อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน คือ เมตริกทางการเงินที่ใช้ประเมินความสามารถในการชําระหนี้สินระยะสั้นของธุรกิจด้วยสินทรัพย์ระยะสั้น หากต้องการคํานวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน ให้หารสินทรัพย์หมุนเวียนของธุรกิจด้วยหนี้สินหมุนเวียน สินทรัพย์หมุนเวียนมักประกอบด้วยเงินสด หนี้การค้า สินค้าคงคลัง และสินทรัพย์อื่นๆ ที่คาดว่าจะแปลงเป็นเงินสดภายใน 1 ปี หนี้สินหมุนเวียนคือภาระหน้าที่ เช่น เจ้าหนี้การค้า ค่าแรง ภาษี และหนี้สินระยะสั้นอื่นๆ ที่ธุรกิจต้องจ่ายภายใน 1 ปี
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นหมายถึงสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าธุรกิจสามารถครอบคลุมภาระหน้าที่ระยะสั้นด้วยสินทรัพย์ระยะสั้นได้ง่ายดาย ด้านล่างเรานี้ เราจะอธิบายองค์ประกอบของอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน วิธีคํานวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงข้อจํากัดและความท้าทายของเมตริกนี้
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนบอกอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
- องค์ประกอบของอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนมีอะไรบ้าง
- วิธีคํานวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
- อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเทียบกับอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว (และอัตราส่วนสภาพคล่องอื่นๆ)
- วิธีตีความอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนและแนวโน้ม
- ข้อจํากัดและความท้าทายของอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนบอกอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนจะบอกอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสถานะทางการเงินระยะสั้นและสภาพคล่องของธุรกิจ ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณจะทราบจากเมตริกนี้
ความสามารถในการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ระยะสั้น: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่สูงกว่า 1 แสดงว่าคุณมีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอ (เช่น เงินสด หนี้การค้า สินค้าคงคลัง) เพื่อครอบคลุมหนี้สินหมุนเวียน (หนี้สินค้างจ่ายและหนี้ระยะสั้น) ข้อมูลนี้จะบ่งชี้ว่าคุณมีสถานะที่ดีสำหรับการชําระหนี้ที่ครบกําหนดภายใน 1 ปี
การจัดการเงินทุนหมุนเวียน: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนยังสะท้อนว่าคุณจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้ดีเพียงใด อัตราส่วนที่สูงอาจบ่งชี้ว่าคุณมีเงินสดหรือสินค้าคงคลังอยู่มากเกินไป ซึ่งควรนําไปใช้ในการลงทุนหรือเพื่อขยายการเติบโตแทน อัตราส่วนที่ต่ําอาจส่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหากระแสเงินสด ซึ่งทําให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่มีในปัจจุบันได้ยาก
ความมั่นคงทางการเงินโดยรวม: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนยังระบุความมั่นคงทางการเงินโดยรวมได้ด้วย นักลงทุนและผู้ให้กู้มักจะดูอัตราส่วนนี้เพื่อประเมินระดับความเสี่ยงของธุรกิจ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการจัดการด้านการเงินและการเติบโต
จุดยืนในอุตสาหกรรม: การเปรียบเทียบอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนของคุณกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมจะมอบบริบทและช่วยให้คุณเข้าใจว่าสภาพคล่องของคุณสอดคล้องกับคู่แข่งหรือไม่ หากอัตราส่วนของคุณต่ํากว่ามาก ก็อาจระบุให้ทราบว่าควรปรับปรุงส่วนใดในการจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน
องค์ประกอบของอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนมีอะไรบ้าง
หากต้องการคํานวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน ให้หารสินทรัพย์หมุนเวียนด้วยหนี้สินหมุนเวียน ต่อไปนี้คือรายละเอียดขององค์ประกอบเหล่านี้
สินทรัพย์หมุนเวียน
นี่คือสินทรัพย์ที่คุณคาดว่าจะแปลงเป็นเงินสด ขาย หรือใช้ภายใน 1 ปีหรือภายในรอบวงจรธุรกิจ (ขึ้นอยู่กับว่ากรณีใดกินระยะเวลานานกว่า) หมวดหมู่ที่พบบ่อยของสินทรัพย์หมุนเวียนมีดังนี้
เงินสดและสิ่งที่เทียบเท่าเงินสด: เงินสดในมือและหลักทรัพย์สภาพคล่องทั้งหมดที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว
หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด: การลงทุนระยะสั้นที่สามารถขายได้ง่ายในตลาด
หนี้การค้า: เงินที่ลูกค้าติดค้างธุรกิจสําหรับสินค้าหรือบริการที่นำส่งโดยใช้เครดิต
สินค้าคงคลัง: วัตถุดิบ สินค้าอยู่ที่ระหว่างดําเนินการ และสินค้าสําเร็จรูปที่คาดว่าจะมีจําหน่ายภายใน 1 ปี
ค่าใช้จ่ายที่ชําระล่วงหน้า: การชําระเงินล่วงหน้าสําหรับสินค้าหรือบริการที่จะได้รับ เช่น การประกันภัยหรือค่าเช่า
หนี้สินหมุนเวียน
นี่คือภาระหน้าที่ที่ธุรกิจต้องชําระภายใน 1 ปีหรือภายในรอบวงจรของธุรกิจ หนี้สินหมุนเวียนโดยทั่วไปมีดังนี้
เจ้าหนี้การค้า: เงินธุรกิจที่ต้องชําระให้กับซัพพลายเออร์สําหรับสินค้าและบริการที่ได้รับ
หนี้ระยะสั้น: หนี้หรือเงินกู้ที่ต้องชําระคืนภายในปีหน้า รวมถึงส่วนปัจจุบันของหนี้ระยะยาว
หนี้สินคงค้าง: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่ได้ชําระ เช่น ค่าแรง ภาษี และค่าสาธารณูปโภค
รายได้รอการตัดบัญชี: เงินที่ได้รับจากลูกค้าสําหรับสินค้าหรือบริการที่จะจัดส่ง
ภาระหน้าที่ระยะสั้นอื่นๆ: ค่าเช่าระยะสั้น การจ่ายเงินปันผล และหนี้สินอื่นๆ ที่ครบกําหนดชําระภายใน 1 ปี
วิธีคํานวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
หากต้องการคํานวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน ให้หารสินทรัพย์หมุนเวียนของธุรกิจด้วยหนี้สินหมุนเวียน ต่อไปนี้คือรายละเอียดของการคํานวณนี้
รวบรวมข้อมูลทางการเงิน
เตรียมข้อมูลงบดุลล่าสุดของธุรกิจ งบการเงินฉบับนี้จะแสดงภาพรวมสินทรัพย์ หนี้สิน และกรรมสิทธิหุ้นส่วน ณ เวลาหนึ่งๆ ให้ระบุ แล้วสร้างรายการสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมดจากงบดุล
คํานวณสินทรัพย์หมุนเวียน
รวมมูลค่าของสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมด รวมทั้งรายการต่อไปนี้
เงินสด
หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด
หนี้การค้า
สินค้าคงคลัง
ค่าใช้จ่ายที่ชําระล่วงหน้า
คํานวณหนี้สินหมุนเวียน
รวมมูลค่าของหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยการรายการต่อไปนี้
เจ้าหนี้การค้า
หนี้ระยะสั้น
ค่าใช้จ่ายคงค้าง
หนี้ระยะยาวส่วนปัจจุบัน
ภาษีค้างจ่าย
หารสินทรัพย์หมุนเวียนด้วยหนี้สินหมุนเวียน
ใช้สูตรนี้ในการคํานวณอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน:
สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน = อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
ตัวอย่างการคํานวณ
สมมติว่าธุรกิจมีสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียนดังต่อไปนี้
เงินสด: $50,000
หนี้การค้า: $100,000
สินค้าคงคลัง: $75,000
เจ้าหนี้การค้า: $80,000
หนี้ระยะสั้น: $50,000
ต่อไปนี้คือวิธีการคํานวณสินทรัพย์หมุนเวียน หนี้สินหมุนเวียน และอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
สินทรัพย์หมุนเวียน: $50,000 + $100,000 + $75,000 = $225,000
หนี้สินหมุนเวียน: $80,000 + $50,000 = $130,000
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน: $225,000 / $130,000 = 1.73
ในตัวอย่างนี้ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน 1.73 บ่งชี้ว่าธุรกิจมีมูลค่า $1.73 ในสินทรัพย์หมุนเวียนสําหรับหนี้สินหมุนเวียนทุกๆ $1 ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจมีสถานะที่ดีในการครอบคลุมภาระทางการเงินระยะสั้น อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนระหว่าง 1.5 ถึง 2 ถือว่ามีสถานะที่ดี แต่อาจแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและโมเดลธุรกิจ
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเทียบกับอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว (และอัตราส่วนสภาพคล่องอื่นๆ)
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนและอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว คือ อัตราส่วนเงินทุนที่มีสภาพคล่อง ซึ่งจะวัดความสามารถของธุรกิจในการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ทางการเงินระยะสั้น ข้อมูลทั้งสองอย่างนี้มีประเภทของสินทรัพย์ที่นำมาพิจารณาซึ่งแตกต่างกัน และเสนอมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับสภาพคล่องของธุรกิจ ต่อไปนี้คือข้อมูลสรุปของการเปรียบเทียบระหว่างอัตราส่วนทั้งสองแบบนี้ และข้อมูลอัตราส่วนเงินทุนสภาพคล่องอื่นๆ ที่นำมาใช้ได้
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนรวมสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมด ได้แก่ เงินสด หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด หนี้การค้า สินค้าคงคลัง และค่าใช้จ่ายที่ชำระล่วงหน้า ข้อมูลนี้จะมอบมุมมองสภาพคล่องของธุรกิจในวงกว้าง โดยพิจารณาจากสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดที่แปลงเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปี อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นแสดงถึงความสามารถที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในการรับมือกับหนี้ระยะสั้น ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่ต่ํากว่าอาจบ่งชี้ว่าอาจเกิดปัญหาสภาพคล่องและปัญหาในการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ระยะสั้น
สูตร: สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน = อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว (acid-test ratio)
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็วรวมเฉพาะสินทรัพย์หมุนเวียนที่มีสภาพคล่องที่สุดเท่านั้น ซึ่งได้แก่ เงินสด หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด และหนี้การค้า โดยจะไม่รวมสินค้าคงคลังและค่าใช้จ่ายที่ชำระล่วงหน้า อัตราส่วนนี้จะมอบมุมมองสภาพคล่องที่ระมัดระวังมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปยังสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว (ปกติแล้วคือภายใน 90 วัน) อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็วที่สูงชี้ให้เห็นว่าธุรกิจจะรับผิดชอบหนี้สินที่เกิดขึ้นทันทีได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องขายสินค้าในคลัง แต่อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็วที่ต่ํากว่าอาจบ่งชี้ว่าเกิดปัญหากับกระแสเงินสดและจะปฏิบัติตามภาระผูกพันระยะสั้นได้ยาก
สูตร: (เงินสด + หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด + หนี้การค้า) / หนี้สินหมุนเวียน = อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว
อัตราส่วนเงินสด
นี่คืออัตราส่วนสภาพคล่องที่ให้ข้อมูลในเชิงระมัดระวังมากที่สุด โดยจะพิจารณาเฉพาะเงินสดและสิ่งที่เทียบเท่าเท่านั้น
สูตร: (เงินสด + หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด) / หนี้สินหมุนเวียน = อัตราส่วนเงินสด
อัตราส่วนกระแสเงินสดในการดําเนินงาน
อัตราส่วนนี้วัดความสามารถของธุรกิจในการสร้างเงินสดจากการดําเนินงานหลักเพื่อครอบคลุมหนี้ระยะสั้น
สูตร: กระแสเงินสดในการดําเนินงาน / หนี้สินหมุนเวียน = อัตราส่วนกระแสเงินสดในการดําเนินงาน
เงินทุนหมุนเวียน
ข้อมูลนี้แสดงจํานวนเงินทุนที่ใช้ได้เพื่อปฏิบัติตามภาระผูกพันทางการเงินระยะสั้น
สูตร: สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน = เงินทุนหมุนเวียน
การเลือกอัตราเงินทุนที่เหมาะสม
เมื่อตัดสินใจเลือกวิธีประเมินสภาพคล่องแล้ว โปรดพิจารณาบริบทและข้อมูลที่คุณกําลังมองหา อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนให้มุมมองที่ครอบคลุม ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็วเป็นตัวบ่งชี้ถึงความพร้อมใช้งานของเงินสดที่ดีขึ้นในระยะสั้น อัตราส่วนเงินสดเน้นสินทรัพย์สภาพคล่องมากที่สุดเท่านั้น ขณะที่อัตราส่วนกระแสเงินสดในการดําเนินงานจะประเมินสภาพคล่องจากจุดยืนด้านการดําเนินงาน ส่วนเงินทุนหมุนเวียนจะมอบข้อมูลเป็นค่าตัวเลข เมตริกแต่ละอย่างเหล่านี้สามารถอธิบายความแตกต่างเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้
วิธีตีความอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนและแนวโน้ม
การตีความอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนกําหนดให้คุณต้องเข้าใจแนวโน้มต่างๆ ตามช่วงเวลา บริบทของอุตสาหกรรม และวิธีที่การเปลี่ยนแปลงในอัตราส่วนอาจสะท้อนถึงเงื่อนไขทางการเงินหรือการตัดสินใจด้านการจัดการที่สําคัญ ต่อไปนี้คือวิธีการตีความอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนและแนวโน้ม
การตีความขั้นพื้นฐาน
มากกว่า 1.0: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่มากกว่า 1.0 บ่งชี้ว่าธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าธุรกิจควรสามารถปฏิบัติงานในระยะสั้นได้โดยไม่ต้องขายสินทรัพย์ระยะยาว หรือระดมทุนเพิ่มเติม อัตราส่วนที่สูงอาจแสดงให้เห็นว่ามีการใช้สินทรัพย์อย่างไร้ประสิทธิภาพ
ต่ํากว่า 1.0: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่ต่ํากว่า 1.0 แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน ซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้น ข้อมูลนี้อาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของธุรกิจในการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ระยะสั้น ซึ่งจะนําไปสู่ปัญหาทางการเงิน หากยังคงไม่สามารถฟื้นฟูสถานการณ์ได้
ข้อควรพิจารณาด้านบริบทและอุตสาหกรรม
มาตรฐานอุตสาหกรรม: บรรทัดฐานสําหรับอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนอาจแตกต่างกันไปในอุตสาหกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่มีอัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลังสูงอาจดําเนินงานได้ดีในขณะที่มีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนต่ำกว่า ส่วนอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนสูงควรมีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้เจ้าหนี้และนักลงทุน
เงื่อนไขทางเศรษฐกิจ: ในช่วงขาลงของเศรษฐกิจ โดยทั่วไปแล้วอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนจะลดลง เพราะธุรกิจทำการกันวงเงินที่เป็นเงินสดหรือมีอัตราการกู้ยืมระยะสั้นเพิ่มขึ้น แต่ในเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู ธุรกิจอาจมีอัตราส่วนที่สูงขึ้น เนื่องจากยอดขายเพิ่มและกระแสเงินสดก็สูงขึ้นด้วย
การวิเคราะห์แนวโน้ม
อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปอาจบ่งบอกถึงสภาพคล่องที่ดีขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการจัดการสินทรัพย์ที่ดีขึ้นหรือมีการสะสมเงินสดมากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจสะท้อนให้เห็นว่ามีการลดลงของหนี้ระยะสั้นหรือมีแนวทางการเรียกเก็บเงินที่ดีขึ้น
อัตราส่วนที่ลดลง: อัตราส่วนที่ลดลงอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากระดับหนี้สิน ต้นทุนสินค้าคงคลังที่สูงขึ้น หรือการเรียกเก็บเงินที่ช้าลงสําหรับหนี้การค้า แนวโน้มนี้ต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและสร้างกลยุทธ์เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
การใช้งานจริง
ต่อไปนี้คือวิธีใช้อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อวิเคราะห์สถานะทางการเงินของธุรกิจและทำการตัดสินใจที่สําคัญ
การวิเคราะห์เปรียบเทียบ: เปรียบเทียบอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและคู่แข่งรายใหญ่ เพื่อประเมินประสิทธิภาพทางการเงินสัมพัทธ์ หากอัตราส่วนของธุรกิจแตกต่างจากบริษัทในแวดวงเดียวกัน ก็ควรได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม
การวิเคราะห์แบบองค์รวม: พิจารณาอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนร่วมกับตัวบ่งชี้และอัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ เช่น อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็วและอัตราส่วนกระแสเงินสดในการดําเนินงาน แนวทางแบบองค์รวมนี้ช่วยให้มองเห็นภาพรวมเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงินและประสิทธิผลการดําเนินงานของธุรกิจได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น
การตัดสินใจที่สําคัญ: ฝ่ายบริหารธุรกิจมักใช้แนวโน้มของอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อทำการตัดสินใจที่สําคัญ หากอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนสูง ฝ่ายบริหารอาจพิจารณาลงทุนสินทรัพย์ส่วนเกินเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตหรือมอบผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น โดยจ่ายเงินปันผลหรือซื้อหุ้นคืน ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนต่ําอาจกระตุ้นให้มีการจัดการเงินสดดีขึ้น เช่น การยกระดับเงื่อนไขด้านเครดิต การเพิ่มอัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง หรือการก่อหนี้ระยะสั้น
ข้อจํากัดและความท้าทายของอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนมีข้อจํากัดและความท้าทายบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นประโยชน์ในฐานะเครื่องมือการวินิจฉัย ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรใช้อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนร่วมกับเมตริกทางการเงินอื่นๆ และปัจจัยเชิงคุณภาพเพื่อประเมินสภาพคล่องและสถานะทางการเงินของธุรกิจอย่างสมบูรณ์ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว อัตราส่วนเงินสด และงบกระแสเงินสดยังอาจให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมได้
ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรทราบเกี่ยวกับข้อจํากัดของอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
ไม่มีความแตกต่างระหว่างประเภทสินทรัพย์: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนถือว่าสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งอาจไม่เป็นจริงเสมอไป ตัวอย่างเช่น เงินสดจะพร้อมให้ใช้ชําระหนี้สินทันที ในขณะที่หนี้การค้าอาจใช้เวลา 30, 60 หรือ 90 วันในการแปลงเป็นเงินสด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเครดิต สินค้าคงคลังนั้นยิ่งมีสภาพคล่องน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสินค้าที่ขายได้ช้าหรือล้าสมัย การไม่พิจารณาความแตกต่างนี้อาจให้ภาพที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับภาพสภาพคล่องของธุรกิจ เพราะสินทรัพย์ต่างๆ ที่ยังไม่ได้แปลงเป็นเงินสดกลับได้รับการคำนวณอย่างเท่าเทียม
ผลกระทบด้านมูลค่าของสินค้าคงคลัง: สินค้าคงคลังซึ่งเป็นองค์ประกอบสําคัญของสินทรัพย์หมุนเวียนสําหรับธุรกิจหลายๆ แห่ง อาจมีการตีมูลค่าได้หลายวิธี (เช่น วิธีเข้าก่อนออกก่อน [FIFO], วิธีเข้าหลังออกก่อน [LIFO], ต้นทุนเฉลี่ย) วิธีการเหล่านี้อาจส่งผลต่อการประเมินมูลค่าสินค้าคงคลัง และจะส่งผลต่ออัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนด้วย ในช่วงที่เงินเฟ้อ LIFO อาจนําไปสู่การประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังและอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่ต่ําลงเมื่อเทียบกับ FIFO ซึ่งอาจส่งผลให้ประเมินสภาพคล่องของธุรกิจผิดพลาด
อัตราที่เปลี่ยนตามฤดูกาล: ธุรกิจในอุตสาหกรรมตามฤดูกาลอาจมีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่ผันผวนอย่างมากในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของปี ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าปลีกอาจมีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนสูงหลังจากฤดูกาลวันหยุด เนื่องจากกระแสเงินสดขาเข้า แต่อัตราส่วนที่ต่ํากว่ามากในช่วงเวลาอื่นๆ ความผันผวนนี้ทําให้เป็นเรื่องยากที่จะประเมินประสิทธิภาพทางการเงินของธุรกิจด้วยการวัดอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว โดยไม่พิจารณาบริบทตามฤดูกาล
ช่วงเวลาของภาระในระยะสั้น: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนไม่ได้คํานึงถึงช่วงเวลาของกระแสเงินสด ธุรกิจอาจมีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนในสถานะที่ดี แต่หากหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้สินหมุนเวียนที่ใกล้ครบกําหนดชําระ และสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนใหญ่ของบริษัทผูกอยู่กับหนี้การค้าหรือสินค้าคงคลัง ธุรกิจนั้นก็อาจยังประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง
การเหมารวมอุตสาหกรรมมากเกินไป: อุตสาหกรรมหลายประเภทดําเนินธุรกิจด้วยโมเดลธุรกิจและความต้องการด้านเงินทุนที่แตกต่างกัน อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่ถือว่ามีสถานะดีในอุตสาหกรรมหนึ่งอาจต่ําเกินไปหรือสูงเกินไปในอุตสาหกรรมอื่น ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมการผลิตมักจะต้องมีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนสูงกว่า เนื่องจากจําเป็นจะต้องรักษาสินค้าคงคลังและหนี้การค้าจํานวนมาก ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจที่มุ่งเน้นบริการ ที่จะมีสินทรัพย์สภาพคล่องมากกว่า
คุณภาพของหนี้การค้า: อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนถือว่าหนี้การค้าเป็นสินทรัพย์ที่จะเรียกเก็บได้ภายในกําหนดเวลาชําระ แต่หากลูกหนี้การค้าจํานวนมากไม่ชำระเงินตามกำหนดหรือเรียกเก็บเงินไม่ได้ สถานะสภาพคล่องของจริงอาจอ่อนแอกว่าอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่คาดไว้
ผลกระทบของการตกแต่งบัญชี: ธุรกิจอาจใช้เทคนิคงการตกแต่งบัญชีเพื่อทําให้งบการเงินดูดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจชะลอการชําระเงินให้ผู้ให้บริการ เพื่อให้เจ้าหนี้การค้าอยู่ในระดับต่ํา หรือเร่งเก็บหนี้การค้าในช่วงสิ้นสุดรอบการรายงาน การดําเนินการดังกล่าวอาจเพิ่มอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนชั่วคราว ซึ่งแสดงมุมมองที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาพทางการเงินของธุรกิจ
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ