมิติด้านพฤติกรรมเพื่อตรวจสอบวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์ (เช่น รูปแบบการพิมพ์ การเคลื่อนไหวของเมาส์ หรือรูปแบบการนำทาง) เทคโนโลยีนี้สามารถตรวจจับความผิดปกติของพฤติกรรมผู้ใช้ที่อาจบ่งชี้ถึงการฉ้อโกง แม้ว่าข้อมูลประจำตัวของผู้ใช้อาจดูถูกต้องก็ตาม
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เชิงลึก: ใช้โมเดล AI ขั้นสูงและโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมากและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโมเดลเหล่านี้สามารถตรวจจับรูปแบบและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซึ่งมนุษย์หรืออัลกอริทึมทั่วไปอาจมองข้าม ตัวอย่างเช่น AI สามารถระบุความเป็นไปได้ของการฉ้อโกงโดยวิเคราะห์ความไม่สอดคล้องระหว่างข้อมูลในใบสมัครปัจจุบันกับพฤติกรรมทางการเงินในอดีตของผู้ใช้
การวิเคราะห์เครือข่าย: ใช้การวิเคราะห์เครือข่ายเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างบัญชี อุปกรณ์ และที่อยู่ IP ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเปิดเผยเครือข่ายการฉ้อโกงที่ซ่อนอยู่หรือกลุ่มตัวตนสังเคราะห์ที่การวิเคราะห์แบบดั้งเดิมอาจตรวจไม่พบ
การวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึก: ใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และการวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกเพื่อตรวจสอบการสื่อสารและโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เข้าใจบริบทของธุรกรรมและระบุความไม่สอดคล้องหรือพฤติกรรมที่มีลักษณะหลอกลวงในข้อมูลเชิงข้อความได้
เทคโนโลยีบล็อกเชน: ใช้บล็อกเชนในกระบวนการยืนยันตัวตน โดยใช้ระบบแบบกระจายศูนย์ ซึ่งธุรกิจสามารถสร้างและตรวจสอบตัวตนของลูกค้าจากข้อมูลบันทึกที่เข้าถึงได้ทั่วโลกและไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งช่วยลดโอกาสในการปลอมแปลงตัวตนและการฉ้อโกง
การตรวจจับความผิดปกติขั้นสูง: ใช้เทคนิคทางสถิติขั้นสูงและอัลกอริทึมตรวจจับความผิดปกติที่มุ่งเน้นกิจกรรมการฉ้อโกงที่ซับซ้อนและไม่เป็นแบบเส้นตรง ซึ่งโมเดลทั่วไปมักมองข้ามไป เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินอย่างกะทันหันที่ไม่สอดคล้องกับโปรไฟล์หรือประวัติของลูกค้า
สภาพแวดล้อมข้อมูลแบบบูรณาการ: สร้างสภาพแวดล้อมข้อมูลที่รวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้ได้มุมมองแบบองค์รวม ซึ่งช่วยให้การประเมินความเสี่ยงมีความครอบคลุมมากขึ้น และสามารถระบุความพยายามในการฉ้อโกงที่ซับซ้อนซึ่งอาศัยความไม่สอดคล้องของข้อมูลจากหลายแหล่ง
การวิเคราะห์และการแทรกแซงแบบเรียลไทม์: ใช้ระบบที่สามารถวิเคราะห์ธุรกรรมแบบเรียลไทม์และแทรกแซงโดยอัตโนมัติเพื่อหยุดกิจกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกง รวมถึงการตั้งค่าระบบให้ทำงานอัตโนมัติเมื่อถึงเกณฑ์ที่กำหนดหรือพบความผิดปกติ
เครือข่ายข้อมูลการฉ้อโกงแบบร่วมมือ: เข้าร่วมเครือข่ายข้อมูลการฉ้อโกงในระดับอุตสาหกรรมที่บริษัทต่างๆ จะร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการฉ้อโกงและกลยุทธ์ของผู้กระทำการฉ้อโกง ซึ่งข้อมูลที่แบ่งปันร่วมกันนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการคาดการณ์และกลยุทธ์การตอบสนองของแต่ละองค์กรได้
เทคโนโลยีด้านกฎระเบียบ (RegTech): ใช้โซลูชัน RegTech ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบที่มีอยู่และสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อความท้าทายด้านกฎระเบียบใหม่ๆ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่ามาตรการต่อต้านการฉ้อโกงนั้นมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
วิธีใช้มาตรการการป้องกันการฉ้อโกงที่มีประสิทธิภาพ
คุณต้องดำเนินการแบบเชิงรุก รอบคอบ และครอบคลุมทุกมิติของวงจรการฉ้อโกง เพื่อให้มาตรการป้องกันมีประสิทธิภาพ โดยต่อไปนี้คือแนวทางแบบทีละขั้นตอนเพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างถูกต้อง
ประเมินความเสี่ยงด้านการฉ้อโกง
ความเสี่ยงจากการฉ้อโกง: วิเคราะห์กระบวนการทางธุรกิจ ระบบ และการโต้ตอบกับลูกค้าเพื่อระบุช่องโหว่ที่ผู้กระทำการฉ้อโกงอาจนำมาใช้
ความเป็นไปได้และผลกระทบจากการฉ้อโกง: ประเมินความน่าจะเป็นของประเภทการฉ้อโกงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงที่อาจตามมา
การจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง: มุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การจัดการความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดก่อน
จัดทำกลยุทธ์การป้องกันการฉ้อโกง
แผนป้องกันการฉ้อโกง: กำหนดมาตรการเฉพาะที่คุณจะใช้เพื่อป้องกัน ตรวจจับ และตอบสนองต่อการฉ้อโกง
บทบาทและความรับผิดชอบ: ระบุอย่างชัดเจนว่าใครรับผิดชอบในการดำเนินการและติดตามแต่ละส่วนของแผน
เป้าหมายที่วัดผลได้: กำหนดเป้าหมายที่สามารถวัดผลได้เพื่อลดความสูญเสียจากการฉ้อโกงและปรับปรุงอัตราการตรวจจับ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันการฉ้อโกง: ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทเฉพาะทางเพื่อให้ช่วยประเมินความเสี่ยง พัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ และดำเนินมาตรการที่เหมาะสม
ใช้มาตรการป้องกันการฉ้อโกง
การยืนยันตัวตน: เสริมความแข็งแกร่งของกระบวนการยืนยันตัวตนลูกค้าโดยใช้การยืนยันหลายปัจจัย (MFA) การตรวจสอบเอกสาร การตรวจสอบที่อยู่ และการรับรองความถูกต้องตามความรู้
การตรวจสอบธุรกรรม: ใช้ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์เพื่อตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย เช่น ธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง การซื้อหลายครั้งในระยะเวลาสั้นๆ หรือธุรกรรมจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
การวิเคราะห์พฤติกรรม: ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อตรวจจับรูปแบบพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกค้าที่อาจบ่งชี้ถึงการฉ้อโกง
การตรวจสอบเอกลักษณ์ของอุปกรณ์: ติดตามอุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงบัญชีและแจ้งเตือนเมื่อพบกิจกรรมที่น่าสงสัย เช่น การใช้อุปกรณ์เดียวกันเข้าถึงหลายบัญชี
การวิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อระบุรูปแบบและแนวโน้ม และใช้ข้อมูลนี้ในการปรับปรุงกลยุทธ์ป้องกันการฉ้อโกง
ให้ความรู้พนักงานและลูกค้า
การฝึกอบรมพนักงาน: ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวิธีการระบุและรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การฉ้อโกงที่พบบ่อยและความสำคัญของการป้องกันการฉ้อโกง
การให้ความรู้แก่ลูกค้า: ให้ข้อมูลแก่ลูกค้าเกี่ยวกับการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง และวิธีป้องกันตนเอง พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยของบัญชี และกระตุ้นให้ลูกค้ารายงานกิจกรรมที่น่าสงสัย
ติดตามและทบทวนความพยายามในการป้องกันการฉ้อโกง
การทบทวนข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลการฉ้อโกงเพื่อระบุแนวโน้ม รูปแบบ และช่องโหว่
การตรวจสอบประสิทธิภาพ: ประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่ใช้อยู่และระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
การปรับปรุง: ปรับแผนตามผลการวิเคราะห์และการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มการฉ้อโกง
ความท้าทายในการระบุและรับมือกับการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
เนื่องจากการฉ้อโกงโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรง มักเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย จึงทำให้ตรวจจับและป้องกันได้ยากเป็นพิเศษ โดยต่อไปนี้คือความท้าทายหลักที่ธุรกิจมักเผชิญขณะจัดการกับการฉ้อโกงประเภทนี้:
เทคนิคการฉ้อโกงที่ซับซ้อน: ผู้กระทำการฉ้อโกงมักปรับเปลี่ยนวิธีการอย่างต่อเนื่องเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เช่น การสร้างตัวตนสังเคราะห์หรือการบิดเบือนข้อมูลทางการเงินส่วนบุคคล เพื่อเลียนแบบธุรกรรมที่ถูกต้องและหลบเลี่ยงการตรวจสอบเบื้องต้น เทคนิคเหล่านี้ยากต่อการระบุหากไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์ขั้นสูง
การผสานการทำงานข้อมูล: การตรวจจับการฉ้อโกงอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยมุมมองแบบองค์รวมต่อกิจกรรมของลูกค้า แต่การรวมข้อมูลจากหลายแพลตฟอร์ม ระบบ และรูปแบบข้อมูลต่างๆ เป็นงานที่ซับซ้อนในเชิงเทคนิค
ประสบการณ์ของลูกค้า: มาตรการป้องกันการฉ้อโกงที่เข้มงวดเกินไปอาจส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การระบุธุรกรรมที่ถูกต้องว่าเป็นการฉ้อโกง
การปฏิบัติตามข้อกำหนด: มีกฎหมายและข้อบังคับที่ควบคุมแนวทางการตรวจจับการฉ้อโกง โดยการปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้จะต้องมีการวางแผนและพิจารณาอย่างรอบคอบ เช่น ต้องมั่นใจว่ามาตรการต่อต้านการฉ้อโกงที่เข้มงวดนั้นจะไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกค้า
ต้นทุน: การป้องกันการฉ้อโกงอย่างมีประสิทธิภาพต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา: เครื่องมือและกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อฉ้อโกงจะเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี ดังนั้น ธุรกิจจึงต้องอัปเดตระบบตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับแนวโน้มและภัยคุกคามใหม่ๆ
คุณภาพและการเข้าถึงข้อมูล: การตรวจจับการฉ้อโกงที่มีประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับคุณภาพและความครบถ้วนของข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ล้าสมัย หรือไม่ถูกต้อง อาจทำให้ยากต่อการระบุรูปแบบการฉ้อโกงอย่างแม่นยำ
วัฒนธรรมองค์กร: วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมพฤติกรรมจริยธรรมและการตระหนักถึงความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญต่อการตรวจจับการฉ้อโกง การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและพฤติกรรมของพนักงานเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องอาศัยความพยายามและความมุ่งมั่นจากผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ