เอาเข้าจริงๆ คงไม่มีเจ้าของธุรกิจคนไหนชอบทำงานที่จำเป็นในการคำนวณภาษี (แถมยังมีเรื่องจำนวนเงินจริงๆ ที่ต้องจ่ายอีก) แต่การคำนวณและการจ่ายภาษีล้วนเป็นภาระหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งยังเป็นความรับผิดชอบที่ผู้ประกอบการต้องทำเพื่อตอบแทนการสนับสนุนอย่างล้นหลามที่สังคมมอบให้เราอีกด้วย
บางครั้ง ผู้ประกอบการมือใหม่ก็กลัวเรื่องภาระทางภาษีในการเริ่มต้นทำธุรกิจมากจนเกินไป เราอยากจะอธิบายให้คุณเข้าใจอย่างชัดเจนว่าคุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าอะไรบ้าง ตัวเลขสรุปค่าใช้จ่ายอย่างคร่าวๆ และวิธีจัดระเบียบธุรกิจของคุณเพื่อให้การคำนวณและจ่ายภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
PwC (หนึ่งในบริษัทด้านการบัญชีชั้นนำระดับโลก) ก็เป็นพาร์ทเนอร์ด้านภาษีและการบัญชีของ Stripe Atlas เนื้อหาบางส่วนในบทนี้อ้างอิงจากคู่มือภาษีของ Atlas แบบละเอียดยิ่งขึ้นที่เขียนโดย PwC ซึ่งผู้ใช้ Atlas เข้าดูได้
ภาษีมีอยู่มากมายหลายประเภทในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก คู่มือนี้จะกล่าวถึงภาษีเพียงส่วนหนึ่งซึ่งนิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาอาจต้องจ่าย ผู้ประกอบการหรือเจ้าของบริษัทอาจมีรายได้จากการทำงานให้กับบริษัท รับเงินปันผล หรือได้กำไรจากการขายหลักทรัพย์ แต่อย่าลืมจัดการกับภาระหน้าที่ส่วนบุคคลของคุณด้วย
ส่วนใหญ่แล้ว วิชาชีพด้านการบัญชีทั้งหมดก็มีไว้เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจอย่างถูกต้องว่าจะต้องจ่ายภาษีอะไรบ้าง คู่มือคร่าวๆ นี้ไม่อาจใช้แทนคำแนะนำอย่างมืออาชีพจากนักบัญชีของคุณได้ โปรดติดต่อหานักบัญชี เพราะคำแนะนำจากคนเหล่านี้จะช่วยคุณประหยัดเงินและหลุดพ้นจากความเครียดได้แทบจะแน่นอน
การวางแผนภาษีคืออะไร
การนำกฎหมายภาษีมาบังคับใช้กับข้อมูลทางเศรษฐกิจในธุรกิจของคุณนั้นมักทำได้หลายวิธี ซึ่งอาจชวนให้ผู้ประกอบการประหลาดใจอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้ จำนวนภาษีที่ต้องจ่ายจึงอาจมีได้หลายแบบตามวิธีบังคับใช้กฎหมาย นักบัญชีจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ วางแนวทางด้านภาษีให้เป็นไปตามกฎหมายและจ่ายภาษีที่จำเป็นให้น้อยที่สุด
การวางแผนภาษีมักจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ภาษีจะครบกำหนดชำระหรือก่อนเข้าทำธุรกรรมเลยด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น หากมีคนอยากจะมอบหุ้นในธุรกิจนั้นๆ ให้กับพนักงาน (เพื่อดึงดูดพนักงานที่ต้องการและมอบหุ้นแก่พนักงานให้เหมาะกับความสำเร็จที่หวังไว้ของธุรกิจ) การตัดสินใจนี้ก็จะมีผลตามมาเกี่ยวกับโครงสร้างของธุรกิจในระหว่างการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนการว่าจ้างพนักงานคนแรกเลยด้วยซ้ำ มูลค่าที่เกิดขึ้นจริงในท้ายที่สุดของหุ้นดังกล่าว และผลลัพธ์ทางภาษีสำหรับพนักงานในอนาคตเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นในอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า
การวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมายและธุรกิจต่างๆ ควรทำ ดังที่ผู้พิพากษา Learned Hand ได้เขียนไว้เมื่อปี 1934 ซึ่งสรุปบรรทัดฐานในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ดังนี้
ทุกคนล้วนบริหารจัดการเรื่องต่างๆ เพื่อให้เสียภาษีให้น้อยที่สุดได้ ไม่มีกฎหมายข้อไหนกำหนดให้เราต้องเลือกแนวทางที่ต้องจ่ายภาษีให้มากที่สุด แล้วก็ไม่มีประเด็นเรื่องความรักชาติที่กำหนดให้ต้องเสียภาษีเพิ่มด้วยซ้ำ
ศาลก็บอกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่า การบริหารจัดการเรื่องต่างๆ เพื่อให้เสียภาษีให้น้อยที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องต้องกังวล ใครๆ ก็ทำกัน ไม่ว่าจะคนรวยหรือคนจน และก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรด้วย เพราะไม่ว่าใครก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเข้ารัฐมากกว่าที่กฎหมายกำหนด
แต่หน่วยงานด้านภาษีมักไม่เห็นชอบกับการใช้โครงสร้างทางภาษีในทางที่ผิด ซึ่งธุรกิจมีเหตุผลที่ดำเนินการเพียงอย่างเดียวคือการหลีกเลี่ยงภาษี และอาจมีมาตรการลงโทษรุนแรงได้เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ภาษีอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คุณควรให้นักบัญชีและ/หรือทนายความช่วยทบทวนการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลตามมาเกี่ยวกับกลยุทธ์ภาษีของคุณ บุคคลเหล่านี้อาจให้คำแนะนำได้ว่า คุณกำลังทำสิ่งที่เป็นกระแสหลักในประเทศ/อุตสาหกรรมของคุณ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความเสี่ยงมากขึ้นว่า หน่วยงานด้านภาษีที่กำกับดูแลคุณอยู่จะเห็นว่าแบบแสดงรายการของคุณไม่เพียงพอ
ภาษีการประกอบการในรัฐเดลาแวร์
เดลาแวร์ก็เหมือนกับหลายๆ รัฐที่มีการเรียกเก็บ "ภาษีการประกอบการ" จากทุกบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในเดลาแวร์ คุณจะมองว่าภาษีการประกอบการเป็นค่าธรรมเนียมรายปีในการต่ออายุการจดทะเบียนบริษัทคอร์ปอเรชันก็ได้ โดยในบางรัฐ ค่าธรรมเนียมนี้ก็มีการเรียกกันเป็นค่าธรรมเนียมจริงๆ
ภาษีเกือบทุกแบบจะคำนวณจากรายรับหรือกำไร แต่ภาษีการประกอบการนั้นต่างออกไป ซึ่งการคำนวณก็จะมีด้วยกัน 2 วิธี โดยหลักการแล้ว ทั้ง 2 วิธีนี้จะเริ่มจากตัวเลขน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นไปตามความซับซ้อนของบริษัท
คุณหรือนักบัญชีสามารถคำนวณภาษีการประกอบการได้ในเวลาไม่ถึง 2 นาที โดยกฎและสูตรต่างๆ มีอยู่ในเว็บไซต์ของรัฐเดลาแวร์
บริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งด้วย Stripe Atlas มักจะเสียภาษีตามขั้นต่ำเมื่อใช้วิธี "Assumed Par Value" (มูลค่าที่ตราไว้ตามสมมติฐาน)
คุณจะต้องชำระภาษีการประกอบการเมื่อยื่นรายงานประจำปี ซึ่งต้องดำเนินการภายในวันที่ 1 มีนาคมของทุกปี คุณมักจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกาภายในวันที่ 15 เมษายน (ในกรณีที่ปีงบประมาณของคุณตรงกับปีปฏิทิน) และการยื่นภาษีการประกอบการก็มักจะทำได้ง่ายที่สุดเมื่อจัดเตรียมแบบแสดงรายการภาษีสำหรับแบบแสดงรายการภาษีนิติบุคคล ซึ่ง (หากจัดการดีๆ) ก็จะแล้วเสร็จและพร้อมดำเนินการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ผู้ประกอบการสามารถยื่นรายงานประจำปีและภาษีการประกอบการของตนได้ง่ายพอสมควรผ่านเว็บไซต์ของรัฐเดลาแวร์ ซึ่งในกรณีส่วนใหญ่จะไม่ต้องขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ นักบัญชีอาจดำเนินการให้คุณได้เช่นกัน โดยจะมีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย (อาจจะราวๆ 100 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับบริการนี้
LLC ที่ก่อตั้งขึ้นโดยใช้ Stripe Atlas มักจะจ่ายภาษี LLC ประจำปีของรัฐเดลาแวร์เป็นจำนวน 300 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะครบกำหนดชำระในวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี
ภาษีการขาย
เรื่องที่ผู้คนต่างหวาดกลัว
ในสหรัฐอเมริกา ธุรกิจอาจต้องเก็บภาษีการขายตามเขตอำนาจศาลในท้องถิ่น (เมือง เคาน์ตี ฯลฯ) และตามรัฐของตน การทำเช่นนี้จะเกิดขึ้นในทุกเขตอำนาจศาลที่บริษัททั้ง ก) มีธุรกรรมเกิดขึ้นและ ข) มี "ความเชื่อมโยง" หรือความเกี่ยวข้องกับเขตอำนาจศาลนั้นๆ
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทที่ดำเนินงานผ่านทางอินเทอร์เน็ตจะมีความเชื่อมโยงเฉพาะในสถานที่ต่างๆ ที่มีสถานประกอบการตั้งให้เห็นหรือมีพนักงานที่ทำงานในนามของบริษัทดังกล่าว แต่ก็เริ่มมีรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กำลังแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายขอบเขตเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยง และกำหนดให้ผู้ขายจำนวนมากขึ้นต้องเก็บและนำส่งภาษีตามไปด้วย คุณอาจมีความเชื่อมโยงเพียงเพราะจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในรัฐนั้นๆ มีลูกค้าอยู่ในรัฐนั้น หรือให้รางวัลตอบแทนแก่บุคคลในรัฐจากการแนะนำลูกค้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ โดยแต่ละรัฐก็จะมีกฎเกณฑ์เป็นของตนเองเกี่ยวกับการดำเนินงานที่นำมาซึ่งความเชื่อมโยง คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีและสถานที่จดทะเบียนภาษีได้ที่นี่
เมื่อคุณจดทะเบียนเพื่อเก็บภาษีในสถานที่ตั้งแล้ว โดยทั่วไปแล้ว คุณก็จะต้องเก็บภาษีจากลูกค้า แสดงจำนวนภาษีที่คุณเก็บในแต่ละธุรกรรม และนำส่งภาษีให้กับหน่วยงานราชการที่เหมาะสมเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส
นอกจากนี้ หลายพื้นที่ในสหรัฐอเมริกายังมี "ภาษีโภคภัณฑ์" อีกด้วย ภาษีนี้จะสอดคล้องกับภาษีการขาย ลูกค้า (ไม่ใช่ผู้ขาย) จะจ่ายภาษีโภคภัณฑ์ในการทำธุรกรรม ลูกค้าควรแจ้งหน่วยงานจัดเก็บภาษีในท้องถิ่นว่า "ฉันกำลังใช้ทรัพย์สินบางอย่างที่ซื้อนอกเขตอำนาจศาลนี้ และนี่คือภาษีที่จ่ายให้" บางคนเชื่อว่าธุรกิจที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีโภคภัณฑ์นั้นมีน้อยมากๆ แต่คุณก็อาจต้องยื่นภาษีนี้หากธุรกิจของคุณปรากฏอยู่ในรัฐของสหรัฐอเมริกา ให้ตรวจสอบกับรัฐและ/หรือเมืองหรือเคาน์ตีในท้องถิ่นของคุณ
ความซับซ้อนในการยื่นภาษีการขายจะขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของธุรกิจเป็นอย่างมาก ได้แก่ สินค้าที่คุณขาย วิธีบันทึกตำแหน่งที่ตั้งของธุรกรรมหรือผู้ซื้อ ระดับความง่ายในการระบุตำแหน่งของความเชื่อมโยงของธุรกิจ และอื่นๆ ทั้งนี้ โดยหลักแล้ว ธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่จะให้นักบัญชีที่กรอกแบบแสดงรายการภาษีการขายเป็นคนเดียวกับที่กรอกแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งมักจะมีค่าบริการเฉพาะทางไม่กี่ร้อยดอลลาร์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของธุรกิจ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
กำไรของบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C จะเสียภาษีในระดับรัฐบาลกลางและในระดับรัฐ แบบฟอร์มหลักสำหรับแบบแสดงรายการของรัฐบาลกลางก็คือแบบฟอร์ม 1120
แบบแสดงรายการภาษีหรือการยื่นภาษีต่อรัฐบาลนั้นอาจจะง่ายจนทำเองได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น แม้จะดูง่าย (ก็แค่ 5 หน้าแรกเท่านั้น) แต่เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้คุณมีผู้จัดเตรียมภาษีหรือนักบัญชีมืออาชีพเข้ามาช่วยจัดเตรียมแบบแสดงรายการภาษีนิติบุคคล ข้อผิดพลาดที่ส่งผลร้ายแรงตามมาอาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ และการแก้ไขก็จะทำให้คุณเสียสมาธิในการดำเนินธุรกิจได้ นอกจากนี้ยังมีหลายวิธีในการอธิบายสิ่งต่างๆ ที่แม้จะไม่ใช่ข้อผิดพลาด แต่ก็ส่งผลให้คุณต้องจ่ายภาษีมากเกินไปได้ เมื่อเทียบกับการอธิบายข้อมูลทางเศรษฐกิจแบบเดียวกันนี้ด้วยวิธีที่ใช้ได้พอๆ กัน
ภาษีเงินได้จะเรียกเก็บจากเงินได้เท่านั้น โดยไม่เรียกเก็บจากรายได้ โดยเงินได้มักจะหมายถึงรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ของแทบทุกอย่างที่คุณซื้อในนามบริษัท รวมถึงเงินเดือนของทีมผู้ก่อตั้งและพนักงาน สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เลย
มีสิ่งของเพียงไม่กี่อย่างที่ไม่สามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่ต้องลงบันทึกเป็นสินทรัพย์ โดยค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (ซึ่งมักจะสูง) ของสิ่งของเหล่านี้จะทยอยนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายของธุรกิจตลอดอายุการใช้งาน เราเรียกอีกอย่างว่า "ค่าเสื่อมราคา" หรือ "การทยอยตัดค่าเสื่อม" ธุรกิจที่ดำเนินงานผ่านอินเทอร์เน็ตมักไม่มีค่าใช้จ่ายด้านทุนสูงในช่วงแรกเริ่ม โดยเฉพาะเมื่อแหล่งรายจ่ายประเภททุนในอดีต (เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์เครือข่าย การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบกำหนดเอง ฯลฯ) เริ่มอยู่ในรูปแบบเช่าเท่าที่จำเป็นกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ให้บริการระบบคลาวด์ โดยเรียกเก็บเงินเป็นจำนวนไม่มากนัก (และลงบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้)
นักบัญชีของคุณจะให้คำแนะนำที่เชื่อถือได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นๆ จำเป็นต้องมีการทยอยตัดค่าเสื่อมหรือไม่
หากคุณมีการไปปรากฏตัวอยู่ในรัฐของสหรัฐอเมริกา บริษัทคอร์ปอเรชันของคุณอาจต้องจ่ายภาษีเงินได้แก่รัฐนั้นๆ นอกเหนือจากภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลาง นักบัญชีจะให้คำแนะนำได้ว่าบริษัทของคุณจำเป็นต้องยื่นภาษีในรัฐที่บริษัทไปปรากฏตัวอยู่หรือทำธุรกิจหรือไม่ และสามารถช่วยคุณจัดเตรียมการยื่นภาษีเหล่านั้นได้ โดยบางรัฐก็มีความเข้มงวดขึ้น โดยระบุว่ากิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตก็อาจส่งผลให้ต้องยื่นภาษีได้ในบางกรณี
ภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางสำหรับ LLC
กำไรของ LLC มักจะส่งต่อไปยังเจ้าของ LLC และมีการเสียภาษีตามแบบแสดงรายการภาษีของรัฐบาลกลางของเจ้าของนั้น โดย LLC ที่มีสมาชิกเป็นเจ้าของเพียงคนเดียวจะถือเป็นนิติบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลตามกฎหมายภาษีของ IRS ส่วน LLC ที่มีสมาชิกเป็นเจ้าของมากกว่า 1 คนจะถือเป็นห้างหุ้นส่วน แม้ว่ากำไรของ LLC จะเป็นของเจ้าของ แต่ก็อาจยังมีข้อกำหนดในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีสำหรับ LLC เองด้วย เช่น LLC ที่มีบุคคลที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวจะต้องยื่นแบบฟอร์ม 5472 ต่อ IRS ส่วน LLC ที่มีสมาชิกเป็นเจ้าของหลายคนจะต้องยื่นแบบฟอร์ม 1065 ซึ่งเป็นแบบแสดงรายการสำหรับห้างหุ้นส่วน
เราขอแนะนำอย่างยิ่งให้คุณมีผู้จัดเตรียมภาษีระดับมืออาชีพหรือนักบัญชีที่เกี่ยวข้องในการจัดเตรียมแบบแสดงรายการภาษีของรัฐบาลกลางที่เกี่ยวข้องกับกำไรที่ได้รับจาก LLC ของคุณ ซึ่งก็คล้ายกับภาษีของรัฐบาลกลางสำหรับบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C การรายงานภาษีจะขึ้นอยู่กับวิธีการจัดตั้ง LLC ของคุณ ซึ่งทำให้คุณลืมรายงานข้อมูลที่จำเป็นหรือวิธีการปันส่วนกำไรให้กับเจ้าของ LLC ได้ง่ายๆ
ข้อดีอย่างหนึ่งของ LLC คือการช่วยให้คำนวณภาษีจากกำไรได้อย่างยืดหยุ่น ตัวอย่างเช่น LLC สามารถยื่นเรื่องเพื่อเลือกที่จะเสียภาษีในรูปแบบบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C กับทาง IRS ได้ หากคุณสนใจตัวเลือกนี้ ขอแนะนำให้พูดคุยกับที่ปรึกษาด้านภาษีเพื่อทำความเข้าใจนัยทางภาษีและข้อกำหนดต่างๆ ในการยื่นเลือก
หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
แบบแสดงรายการภาษีทั้งหมดจะเชื่อมโยงกับหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี โดยหมายเลขดังกล่าวมีอยู่หลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่คุณจะเห็นบ่อยๆ มีดังนี้
หมายเลขประกันสังคม (SSN): พลเมืองของสหรัฐอเมริกาและผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในสหรัฐอเมริกาจะได้รับหมายเลขที่ออกให้โดยสำนักงานประกันสังคม (Social Security Administration) หน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนต่างๆ ใช้หมายเลขนี้กันอย่างแพร่หลายเพื่อระบุตัวบุคคล ทั้งนี้ SSN ถือเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนมาก (เพราะมักใช้ในการตรวจสอบสิทธิ์ว่าเป็นบุคคลนั้นๆ จริงหรือไม่)
รูปแบบทั่วไปของ SSN คือ 123–45–6789
บริษัทต่างๆ จะไม่มี SSN และคุณก็อาจไม่มี SSN หากไม่ใช่พลเมืองของสหรัฐอเมริกา หรือไม่เคยทำงานในสหรัฐอเมริกามาก่อน คุณจะระบุหมายเลขอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้แทนเมื่อได้รับการสอบถาม
หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดา (ITIN): บุคคลธรรมดา (มนุษย์ที่มีชีวิตและหายใจ) ที่ต้องยื่นภาษีแต่ไม่ได้รับ SSN (เนื่องจาก SSN มักกำหนดให้ต้องมีสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมายในการทำงานในสหรัฐอเมริกา) สามารถขอรับ ITIN จาก IRS ได้ หมายเลขนี้ใช้แทน SSN ได้ ขั้นตอนการขอรับก็ไม่ได้ยุ่งยาก เพียงแค่ยื่นแบบฟอร์ม W-7 แล้วรอประมาณ 6 สัปดาห์
เจ้าของบริษัทใน Stripe Atlas ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องมี ITIN โดยบริษัทของคุณจะยื่นภาษีในสหรัฐอเมริกา แต่ตัวคุณเองอาจไม่มีภาระหน้าที่ต้องยื่นภาษีของสหรัฐอเมริกา หากนักบัญชีแจ้งว่าคุณมีภาระหน้าที่ต้องยื่นภาษีดังกล่าว ให้ยื่นแบบฟอร์ม W-7 และขอให้ออก ITIN นอกจากนี้ คุณยังสามารถขอให้ออก ITIN พร้อมกันกับการยื่นภาษีได้ ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีในรูปแบบกระดาษที่มี ITIN ระบุไว้ว่า "รอดำเนินการ" และแนบแบบฟอร์ม W-7 ด้วย โดยทั่วไปแล้ว การดำเนินการนี้จะส่งผลให้การดำเนินการยื่นภาษีของคุณเกิดความล่าช้า และควรหลีกเลี่ยงวิธีนี้หากทำได้ แต่การยื่นแบบแสดงรายการอย่างทันท่วงทีแม้จะได้รับการดำเนินการล่าช้าก็ยังดีกว่าการไม่ได้ยื่นเลยหรือยื่นล่าช้า
ITIN มีลักษณะเหมือน SSN แต่ตัวเลขหลักแรกจะเป็น 9 เสมอ
หมายเลขประจำตัวนายจ้าง (EIN): EIN จะระบุถึงนิติบุคคล (กล่าวคือ บริษัท) ไม่ใช่บุคคลธรรมดา (คนจริงๆ) คุณจะได้รับ EIN หลังจากยื่น SS-4 กับ IRS หากคุณจดทะเบียนจัดตั้งผ่าน Atlas เราก็จะช่วยดูแลเรื่องนี้ให้คุณ
สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาและธุรกิจอื่นๆ (ในบางครั้ง) จะขอ EIN จากคุณเป็นประจำ การเผยแพร่หมายเลขนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่หมายเลขเหล่านี้ไม่ได้ถือว่ามีความละเอียดอ่อนเทียบเท่ากับ SSN (การเปิดเผย SSN ของคุณต่อบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน แต่การเปิดเผย EIN ของบริษัทของคุณจะเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย)
EIN จะมีรูปแบบ 12–3456789 โปรดทราบว่า จำนวนหลักของ EIN จะเท่ากับ SSN แต่จะมีตำแหน่งขีดกลางคนละที่กัน แต่ถึงอย่างนั้น ตำแหน่งขีดกลางนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะ SSN บางหมายเลขจะมีตัวเลขเดียวกันและเรียงลำดับแบบเดียวกันกับ EIN บางตัว ดังนั้น อย่าลืมตรวจสอบทุกครั้งว่าคุณกรอกข้อมูลลงในช่องที่ถูกต้องและใส่เครื่องหมายขีดกลางไว้ในช่องว่างที่ถูกต้องด้วย
แบบแสดงรายการข้อมูล
บริษัทต่างๆ (รวมถึงบริษัทของคุณเอง) มีภาระหน้าที่ในการรายงานธุรกรรมบางอย่างต่อรัฐบาลผ่าน "แบบแสดงรายการข้อมูล" โดยรัฐบาลจะเทียบแบบแสดงรายการข้อมูลกับการยื่นภาษีของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เสียภาษีไม่ได้ลืมจ่ายภาษีสำหรับรายได้ที่ได้รับไป
บริษัทของคุณจะออกแบบแสดงรายการข้อมูลเป็นประจำ โดยคุณอาจได้รับแบบแสดงรายการนี้เป็นครั้งคราว และควรทำความเข้าใจด้วยว่าขั้นตอนนี้ทำงานอย่างไร
แบบแสดงรายการข้อมูลมีอยู่หลากหลายแบบ โดย 2 รูปแบบที่คุณมีโอกาสที่จะออกมากที่สุด ได้แก่ W-2 ซึ่งบันทึกรายได้ค่าจ้างให้กับพนักงาน และ 1099-MISC ซึ่งแสดงการชำระค่าบริการต่างๆ ให้กับผู้รับเหมาแต่ละราย (โดยปกติแล้ว คุณจะไม่ออก 1099-MISC ให้กับบริษัท แม้ว่าคุณจะซื้อบริการจากบริษัทเหล่านั้นก็ตาม)
นักบัญชีของคุณจะดำเนินการยื่น W-2 และ 1099 ในนามของคุณในช่วงต้นปีปฏิทิน คุณจะส่งสำเนา 1 ฉบับให้กับผู้เสียภาษีที่คุณรายงานไปในแบบฟอร์ม สำเนา 1 ฉบับให้กับ IRS และอีก 1 ฉบับจะเก็บไว้เป็นหลักฐานของคุณเอง
ในการออกแบบแสดงรายการข้อมูล คุณต้องมีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของใครสักคน ซึ่งมักจะเป็น SSN สำหรับ W-2 และ SSN, ITIN หรือ EIN (ไม่ค่อยใช้) สำหรับ 1099 โดยจะมีแบบฟอร์ม W-9 ในการขอหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบุคคลนั้นๆ อย่างเป็นทางการ โดยเราจะใช้ W-9 กับผู้เสียภาษีในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่หากใครคนนั้นไม่ใช่คนชาวสหรัฐอเมริกา (เช่น ในกรณีที่คุณจ้างคนในต่างประเทศ) คุณจะต้องให้อีกฝ่ายส่ง W-8BEN ให้คุณแทน (แบบฟอร์มนี้ใช้เป็นหลักฐานแบบกระดาษได้ในกรณีที่ IRS ถามว่า "ทำไมคุณไม่ยื่น 1099 สำหรับผู้ทำสัญญารายนั้น" "คนนี้ไม่มีภาระด้านภาษีในสหรัฐฯ เราก็เลยไม่ต้องยื่น" "อ้อ อย่างนั้นหรอ" "อันนี้คือแบบฟอร์ม W-8BEN ของคนนี้" "ได้เลย") เนื่องจาก IRS ชอบรูปแบบของแบบฟอร์มนี้ จึงมีการแยกรูปแบบออกมาอีกแบบ (W8-BEN-E) ซึ่งใช้เวลาที่คุณต้องการ W8-BEN จากนิติบุคคล
อาจมีการขอ W-9 หรือ W8-BEN จากบริษัทของคุณเป็นครั้งคราว กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้หากมีคนเชื่อว่าตนจำเป็นต้องยื่น (หรืออาจต้องยื่น) แบบแสดงรายการข้อมูลเกี่ยวกับคุณ เช่น สถาบันการเงินอาจขอให้ใครคนใดคนหนึ่งเปิดบัญชี โดยคาดว่าอาจต้องยื่น 1099-INT เพื่อรายงานรายได้จากดอกเบี้ยในภายหลัง
ในบางกรณี อาจมีการขอแบบฟอร์มเหล่านี้จากคุณโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่พบค่อนข้างบ่อยมีดังนี้
ควรมีการขอแบบฟอร์ม W-9 จากบุคคล (รวมถึงบริษัทคอร์ปอเรชัน) ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากคุณไม่ใช่คนสหรัฐอเมริกา ก็ควรมีการขอ W8-BEN จากคุณแทน
บริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาถือเป็นบุคคลในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะมีใครเป็นเจ้าของก็ตาม ลูกค้า Stripe Atlas หลายรายมีบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C ในรัฐเดลาแวร์ ซึ่งมีที่อยู่และการดำเนินงานในต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้เป็น บริษัทเหล่านี้ยังคงเป็นบุคคลในสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้ จึงควรยื่นเฉพาะ W-9 ไม่ใช่ W8-BEN-E
บางครั้ง บุคคลในบริษัทต่างๆ จะขอแบบฟอร์มเหล่านี้ทั้งที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้จริงๆ คุณเองก็ไม่ได้มีภาระหน้าที่เป็นพิเศษในการให้แบบฟอร์มดังกล่าวหากกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ส่งแบบแสดงรายการข้อมูล ถึงอย่างนั้น บริษัทต่างๆ ก็ไม่ได้มีภาระหน้าที่ว่าจะต้องทำธุรกิจกับคุณ และบางบริษัทจะขอแบบฟอร์มเหล่านี้ในบางครั้งตามที่นโยบายกำหนดไว้ ซึ่งบ่อยครั้ง วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดก็คือการพูดว่า "คุณพอจะตรวจสอบกับนักบัญชีได้ไหมว่าจำเป็นต้องใช้จริงๆ หรือเปล่า" คุณอาจตัดสินใจให้แบบฟอร์มดังกล่าวได้ตามสมควร แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องทำก็ตาม
การให้แบบฟอร์ม W-9 หรือ W8-BEN มักเป็นประโยชน์กับคุณ เพราะอีกฝ่ายมักจะขอแบบฟอร์มนี้ไว้เพื่อระบุการตัดสินใจที่จะไม่ระงับเงินในนามของคุณ (หากระบบภาษีของสหรัฐอเมริกาไม่เคยมีข้อมูลของคุณมาก่อน ระบบก็อาจต้องทำตามกฎหมายในการหักเงินที่ชำระ ณ ที่จ่ายราวๆ 30% เพื่อส่งให้กับ IRS จากนั้น IRS ก็จะรอให้คุณยื่นแบบแสดงรายการและอาจคืนเงินบางส่วนให้ ระบบนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า คนที่ระบบภาษีมีข้อมูลอยู่แล้วย่อมซื่อสัตย์และสามารถวางใจให้ถือครองเงินของตนเองได้ก่อนที่จะยื่นแบบแสดงรายการ เพื่อคำนวณว่าควรจะเงินให้กับ IRS เป็นจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ แบบฟอร์ม W-9 ระบุไว้ว่า "กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนดว่า IRS ให้ความไว้วางใจแก่ฉันโดยปริยาย คุณจึงมีเหตุผลตามกฎหมายที่จำเป็นครบถ้วนทุกประการที่จะจ่ายเงินให้กับฉันตามที่เราตกลงกันไว้ โดยไม่มีการหัก ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด")
บริษัทของคุณอาจได้รับแบบแสดงรายการข้อมูล รูปแบบที่ลูกค้า Atlas มีโอกาสได้รับมากที่สุดก็คือ 1099-K จาก Stripe ซึ่งแสดงรายรับจากการประมวลผลบัตรเครดิตใน 1 ปี คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อตอบกลับแบบแสดงรายการข้อมูล และคุณก็ไม่จำเป็นต้องส่งให้กับ IRS เพราะทาง IRS จะมีสำเนาไว้ 1 ฉบับอยู่แล้ว คุณจะมีรายรับดังกล่าวปรากฏอยู่ในแบบแสดงรายการที่ลงบันทึกไว้ในสมุดบัญชีของคุณสักที่อยู่แล้ว และสมุดบัญชีก็เป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบการจัดทำแบบแสดงรายการภาษี
สถานการณ์ที่แบบแสดงรายการข้อมูลจะสำคัญจริงๆ ก็คือกรณีที่แบบแสดงรายการมีเงินจำนวนมากและแบบแสดงรายการภาษีนิติบุคคลของบุคคลนั้นๆ มีจำนวนเงินที่ไม่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลให้ IRS ติดต่อมาเพื่อตรวจสอบ โดยจะสอบถามด้วยคำถามพื้นๆ ว่า "เราทราบมาว่าคุณได้ดอกเบี้ย 5,000 ดอลลาร์สหรัฐไปเมื่อปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าเงินดังกล่าวอยู่ตรงไหนในแบบแสดงรายการภาษี" และเมื่อคุณเป็นผู้เสียภาษีที่ปฏิบัติตามกฎหมาย คุณจะมีคำตอบพร้อมสำหรับคำถามนั้น และประเด็นต่างๆ ก็จะจบลง
ผู้ประกอบการหลายรายเชื่อว่า แบบแสดงรายการข้อมูลจำเป็นต้องแสดงรายได้ (กำไร) แต่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เช่น 1099-K จะแสดงปริมาณการชำระเงินทั้งหมด ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงกับรายได้ที่ต้องเสียภาษีของธุรกิจด้วยซ้ำ เพราะบริษัทยังต้องเสียค่าใช้จ่าย ฯลฯ โดย IRS จะถือว่าตัวเลขนี้เป็นส่วนย่อยของรายรับของธุรกิจดังกล่าวสำหรับปีนั้นๆ (และจะขอคำอธิบาย หากคุณระบุว่ามีการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่อ้างว่ามีรายรับเพียง 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ) แต่ IRS ไม่ได้เอารายรับมาคำนวณภาษี หากแต่เก็บภาษีจากกำไรของธุรกิจ
การกำหนดราคาโอนคืออะไร
บริษัทที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดคำถามชวนสงสัยตามมาว่า ฝ่ายต่างๆ ที่ร่วมงานกันนี้สร้างกำไรในธุรกิจจากที่ใด และควรเสียภาษีที่ใด คำถามนี้ก็เกิดขึ้นกับลูกค้าของ Atlas หลายรายเช่นกัน ซึ่งอาจมีนิติบุคคล 1 แห่งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ในประเทศบ้านเกิดของตน
ธุรกิจจะบันทึกการโยกย้ายเงินระหว่างการดำเนินงานระหว่างประเทศโดยใช้การกำหนดราคาโอน ซึ่งเป็นกลไกในการอธิบายการเคลื่อนไหวภายในของเงิน สินค้า บริการ และกำไรระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป ราวกับเป็นเจรจาต่อรองแบบ "รักษาระยะห่าง" ของบริษัทต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
การกำหนดราคาโอนได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทและหน่วยงานด้านภาษีต่างๆ พยายามรับมือกับความซับซ้อนของธุรกิจระหว่างประเทศ แนวทางนี้เป็นเครื่องมือที่ผู้เสียภาษีใช้เลือกวิธีที่ดีที่สุดในการจัดสรรเงินได้ ส่วนหน่วยงานด้านภาษีก็ใช้เพื่อดูว่ามีการจัดสรรให้กับเขตแดนมากหรือน้อยเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการดำเนินการด้านภาษีระหว่างเขตแดนมีความแตกต่างกันมาก
ราคายุติธรรม
ทฤษฎีทั่วไปของการกำหนดราคาโอน คือ หน่วยงานต่างๆ จะมาตกลงร่วมกันเพื่อหาราคาที่ยุติธรรมสำหรับสินค้าและบริการที่มีการเคลื่อนย้ายระหว่างหน่วยงานเหล่านั้น ลงบันทึกคำอธิบายเหตุผล และลงบัญชีของหน่วยงานที่แยกจากกันให้ตรงตามที่ตกลงกันไว้นี้และตรงกับการโยกย้ายเงินที่เกิดขึ้นจริงด้วย
โดยทั่วไป เศรษฐกิจตามตลาดจะถือว่า "ราคายุติธรรม" ไม่ได้มีอยู่จริง ยกเว้นในกรณีที่มีข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซอฟต์แวร์ "ควร" มีราคาเท่าไหร่ คำตอบอาจจะเป็น ไม่มีเลย หรือ 0.99 ดอลลาร์ หรือหนึ่งล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา โดยเจ้าหน้าที่ก็จะยึดถือตามราคาที่ผู้ซื้อกับผู้ขายได้เลือกที่จะตกลงกันไว้อย่างเคร่งครัด รวมถึงประเด็นด้านภาษีด้วย โดย IRS จะถือว่าราคาของรายการค่าใช้จ่ายนั้นมีความสมเหตุสมผล
การกำหนดราคาโอนมีข้อควรทราบอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือ เราจะถือว่าผู้ซื้อและผู้ขายในธุรกรรมส่วนใหญ่ทำธุรกรรมเพราะพึงพอใจกับข้อกำหนดของธุรกรรม โดยที่แต่ละฝ่ายไม่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์มากไปกว่าธุรกรรมนั้นๆ เราเรียกการเจรจาต่อรองเช่นนี้ว่าเป็นแบบ "รักษาระยะห่าง" เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายเกี่ยวข้องกัน เช่น จากการแต่งงานหรืออยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรเดียวกัน ก็อาจถือได้ว่าธุรกรรมนั้นๆ มีเรื่องความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องในการหลีกเลี่ยงปัญหาภายในครอบครัว หรือเพื่อลดภาษีที่ต้องจ่าย ซึ่งอย่างหลังนี้เป็นที่น่ากังวลมากกว่าในมุมมองของ IRS
ด้วยเหตุนี้ การกำหนดราคาโอนจึงเป็นเรื่องของการจัดทำเอกสาร "ในโลกสมมติซึ่งทั้ง 2 บริษัทของเราไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย เราสามารถตกลงซื้อสิ่งนี้ได้ตามสมควรเพราะเป็นสิ่งมีค่า และจ่ายเงินจำนวนนี้เพราะราคาตามตลาดก็น่าจะอยู่ที่เท่านี้"
ตัวอย่างการกำหนดราคาโอน
นี่คือตัวอย่าง 2 รายการที่พบบ่อยจากบริษัทบน Atlas
การขายซอฟต์แวร์ผ่านบริษัทในเครือซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาของบริษัทต่างประเทศ
สมมติว่าเรามีผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ที่ดำเนินงานในประเทศอินเดียในฐานะบริษัทเอกชนจำกัด (Private Limited Company หรือ PLC) ซึ่งเป็นบริษัทรูปแบบหนึ่งในอินเดียที่เทียบเท่ากับบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C ของสหรัฐอเมริกา เราก็จะเรียกว่าซอฟต์แวร์ตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน
PLC นี้ขายซอฟต์แวร์ตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์ให้กับบริษัทอินเดียโดยตรง แต่ลูกค้าทั่วโลกสามารถใช้ซอฟต์แวร์นี้ได้ บริษัทนี้จึงก่อตั้งบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C ขึ้นในรัฐเดลาแวร์เป็นบริษัทในเครือเพื่อขายซอฟต์แวร์ของตนให้กับลูกค้าทั่วโลก ในขณะเดียวกันก็ตั้งใจใช้ PLC ดังกล่าวเพื่อขายซอฟต์แวร์ให้กับลูกค้าในประเทศอินเดียต่อไป
ในกรณีนี้ เป้าหมายสูงสุดทางเศรษฐกิจขององค์กร คือ การจัดสรรกำไรส่วนใหญ่ให้กับพื้นที่ที่สร้างมูลค่า ซึ่งก็ควรจะเป็นประเทศอินเดีย เพราะจริงๆ แล้วซอฟต์แวร์นี้ผลิตในอินเดีย วิธีนี้ช่วยให้ PLC ในอินเดียจ่ายค่าใช้จ่าย (รวมถึงเงินเดือนสำหรับทีมวิศวกร) จ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ก่อตั้ง และสร้างกำไรที่จะตกเป็นของผู้ก่อตั้งหรือนักลงทุน (ซึ่งน่าจะเป็นคนในท้องถิ่น) ได้ ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงต้องการมีเงินเอาไว้กับนิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาให้ได้สัดส่วนกับงานที่ดำเนินการโดยองค์กรนั้นๆ
คุณสามารถทำได้หลายวิธี หนึ่งในนั้นก็คือการทำให้นิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ค้าปลีกสำหรับซอฟต์แวร์ของ PLC บริษัทดังกล่าวจะจัดทำเอกสารแบบครอบคลุมว่าได้ศึกษาการทำข้อตกลงกับผู้ค้าปลีกแล้ว สมมติว่าผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่าผู้ค้าปลีกที่ไม่เกี่ยวข้องกันมักได้รับ 20% เมื่อเป็นเช่นนี้ บริษัทก็จะให้นิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาลงนามในข้อตกลงของผู้ค้าปลีกฉบับทางการกับ PLC โดยกำหนดให้นิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาต้องจ่ายเงิน 80% ของจำนวนเงินที่เรียกเก็บจากลูกค้าเป็นค่าซอฟต์แวร์ที่ PLC นั้นๆ พัฒนาขึ้น
ค่าธรรมเนียมนั้นเข้าเป็นรายรับของ PLC ในอินเดีย ซึ่งจากนั้นก็จะถูกหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (เงินเดือน เซิร์ฟเวอร์ ฯลฯ) ของนิติบุคคลในอินเดียและจะต้องเสียภาษีในอินเดีย
ยอดขายที่เหลืออีก 20% ก็จะอยู่กับบริษัทคอร์ปอเรชันในสหรัฐอเมริกา ธุรกิจก็จะนำเงินบางส่วนไปใช้ชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานของบริษัทคอร์ปอเรชันในสหรัฐอเมริกา เช่น ค่าทำบัญชี ค่าทนายความ (สำหรับการเจรจาทำสัญญา ฯลฯ) ค่าธรรมเนียมธนาคาร และอื่นๆ วิธีนี้จะส่งผลให้นิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาได้รับกำไรเพียงเล็กน้อย และกำไรนั้นก็จะต้องเสียภาษีในสหรัฐอเมริกา กำไรหลังหักภาษีสามารถส่งให้กับบริษัทแม่ของบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C ได้ ซึ่งอาจจะเสียภาษีหรือไม่ก็ได้ หรือจะเก็บไว้ในสหรัฐอเมริกาก่อนก็ได้ เพื่อนำไปใช้ในภายหลัง เช่น การขยายการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกา การซื้อสินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาในนามของบริษัทในสหรัฐอเมริกา หรือการดำเนินการที่คล้ายๆ กัน
การขายสินค้าที่จับต้องได้ผ่านบริษัทในสหรัฐอเมริกาโดยเปิดรับการลงทุน
สมมติว่า เรามีผู้ก่อตั้งในฮ่องกงที่ผลิตเคส iPhone ในท้องถิ่น โดยตั้งเป้าที่จะจัดจำหน่ายในต่างประเทศด้วย ผู้ก่อตั้งก็อาจเลือกที่จะเปิดรับการลงทุนได้ หากนักลงทุนมาจากซิลิคอนแวลลีย์ นักลงทุนก็น่าจะต้องการให้ผู้ก่อตั้งจัดตั้งบริษัทคอร์ปอเรชันประเภท C ในรัฐเดลาแวร์เพื่อลงทุน
ในกรณีนี้ เป้าหมายสูงสุดขององค์กรก็คือ การโอนเงินจากสหรัฐอเมริกาไปยังฮ่องกงก่อน ใช้เงินดังกล่าวเพื่อวางระบบการผลิต แล้วขายสินค้าจากการดำเนินงานผ่านนิติบุคคลในสหรัฐอเมริกา
ขั้นตอนแรกเลยก็คือ นิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาจะทำสัญญากับบริษัทในฮ่องกงเพื่อรับบริการเฉพาะทาง (การออกแบบ การสร้างแบรนด์ ฯลฯ) การทำเช่นนี้จะช่วยให้มีเหตุผลรองรับเพียงพอที่จะจ่ายเงินให้บริษัทนั้นๆ มากพอที่จะเริ่มดำเนินธุรกิจ บริษัทในฮ่องกงจะลงบันทึกเงินส่วนนี้เป็นรายรับ ส่วนบริษัทในสหรัฐอเมริกาจะลงบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย
คราวนี้บริษัทในฮ่องกงก็จะเริ่มดำเนินการผลิตเคส iPhone แล้วขายเคสให้กับบริษัทในสหรัฐอเมริกาซึ่งจะนำไปขายทั่วโลก ทีนี้ บริษัทในสหรัฐอเมริกาก็ย่อมอยากจะขายในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ (เพราะจะช่วยเพิ่มกำไรให้กับนิติบุคคลในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอบโจทย์นักลงทุนในสหรัฐอเมริกา) แต่ข้อควรพิจารณาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดจะทำให้ตั้งราคาสอดคล้องกับผู้ผลิตสินค้ารายอื่นๆ ที่ขายปลีกในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสุดท้ายราคาขายส่ง (ที่บริษัทในสหรัฐอเมริกาจ่ายให้กับบริษัทในฮ่องกง) ก็จะอยู่ที่ 40% ของราคาขายปลีก เป็นต้น ซึ่งบริษัทในสหรัฐอเมริกาก็จะทำเช่นเคย นั่นคือ จัดทำเอกสารแบบครอบคลุมเกี่ยวกับเหตุผลรองรับในการตั้งราคานี้ และแสดงในใบแจ้งหนี้หรือใบเรียกเก็บเงินค่าขนส่ง ฯลฯ ระหว่างทั้ง 2 บริษัท
เมื่อทำเช่นนี้ บริษัทในฮ่องกงก็จะเหลือกำไรเล็กน้อย (จากงานบริการและเคส iPhone ที่ขายส่ง ซึ่งจะเสียภาษีในฮ่องกง) ส่วนบริษัทในสหรัฐอเมริกาก็จะจ่ายเงินเป็นค่าบริการและค่าเคสแบบขายส่ง แล้วนำเคสไปขายในราคาขายปลีก (ซึ่งสูงกว่า) (ผ่านเว็บไซต์หรือช่องทางอื่น) โดยหวังว่าจะได้รับกำไร โดยกำไรจะเสียภาษีในสหรัฐอเมริกา และหลังจากหักภาษีแล้ว เงินปันผลก็อาจจะตกอยู่กับนักลงทุนหรือเจ้าของบริษัท
ข้อสังเกตที่อาจไม่ได้ชัดเจนนักบางประการมีดังนี้
บริษัทสามารถเลือกได้ว่าจะขายเคสผ่านนิติบุคคลในฮ่องกงหรือนิติบุคคลในสหรัฐอเมริกา แล้วทำไมถึงต้องขายผ่านนิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาล่ะ เหตุผลหลักก็คือ นักลงทุนต่างลงทุนโดยหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของมูลค่าที่เกิดจากบริษัทดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ บริษัทก็จะดำเนินการให้มูลค่าส่วนใหญ่คงอยู่กับนิติบุคคลในสหรัฐอเมริกา โดยจะเป็นเจ้าของแบรนด์ การออกแบบ และความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ต่างๆ และให้นิติบุคคลในฮ่องกง "แค่" คอยทำงานต่างๆ ให้กับบริษัทนี้เท่านั้น
แล้วถ้าทำตรงกันข้ามกับตัวอย่างนี้จะปลอดภัยไหม คำตอบก็คือจะเสี่ยงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไปแล้ว การกำหนดราคาโอนที่ทำหน้าที่ในการรับรู้รายรับในเขตอำนาจศาลที่มีภาษีสูง (แทนที่จะเป็นเขตอำนาจศาลที่มีภาษีต่ำ) จะไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด แต่การกำหนดราคาโอนที่ทำหน้าที่รับรู้รายรับในเขตอำนาจศาลที่มีภาษีต่ำมักจะได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด อัตราภาษีนิติบุคคลในฮ่องกงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอัตราในสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ IRS จึงอาจสันนิษฐานว่านิติบุคคลในสหรัฐอเมริกาที่จ่ายเงินให้กับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องในฮ่องกงอาจทำไปเพื่อลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่าย แทนที่จะเป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ แค่อาจจะให้เหตุผลรองรับยากขึ้น เหตุผลอย่างหนึ่งที่ควรมีนักบัญชีก็คือ คุณจะมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการดำเนินการทางภาษีนั้นๆ จะมีความเสี่ยงอย่างไร จากนั้นจึงตัดสินใจทางธุรกิจว่าจะประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายมากน้อยแค่ไหนเมื่อพิจารณาความเสี่ยงทางภาษีควบคู่ไปด้วย
การกำหนดราคาโอนอาจซับซ้อนมากก็ได้ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรมีโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้น ประเภทของธุรกรรมเริ่มซับซ้อนขึ้น (ธุรกรรมทางการเงินแบบหลายฝ่ายและหลายประเทศนั้นย่อมทำความเข้าใจยากกว่าแค่การขายเคส iPhone) และธุรกิจมีขนาดใหญ่ขึ้น
องค์กรที่มีรายรับหลายล้านดอลลาร์อาจจะต้องให้นักบัญชีที่เชี่ยวชาญในวงการนั้นๆ เข้ามาช่วยออกแบบหรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกำหนดราคาโอนให้ ถึงอย่างนั้น แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ควรจดบันทึกมาตรการกำหนดราคาโอนของตนไว้ เพราะการไม่มีเอกสารจะทำให้หลีกเลี่ยงบทลงโทษได้ยากมากหาก IRS เข้ามาตรวจสอบและไม่เห็นด้วยกับการกำหนดราคาโอนของคุณ
ส่วนใหญ่แล้ว การดำเนินมาตรการบังคับใช้จะพุ่งเป้าไปที่บริษัทรายใหญ่ๆ (เนื่องจากหน่วยงานด้านภาษีทราบดีว่าเงินย่อมอยู่กับบริษัทรายใหญ่)
คุณไม่ควรเป็นกังวลในเรื่องนี้ เพราะ IRS ค่อนข้างมีเหตุผลและต้องการให้คุณจ่ายภาษีให้ครบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ก็เท่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากหน่วยงานด้านภาษีส่วนใหญ่ หากคุณเห็นแย้งกับ IRS โดยสุจริตใจ ที่ปรึกษามืออาชีพของคุณก็จะช่วยคลี่คลายปัญหานั้นๆ ให้ในการดำเนินธุรกิจตามปกติ เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ค่อยบ่อยนักและแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นเหตุให้ธุรกิจล้มเหลว ให้มุ่งเน้นรังสรรค์สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนชื่นชอบและขายให้มีประสิทธิภาพ คุณอาจ (และควร) ว่าจ้างนักบัญชีให้มาช่วยจัดการเรื่องกังวลใจเหล่านี้ให้กับคุณ
การตรวจสอบ
"การตรวจสอบ" เป็นคำที่ผู้ประกอบการหลายๆ รายต่างหวาดกลัว ซึ่งไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย
การตรวจสอบก็เป็นแค่การสอบถามอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานสรรพากรเพื่อยืนยันว่าข้อมูลในแบบแสดงรายการภาษีของคุณถูกต้อง การตรวจสอบแทบทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบ "การตรวจสอบผ่านหนังสือโต้ตอบ" ซึ่งหน่วยงานด้านภาษีเพียงแค่ส่งหนังสือหาคุณ กรณีนี้มักเกิดขึ้นเนื่องจากคอมพิวเตอร์เปรียบเทียบแบบแสดงรายการข้อมูลกับแบบแสดงรายการภาษีที่คุณยื่นมา และพบว่าอาจมีจุดที่ไม่ตรงกัน ทั้งนี้ นักบัญชีมักจะเขียนตอบกลับหนังสือดังกล่าวให้กับคุณ ซึ่งการตอบกลับก็มักจะเป็นอะไรง่ายๆ (หลายๆ ครั้ง ปัญหาดังกล่าวก็สามารถอธิบายได้ในย่อหน้าเดียว)
บางครั้ง IRS ก็จะเลือกแบบแสดงรายการมาตรวจสอบโดยละเอียดยิ่งขึ้น ซึ่งเราขอแนะนำอย่างยิ่งให้คุณมีตัวแทนมืออาชีพในกรณีที่ได้รับเลือกเข้ารับการตรวจสอบเหล่านี้ เพราะการตรวจสอบประเภทนี้อาจค่อนข้างตึงเครียดและทำให้เสียสมาธิในการดำเนินธุรกิจได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนก็ตาม (หากคุณยื่นแบบแสดงรายการที่ถูกต้องจากธุรกิจที่มีการจัดการเป็นอย่างดี)
การตรวจสอบเหล่านี้มักจะต้องมีการเดินทางไปติดต่อด้วยตนเอง ไม่ว่าจะที่สำนักงานในพื้นที่ของ IRS หรือที่สำนักงานของคุณก็ตาม (IRS มีสำนักงานตั้งอยู่ในสถานทูตของสหรัฐอเมริกาทั่วโลกเพื่อจัดการกับประเด็นทางภาษีระหว่างประเทศ โดยมักจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ไม่กี่คน การคัดเลือกเข้ารับการตรวจสอบจึงต้องเป็นไปอย่างถี่ถ้วนมากๆ ถึงอย่างนั้น คุณก็ควรยื่นแบบแสดงรายการที่ถูกต้องตรงเวลา)
ในกรณีที่มีการตรวจสอบ นักบัญชีหรือทนายความด้านภาษีของคุณจะแนะนำคุณในการตอบกลับ คุณควรทำตามคำแนะนำที่ได้รับในการจัดการกับหนังสือนั้น เพราะคุณจ่ายเงินให้พวกเขามาทำหน้าที่นี้ การทำอะไรบางอย่างที่หากดูเผินๆ เหมือนจะดี เช่น การให้ข้อมูลทางการเงินทั้งหมดจากธุรกิจของคุณแก่ IRS ก็อาจทำให้การตรวจสอบเสร็จสิ้นช้าลงได้หรือทำให้อะไรๆ ซับซ้อนเกินเหตุ เช่น การส่งผลให้มีการตรวจสอบส่วนต่างๆ ของธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการตรวจสอบมาตั้งแต่แรก
การตรวจสอบเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะกับบริษัทขนาดเล็ก ซึ่งคุณควรรู้เอาไว้ว่าอาจมีการตรวจสอบเกิดขึ้นได้หากคุณดำเนินธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น ก็แค่โอกาสที่ธุรกิจของคุณกับรัฐบาลจะได้พบกันบ้างเป็นบางครั้ง คุณควรรับมือกับโอกาสดังกล่าวอย่างมืออาชีพที่มีความรับผิดชอบ เช่น การจ้างนักบัญชี ยื่นแบบแสดงรายการที่ตรงไปตรงมา เก็บข้อมูลไว้อย่างเป็นระเบียบ และเอาเวลาไปคิดหาวิธีพัฒนาธุรกิจให้เติบโต แทนที่จะมานั่งกังวลเกี่ยวกับโอกาสอันน้อยนิดที่จะถูกตรวจสอบ แต่หากคุณถูกตรวจสอบขึ้นมาจริงๆ เช่นเคย คุณก็ควรรับมืออย่างมืออาชีพที่มีความรับผิดชอบ เช่น โทรติดต่อนักบัญชีหรือทนายความด้านภาษีของคุณและปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้รับ
ภาษีก็เหมือนเป้าหมายที่ไม่หยุดนิ่ง
การบัญชีเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งเช่นเดียวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือการตลาด ความคล้ายคลึงอย่างหนึ่งก็คือ โดยพื้นฐานแล้ว แกนหลักของวิชาชีพนี้จะเหมือนกันทุกปี ความคล้ายคลึงกันอีกประการหนึ่งก็คือสิ่งต่างๆ ยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ขณะนี้ทั่วโลกต่างสนใจเรื่องการปฏิรูปภาษี หน่วยงานด้านภาษียังคงหาทางรับมือเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตกันอยู่ และอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ตตามมาได้ทุกเมื่อ
ในเมื่อคุณไม่ได้วางกลยุทธ์ทางการตลาดหรือเทคนิคแค่ครั้งเดียวแล้วปล่อยลืมไปเลย ในทำนองเดียวกัน คุณก็จะต้องทำงานร่วมกับที่ปรึกษาด้านภาษี (อย่างน้อยที่สุด) เป็นประจำทุกปี เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างต่างๆ ที่คุณวางไว้ยังคงเป็นไปตามข้อกำหนดและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อคุณ
บางครั้งคุณจะได้รับข่าวดีอย่างไม่คาดคิด เช่น ตอนที่ผู้เขียนคู่มือฉบับนี้เริ่มทำธุรกิจ รายได้ก้อนเดียวกันของเขาจะต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนจากระบบประกันสังคมของ 2 ประเทศ และหลังจากทำธุรกิจไปไม่กี่ปี ก็ได้มีการลงนามในข้อตกลงรวมภาษีประกันสังคม (Totalization Agreement) ซึ่งช่วยให้เขา (และธุรกิจในทำนองเดียวกัน) จ่ายเงินให้กับระบบของประเทศที่พำนักอาศัยอยู่เท่านั้น การทำเช่นนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก ซึ่งทำได้เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตัวบทกฎหมาย ซึ่งเขาอาจจะพลาดโอกาสนี้ไปหากไม่ได้ทบทวนกลยุทธ์ด้านภาษีกับผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำ
คู่มือนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์และไม่ถือเป็นการให้คำแนะนำด้านกฎหมายหรือภาษี คำแนะนำ การไกล่เกลี่ย หรือการให้คำปรึกษาภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม คู่มือนี้และการที่คุณใช้คู่มือนี้ไม่ได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบทนายความกับลูกความกับ Stripe, Orrick หรือ PwC โดยคู่มือนี้เป็นเพียงความคิดของผู้เขียนเท่านั้น และไม่ได้รับรองและสะท้อนถึงความเชื่อของ Orrick เสมอไป ทั้งนี้ Orrick ไม่รับประกันหรือรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในคู่มือนี้ คุณควรขอคำแนะนำจากทนายความผู้เชี่ยวชาญหรือนักบัญชีที่มีใบอนุญาตดำเนินงานในเขตอำนาจศาลของคุณสำหรับปัญหาที่คุณพบเจอโดยเฉพาะ