Recruiting, hiring, and managing talent

How to recruit at any stage

ภาพอวาตาร์ของ Elad Gil
Elad Gil

Elad Gil is an investor, advisor, and entrepreneur who has helped small startups become global brands. He is the author of High Growth Handbook.

  1. บทแนะนำ
  2. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดหาทรัพยากรบุคคล
    1. เขียนเอกสารอธิบายตำแหน่งงานให้กับทุกตำแหน่ง
    2. ถามคำถามเดียวกันกับผู้สมัครทุกคน
    3. กำหนดจุดที่จะให้ผู้สัมภาษณ์ให้ความสนใจก่อนการสัมภาษณ์
    4. การสัมภาษณ์ด้วยผลิตภัณฑ์ตามงาน
    5. การให้คะแนนผู้สมัคร
    6. ดำเนินการอย่างรวดเร็ว
    7. ตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงของผู้สมัคร
    8. ผู้สมัครที่มีความหลากหลาย
  3. การขยายขนาดองค์กรด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคล
    1. ช่วงแรก: ทีมของคุณทำหน้าที่ฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคล
    2. การขยายธุรกิจในช่วงเริ่มต้น: ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลภายในองค์กร
    3. การเติบโตสูง: บทบาทองค์กรด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคลหลายตำแหน่ง
    4. การจ้างผู้บริหาร: ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลแบบผูกขาด
  4. การเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงาน
    1. ส่งจดหมายต้อนรับ
    2. แพ็คเกจต้อนรับ
    3. ระบบบัดดี้
    4. ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีความเป็นเจ้าของที่แท้จริง
    5. กำหนดเป้าหมาย

คู่มือนี้เป็นข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือ High Growth Handbook ของ Elad ที่ตีพิมพ์โดย Stripe Press ซึ่งนำเสนอคู่มือปฏิบัติสำหรับการเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดของสตาร์ทอัพ

หนึ่งในความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดที่บริษัทต้องเผชิญเมื่อขยายธุรกิจคือการปรับปรุงขั้นตอนการจัดหาทรัพยากรบุคคลและการเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงานใหม่ ตอนที่ Twitter ซื้อสตาร์ทอัพของผมไป บริษัทเรามีพนักงานเพียง 90 คน อีก 2 ปีครึ่งต่อมาเมื่อผมลาออก Twitter ก็เติบโตจนมีพนักงานเกือบ 1,500 คน และ 93% ของพนักงานก็เป็นพนักงานใหม่

หากต้องการเพิ่มพนักงานให้ได้ 500 คนต่อปี คุณต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินการ และปรับขนาดองค์กรด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคล คุณต้องครุ่นคิดเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงานใหม่ รวมถึงต้องรักษาและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรของตนเอง

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดหาทรัพยากรบุคคล

เมื่อคุณขยายธุรกิจ การจ้างพนักงาน 10 คนต่อปี ไปเป็น 10 คนต่อสัปดาห์ ขั้นตอนการจัดหาทรัพยากรบุคคลจำนวนไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถช่วยรักษามาตรฐานให้สูงและเร่งการจ้างพนักงานหลักๆ ได้

เขียนเอกสารอธิบายตำแหน่งงานให้กับทุกตำแหน่ง

บริษัทหลายแห่งเริ่มต้นด้วยการจัดหาทรัพยากรบุคคลสำหรับตำแหน่งเพียงไม่กี่ตำแหน่งผ่านเครือข่ายส่วนตัว เช่น วิศวกรและนักออกแบบ เมื่อบริษัทขยายธุรกิจเกินกว่าจะมีพนักงานทำหน้าที่ตนเองเพียงไม่กี่อย่าง ผู้ที่กำลังรับสมัครพนักงานจึงจำเป็นต้องเข้าใจว่าสิ่งสำคัญที่ต้องมองหาในตัวบุคคลที่กำลังจะจ้างมีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังจะจ้างนักพัฒนาธุรกิจเป็นครั้งแรก (ดู “วิธีจ้างนักพัฒนาธุรกิจที่เก่งกาจ”) เราควรมองหาอะไรในตัวบุคคลนั้นๆ และในบทบาทนั้นๆ วิศวกรที่เป็นคณะกรรมการสัมภาษณ์อาจไม่ทราบถึงความแตกต่างระหว่างผู้พัฒนาธุรกิจกับพนักงานขาย การชี้แจงชุดทักษะและบทบาทเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทุกคนมองหาผู้สมัครที่ตรงกับตำแหน่ง

คุณควรเขียนเอกสารอธิบายตำแหน่งงานสำหรับแต่ละตำแหน่งเพื่ออธิบายว่าตำแหน่งนั้นๆ จะต้องทำอะไรบ้าง รวมถึงประสบการณ์และภูมิหลังที่คุณมองหา นอกจากนี้ คุณยังสามารถเขียนรายการสิ่งที่คุณไม่ได้มองหาหรือคิดว่าไม่สำคัญด้วยก็ได้ ควรเผยแพร่คำอธิบายนี้ให้กับผู้ที่จะมาสัมภาษณ์งาน พร้อมเขียนโน้ตสั้นๆ อธิบายสิ่งที่ผู้จัดการฝ่ายจัดจ้างกำลังมองหาและจัดลำดับความสำคัญ หากทีมของคุณตั้งคำถามในภายหลังว่าจะจ้างใครมาทำตำแหน่งนี้ คุณก็สามารถอ้างอิงเอกสารอธิบายตำแหน่งงานเดิมเพื่อแก้ไขสมมติฐานที่ยังไม่ตรง

ถามคำถามเดียวกันกับผู้สมัครทุกคน

ให้ถามคำถามสัมภาษณ์แบบเดียวกันหรือคล้ายกันกับผู้สมัครตำแหน่งที่กำหนดทุกคน วิธีนี้จะช่วยให้คุณปรับเทียบผู้สมัครจากคำถามที่เหมือนกันได้

กำหนดจุดที่จะให้ผู้สัมภาษณ์ให้ความสนใจก่อนการสัมภาษณ์

ส่วนมากคุณต้องการสัมภาษณ์ผู้สมัครเกี่ยวกับด้านที่เจาะจงกับตำแหน่งของพวกเขา ตัวอย่างเช่น คุณอาจสัมภาษณ์ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกของผลิตภัณฑ์ ความสำเร็จในอดีต ความเหมาะสมทางวัฒนธรรม ฯลฯ แทนที่จะให้ผู้สัมภาษณ์ผู้สมัครถามคำถามชุดเดียวกันในทุกแง่มุม คุณอาจให้ผู้สัมภาษณ์ 3-4 คนโฟกัสไปที่ประเด็นที่แตกต่างกันซึ่งคุณมอบหมายให้ก่อนการสัมภาษณ์ วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของแต่ละประเด็นได้อย่างลึกซึ้ง แทนที่จะมองภาพรวมทั้งหมดอย่างผิวเผิน

นอกจากนี้ หากคุณสัมภาษณ์บุคคลนั้นในรอบสอง คุณก็สามารถเน้นย้ำถึงประเด็นที่น่ากังวลด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะจงมากขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการเปลี่ยนผู้สมัครมาเป็นพนักงานคือคุณสามารถสัมภาษณ์ได้เร็วแค่ไหน และสามารถยื่นข้อเสนอได้ไวแค่ไหน

การสัมภาษณ์ด้วยผลิตภัณฑ์ตามงาน

สำหรับบางตำแหน่ง วิธีที่ดีที่สุดในการประเมินผู้สมัคร (นอกเหนือจากความรู้เดิมจากการทำงานร่วมกับพวกเขา) คือการให้ผู้สมัครพัฒนาผลงานโดยเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการสัมภาษณ์ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งในสถานที่ทำงานหรือนำกลับไปทำที่บ้าน ตัวอย่างเช่น วิศวกรอาจทำแบบฝึกหัดการเขียนโค้ด หรือนักออกแบบอาจได้รับมอบหมายให้ทำพิมพ์เขียวหรือเวิร์กโฟลว์แบบง่ายๆ ของผลิตภัณฑ์สมมติ นักการตลาดอาจได้รับมอบหมายให้สร้างแผนการตลาดของผลิตภัณฑ์สมมติ โดยทั่วไปแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการขอให้ทำงานหรือขอความคิดเห็นจากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมีอยู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้สมัครรู้สึกว่าทำงานฟรี

การให้คะแนนผู้สมัคร

เมื่อผู้สัมภาษณ์แต่ละคนสัมภาษณ์เสร็จสิ้นแล้ว ก็ควรให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้สมัครเองก่อนที่จะพูดคุยกับผู้สัมภาษณ์คนอื่นๆ วิธีนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เผลอสร้างความลำเอียงแก่กันและกัน และบังคับกลายๆ ให้ผู้สัมภาษณ์แต่ละคนต้องแสดงจุดยืนเกี่ยวกับผู้สมัครแต่ละคนเป็นลายลักษณ์อักษร คุณยังสามารถใช้ระบบการจัดอันดับแบบตัวเลข (เช่น 1–5 คะแนน) หรือแบบ “จ้าง/ไม่จ้าง” ก็ได้ สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ และต้องให้ผู้สัมภาษณ์เข้าใจความหมายของผลจากอันดับเหล่านี้อย่างชัดเจน การให้คะแนนที่สม่ำเสมอจะช่วยให้คุณปฏิเสธหรือพิจารณาผู้สมัครได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไป ระบบการให้คะแนนจะช่วยไม่ให้ผู้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นแบบ "กลางๆ" ได้ ดังนั้น กรอบการทำงานแบบ "จ้าง/ไม่จ้าง" จึงไม่มีตัวเลือก "ไม่มีความคิดเห็น"

ดำเนินการอย่างรวดเร็ว

ทุกบริษัทที่เคยว่าจ้างหรือที่เคยร่วมงานด้วยต่างตระหนักดีว่าปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการเปลี่ยนผู้สมัครมาเป็นพนักงานคือความเร็วในการสัมภาษณ์และความเร็วในการยื่นข้อเสนอ นอกเหนือจากการตัดสินใจเลือกแล้ว ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องติดตามคือระยะเวลาที่ผู้สมัครใช้ในแต่ละขั้นตอนของการสัมภาษณ์ คุณควรเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เวลาให้สั้นลงในแต่ละขั้นตอนและการยื่นข้อเสนอได้อย่างรวดเร็ว

ตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงของผู้สมัคร

การตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงมักเผยสัญญาณจากผู้สมัครที่ชัดเจนที่สุด คุณควรตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงของทุกคน แต่ควรระวังเหล่าพนักงานฝั่งธุรกิจไว้หน่อย เพราะพวกเขามักจะใช้เพื่อนของตัวเองในองค์กรเป็นผู้อ้างอิง จึงได้รับการแนะนำอย่างดูดีสุดๆ จากเพื่อนตัวเอง เราพบว่าฝ่ายวิศวกรรมและฝ่ายอื่นๆ มักจะให้ข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับเพื่อนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์มากกว่า เพื่อชดเชยโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้ลองขยายขอบเขตของข้อมูลอ้างอิงจากพนักงานฝั่งธุรกิจที่คุณตรวจสอบไปยังฝ่ายอื่นๆ เพื่อให้เห็นทักษะและจุดที่ต้องพัฒนาอย่างชัดเจนมากขึ้น

ผู้สมัครที่มีความหลากหลาย

การดำเนินการให้มั่นใจถึงความหลากหลาย (ด้านเพศ เชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ รสนิยมทางเพศ ชนชั้นทางสังคมหรือภูมิหลัง และอื่นๆ) ในฐานพนักงานและขั้นตอนการสัมภาษณ์เป็นหัวข้อที่นำเสนอในหนังสือและบล็อกมากมาย แหล่งข้อมูลอันยอดเยี่ยมของเรื่องดังกล่าวอยู่ในเว็บไซต์ Paradigm ของ Joelle Emerson ซึ่งเน้นไปที่แนวทางการจ้างงานที่หลากหลาย คุณยังสามารถอ่านบทสัมภาษณ์ของ Joelle ได้ในภายหลังในหนังสือเล่มนี้

การดำเนินการให้มีพนักงานที่หลากหลายมีรายละเอียดและความละเอียดอ่อนปลีกย่อยมากมาย โดยมีประเด็นสำคัญบางประการดังนี้

1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีผู้สมัครที่มีความหลากหลายในแต่ละตำแหน่ง คุณจะมีฐานพนักงานที่มีความหลากหลายไม่ได้เลยหากคุณรับประกันไม่ได้ว่าจะมีผู้สมัครที่มีความหลากหลายในช่องทางการสรรหา การสร้างช่องทางการสรรหาที่มีความหลากหลายไม่เพียงแต่หมายถึงการหาผู้สมัครจากกลุ่มผู้สมัครที่หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้ภาษาในเอกสารอธิบายตำแหน่งงานของคุณ วิธีการนำเสนอพนักงานในเว็บไซต์ และปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อผู้สมัครอีกด้วย

2. ให้ความสำคัญกับการขจัดอคติออกจากวิธีการสัมภาษณ์ มีอคติหลายประการในวิธีการสัมภาษณ์ตามมาตรฐานทั่วไป ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น มีการปิดชื่อและเพศของผู้สมัครในขั้นตอนการตรวจสอบเรซูเม่หรือไม่

3. จัดให้มีสวัสดิการที่รองรับความต้องการของพนักงานมีสัดส่วนน้อย การลางานเพื่อเลี้ยงดูบุตรแบบได้รับเงินเดือนเป็นตัวอย่างง่ายๆ ทั้งนี้ ลองพิจารณากลุ่มพนักงานที่มีศักยภาพของคุณให้กว้างขึ้น แล้วพิจารณาสิทธิประโยชน์ที่จะช่วยให้คนกลุ่มนี้ได้ใช้ความสามารถในการทำงานให้บริษัทของคุณได้ดียิ่งขึ้น

การขยายขนาดองค์กรด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคล

การใช้บริการบริษัทจัดหาทรัพยากรบุคคลโดยสตาร์ทอัพจะเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังมือตลอดอายุของบริษัท

ในฐานะบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็ก (เช่น มีพนักงาน 3–10 คน) การใช้บริษัทจัดหาทรัพยากรบุคคลมักจะไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่ากับผ่านการสร้างเครือข่ายของผู้ก่อตั้งหรือพนักงานโดยตรงผ่าน LinkedIn และเครื่องมืออื่นๆ ในทางกลับกัน ตอนที่ผมอยู่ที่ Twitter บริษัทก็เติบโตจากประมาณ 90 คนไปเป็นประมาณ 1,500 คนภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง เมื่อบริษัทของคุณขยายธุรกิจจนมีพนักงานหลายร้อยหรือหลายพันคน คุณจะต้องการนำผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้สรรหา ผู้จัดการโครงการมหาวิทยาลัย และอื่นๆ เข้ามาทำงานในบริษัท และอาจใช้ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลแบบผูกขาดจากภายนอกเพื่อหาตำแหน่งผู้บริหาร

ช่วงแรก: ทีมของคุณทำหน้าที่ฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคล

วิธีที่ดีที่สุดในการจัดหาทรัพยากรบุคคลในช่วงแรกคือการให้คนในทีมแนะนำบุคลากรจากเครือข่ายของตนเองเข้ามา เช่นเดียวกัน ผู้ก่อตั้งและพนักงานยุคแรกหลายคนใช้เวลามากถึง 30-50% (เช่น เมื่อขยายจากพนักงาน 3 เป็น 15 คน) ไปกับการหาบุคลากรในช่วงแรก ถึงอย่างนั้นก็ตาม เราไม่มีวิธีแก้ไขง่ายๆ ใดกับปัญหานี้ คุณต้องพยายามหาคนจำนวนมาก (ผ่านเครือข่าย, LinkedIn, เพื่อน ฯลฯ) เพื่อหาคนจำนวนหนึ่งมาร่วมทีมกับคุณ

สตาร์ทอัพบางแห่งที่ผมรู้จักประสบความสำเร็จในการจ้างคนที่เป็นทั้งผู้จัดการสำนักงาน ผู้จัดการโซเชียลมีเดีย และผู้ประสานงานการจัดหาทรัพยากรบุคคล บุคคลแนวนี้มักใช้เวลาจำนวนมากไปกับการกำหนดตารางการแนะนำผู้สมัครและติดต่อกับผู้สมัครที่ไม่มองหางานอยู่ผ่านทางอีเมลและ LinkedIn เมื่อผู้สมัครแสดงความสนใจแล้ว บุคคลดังกล่าวจะส่งผู้สมัครต่อไปยังผู้ก่อตั้งหรือผู้จัดการฝ่ายจัดจ้าง

การขยายธุรกิจในช่วงเริ่มต้น: ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลภายในองค์กร

เมื่อบริษัทขยายธุรกิจไปถึงระดับหนึ่งและเติบโตอย่างรวดเร็วมากพอ (การเพิ่มพนักงาน 15-20 คนขึ้นไปต่อปี) การจ้างผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ในช่วงแรก ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลจะมีบทบาทที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในบริษัทขนาดใหญ่จะแบ่งบทบาทออกเป็นดังนี้

  • การสรรหา
  • การดำเนินการตามขั้นตอนการจัดหาทรัพยากรบุคคล (การจัดตารางเวลา การรวบรวมความคิดเห็น การประสานงานกับผู้จัดการฝ่ายจัดจ้าง ฯลฯ)
  • ในบางกรณีอาจรวมถึงการยื่นข้อเสนอ (แม้ว่าผมจะมองว่าผู้จัดการฝ่ายจัดจ้างหรือผู้ก่อตั้งจะทำเองได้)

ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลจะสามารถจ้างวิศวกรได้ 1-4 คนต่อเดือน ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลนั้นๆ (และที่สำคัญคือการสื่อสารถึงแบรนด์ของบริษัทให้กับผู้สมัคร) จำนวนที่ว่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของบริษัทและการเพิ่มตำแหน่งงานที่แตกต่างกัน (ดูด้านล่าง)

การที่ผู้จัดการฝ่ายจัดจ้างและผู้บริหารคนอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการสรรหาบุคลากรนั้นมีความสำคัญชนิดที่ย้ำเท่าไรก็คงไม่พอ

ซึ่งหมายความว่าหากคุณจ้างวิศวกรไม่เกิน 15 คนต่อปี คุณอาจต้องใช้ฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคลแบบพาร์ทไทม์หรือแบบแบ่งบทบาทมา เลื่อนตำแหน่งด้วยตนเองผ่านการแนะนำในบริษัท หรือหารูปแบบทางเลือกที่มีฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคลจากภายนอก

สำหรับตำแหน่งงานที่ไม่ใช่ตำแหน่งทางวิศวกรรม (เช่น ฝ่ายขาย) ฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคลเพียงคนเดียวอาจสามารถจ้างคนได้มากขึ้นในแต่ละเดือน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากลักษณะการจ้างพนักงานฝ่ายขายที่ส่วนมากมาจากการแนะนำกันเองเป็นหลัก รวมถึงความจริงที่ว่าบริษัทที่เน้นการเติบโตของฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด และฝ่ายพัฒนาธุรกิจนั้นมีน้อยกว่า ในทางกลับกัน สตาร์ทอัพทุกแห่งต่างพยายามว่าจ้างวิศวกรและนักออกแบบ

สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคลได้แก่

  • แบรนด์สตาร์ทอัพที่มีผู้สมัคร
  • ความแข็งแกร่งของผู้จัดการฝ่ายจัดจ้างและทีมผู้บริหารในฐานะฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคล หากบุคคลเหล่านี้กระตือรือร้นและมีส่วนร่วม ก็จะทำให้การสรรหาบุคลากรราบรื่นขึ้น และจะจัดหาและปิดรับผู้สมัครได้มากขึ้น
  • ความกว้างขวางของเครือข่ายพนักงานในบริษัท

ความสำคัญของการที่ผู้จัดการฝ่ายจัดจ้างและผู้บริหารคนอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการจัดหาทรัพยากรบุคคล (ผ่านการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการ การยื่นข้อเสนอ การรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน ฯลฯ) เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ไม่ว่าองค์กรด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคลของคุณจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ผู้สมัครย่อมต้องการพบปะกับบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในบริษัทอยู่เสมอ (อย่างที่รู้กันว่า Mark Zuckerberg จาก Facebook มักจะ "เดินไปส่ง" ผู้สมัครตำแหน่งระดับกลางๆ)

การเติบโตสูง: บทบาทองค์กรด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคลหลายตำแหน่ง

เมื่อบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว บทบาทต่างๆ ในทีมจัดหาทรัพยากรบุคคลมักจะแยกออกจากกัน และคุณต้องเริ่มหาประเภทของบุคลากรในทีมจัดหาทรัพยากรบุคคลของคุณตามความเชี่ยวชาญ

_1. ผู้สรรหา _ ผู้สรรหาจะค้นคว้า โทรหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้จักกันมาก่อน ส่งอีเมล และกรุยทางไปหาผู้สมัครที่ไม่ได้แสดงเจตจำนงว่ากำลังหางาน ในบางกรณี พวกเขาจะโอนผู้สมัครไปให้บริษัทจัดหางานซึ่งจะส่งข้อมูลผู้สมัครเข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์แบบประสานงานกัน ผู้สรรหาบางรายจะจัดการผู้สมัครจนถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์ ณ สถานที่จริง แต่ไม่ค่อยเกินไปกว่านั้น

_2. ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคล _ ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลจะจัดการขั้นตอนการประสานงานของผู้สมัคร โดยกำหนดการสัมภาษณ์ต่างๆ (เช่น การคัดกรองทางโทรศัพท์ การสัมภาษณ์ในสถานที่ การสัมภาษณ์ผู้บริหาร ฯลฯ) จากนั้นจึงสอบถามกับทีมงานหรือผู้จัดการฝ่ายจัดหาทรัพยากรบุคคลเพื่อพิจารณาว่าจะยื่นข้อเสนองานหรือไม่ ในบางบริษัท ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลอาจเป็นผู้ยื่นข้อเสนองาน ในขณะที่บางบริษัท ผู้จัดการฝ่ายจัดจ้างจะเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าว

ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรกลุ่มแรกๆ ของคุณควรมีประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรเช่นกัน เนื่องจากจะช่วยได้หลายประการดังต่อไปนี้

  • ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลน่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่งวิศวกรเฉพาะทาง
  • จะมีการส่งต่อข้อมูลระหว่างบุคลากรในทีมน้อยลง (เช่น ผู้สรรหา ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคล ผู้จัดการฝ่ายจัดจ้าง ฯลฯ) ซึ่งหมายความว่าจะมีความขัดแย้งน้อยลงด้านผู้สมัคร และมีผู้สมัครตกหล่นน้อยลง

การแบ่งบทบาทระหว่างผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลและสรรหามักจะได้ผลดีที่สุดเมื่อคุณต้องจ้างบุคลากรประเภทใดประเภทหนึ่งจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการจ้างวิศวกรฝั่งแบ็กเอนด์ 50 คน, วิศวกรฝั่งฟรอนต์เอนด์ 30 คน และผู้จัดการฝั่งผลิตภัณฑ์ 20 คน การเริ่มต้นโดยแบ่งบทบาทการสรรหาบุคลากรจะสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก

_3. ผู้ค้นคว้าผู้สมัคร _ คนเหล่านี้อาจจะค้นหาข้อมูลวิศวกรทุกคนของ Google ใน LinkedIn, จัดลำดับความสำคัญของแต่ละคน, ใส่ข้อมูลลงในสเปรดชีต จากนั้นส่งสเปรดชีตให้ผู้สรรหาติดต่อและนำเสนอข้อมูลงานให้ผู้สมัครเข้ามาสัมภาษณ์

โดยปกติแล้ว จะเพิ่มบุคคลเหล่านี้เข้าไปในทีมก็ต่อเมื่อมีจำนวนคนตั้งแต่ 100 ขึ้นไปถึง 1,000 ขึ้นไป และคุณกำลังจ้างคนจำนวนมากในบทบาทเดียวกัน

_4. ฝ่ายการตลาดด้านจัดหาทรัพยากรบุคคล _ กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้พัฒนาสื่อการตลาดและเนื้อหาบนเว็บไซต์ ลงโฆษณา และจัดงานรับสมัครงาน แฮ็กกาธอน ฯลฯ เพื่อให้มีกลุ่มผู้สมัครเข้ามา กิจกรรมดังกล่าวนี้ในสตาร์ทอัพมักจะจัดการโดยคนในทีมที่คุณกำลังจัดหาทรัพยากรบุคคลมาให้ (เช่น ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมหากเป็นผู้สมัครตำแหน่งด้านวิศวกรรม) อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ ทีมการตลาดของสตาร์ทอัพอาจเข้ามารับผิดชอบเรื่องนี้ในฐานะส่วนหนึ่งของงานทางการตลาดโดยรวม โดยจะมีการจัดตั้งตำแหน่งทางการตลาดเพื่อประสานงานการจัดหาทรัพยากรบุคคลโดยเฉพาะขึ้นเมื่อบริษัทขยายตัวจนมีพนักงานในหลักร้อยคนขึ้นไป

_5. โครงการมหาวิทยาลัย _ บริษัทบางแห่งมีผู้สรรหาอันเชี่ยวชาญโดยเฉพาะสำหรับประสานงานและจัดจ้างบัณฑิตใหม่ เนื่องจากการจ้างบัณฑิตใหม่และนักศึกษาฝึกงานนั้นมีกำหนดเวลาและอัตราความถี่เฉพาะเจาะจง เมื่อบริษัทสตาร์ทอัพยังเล็กอยู่ แทนที่จะจ้างบุคลากรเพื่อมาจัดการโครงการมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ คุณสามารถให้เจ้าหน้าที่จัดหาทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่เดิมเปลี่ยนมาดูแลในส่วนนี้เป็นเวลา 2-3 เดือนเมื่อถึงช่วงที่จำเป็นมากที่สุด

การจ้างผู้บริหาร: ผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลแบบผูกขาด

สำหรับการจ้างผู้บริหาร การใช้บริการค้นหาแบบผูกขาดผ่านบริษัทจัดหางานระดับผู้บริหารอาจเป็นทางเลือกที่ดี แม้ว่าคุณจะควรมองหาผู้ที่น่าสนใจจากนักลงทุนและพนักงานของคุณต่อไป บริษัทจัดหางานเฉพาะทางก็มีเครือข่ายที่ออกแบบมาเพื่ออุดช่องว่างตำแหน่งที่ปรึกษาทั่วไป, CFO หรือตำแหน่งอื่นๆ ที่อาจอยู่นอกเหนือเครือข่ายผู้ก่อตั้งของคุณ

ทั้งนี้ หากคุณใช้บริการค้นหาแบบผูกขาด คุณอาจจ่ายต้องค่าธรรมเนียมล่วงหน้าหรือค่าผูกขาดให้กับผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลภายนอกเพื่อให้พวกเขาค้นหาผู้สมัครให้คุณ โดยทั่วไป การค้นหาประเภทนี้จะให้ผลดีที่สุดหากคุณกำลังจ้างผู้บริหารของบริษัท เมื่อเทียบกับผู้สรรหาที่เป็นบุคคลทั่วไป เหตุผลหนึ่งก็คือการจ้างผู้บริหารอาจอยู่นอกเครือข่ายหลักของคุณ หรือผู้บริหารอาจเต็มใจที่จะพูดคุยกับผู้จัดหาทรัพยากรบุคคลจากบริษัทที่มีชื่อเสียงมากกว่ากับคนจากสตาร์ทอัพที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก

มีบริษัทจัดหางานระดับผู้บริหารอันมีชื่อเสียงมากมายที่เหล่านักลงทุนอิสระ นักลงทุนร่วม หรือที่ปรึกษาของคุณสามารถแนะนำให้คุณได้

การเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงาน

บริษัทหลายแห่งอาจใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างช่องทางในการจัดหาทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถสูงสุด แต่สุดท้ายกลับตกม้าตายเพราะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงานเหล่านี้เพื่อการันตีว่าจะทำงานได้อย่างประสบความสำเร็จ

ต่อไปนี้เป็นแนวคิดง่ายๆ บางประการที่ผู้จัดการสำนักงานหรือหัวหน้าฝ่ายบุคคลจะสามารถลองใช้ในตอนที่คุณเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงานใหม่

ส่งจดหมายต้อนรับ

ส่งจดหมายต้อนรับถึงพนักงานใหม่ โดย CC (ส่งสำเนา) ถึงทุกทีมที่พนักงานใหม่จะร่วมงานด้วยอย่างใกล้ชิด จดหมายจะอธิบายบทบาทของพนักงาน บุคคลที่เป็นหัวหน้าพนักงาน เป้าหมายของพนักงานในไตรมาสนั้น รวมถึงข้อมูลอันน่าสนใจข้อหนึ่งเกี่ยวกับพนักงานดังกล่าวที่เจ้าตัวเต็มใจจะแบ่งปัน แนวคิดนี้คือการทำให้แน่ใจว่าบุคลากรใหม่แต่ละคนมีบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน และส่วนที่เหลือขององค์กรรับทราบเรื่องเหล่านี้ ข้อมูลอันน่าสนใจจะเป็นจุดที่เพื่อนร่วมงานสามารถใช้เพื่อเริ่มบทสนทนากับพนักงานใหม่ได้

แพ็คเกจต้อนรับ

จัดทำรายการสิ่งของที่พนักงานใหม่แต่ละคนจะได้รับเมื่อมาทำงานวันแรกที่บริษัท โดยรายการเหล่านี้ควรครอบคลุมมากกว่าแค่สิ่งของจำเป็นอย่างแล็ปท็อปและที่อยู่อีเมล ลองมอบหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่บริษัทใช้เป็นแรงบันดาลใจ เสื้อยืดหรือเสื้อฮู้ด และหากพนักงานเพิ่งต้อนรับสมาชิกตัวน้อยใหม่ในบ้าน ก็ควรเตรียมชุดเด็กทารกให้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถเขียนโน้ตต้อนรับพนักงานใหม่ด้วยลายมือ (หรือลงชื่อ) ได้อีกด้วย

ระบบบัดดี้

บริษัทที่มีการเติบโตสูงมักจะมีศัพท์แสงของตน เครื่องมือภายใน และขั้นตอนต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้จับคู่พนักงานใหม่กับ "บัดดี้" ซึ่งไม่ได้อยู่ในสายการบังคับบัญชา ผู้ที่สามารถพาพนักงานใหม่ไปทานอาหารกลางวัน แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับคนอื่นๆ และที่สำคัญคือสามารถตอบคำถาม "เล็กๆ น้อยๆ" ที่พนักงานอาจสงสัยได้ โดยมักจะจับคู่กันบัดดี้เป็นเวลา 1-3 เดือน

ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีความเป็นเจ้าของที่แท้จริง

อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงานใหม่อย่างมีความสุขมักเป็น (1) ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างผู้จัดการกับพนักงาน และ (2) การไม่รู้สึกเป็นเจ้าของในงานที่ว่าจ้างพนักงานมาดูแล เจ้าของเดิมที่ทำโปรเจ็กต์อาจไม่ยอมปล่อยมือจากงานเสียทีเพื่อให้ได้รับเครดิตจากงานที่ทำก่อนหน้านี้ ให้แสดงออกว่ารับทราบการทำงานของเจ้าของเดิม แต่ลดบทบาทของบุคคลเหล่านั้นลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้พนักงานใหม่เข้ามารับช่วงต่อได้ หากเป็นกรอบเวลาสั้นๆ (2 สัปดาห์ก่อนเปิดตัว) คุณสามารถให้เจ้าของเดิมเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือดำเนินการเองได้ หากเป็นกรอบเวลาที่ยาวนานกว่า (2 เดือน) คุณควรเปลี่ยนผู้ดำเนินโปรเจ็กต์

กำหนดเป้าหมาย

ผู้จัดการแต่ละคนสามารถกำหนดเป้าหมายพนักงานใหม่แบบ 30, 60 และ 90 วัน ซึ่งช่วยให้พนักงานใหม่เข้าใจทิศทาง บริบท และโครงสร้างองค์กรได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จและลำดับความสำคัญของพนักงานแต่ละคนด้วย

สนใจเคล็ดลับเพิ่มเติมเช่นนี้หรือไม่ ลองดู High Growth Handbook

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas