การร่างแผนการตลาดผ่านอีเมลที่สมบูรณ์
91% ของลูกค้าต้องการรับฟังข้อมูลจากบริษัทที่ตนทำธุรกิจด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกการตลาดอีคอมเมิร์ซสมัยใหม่
ในปัจจุบัน อีเมลต้อนรับสามารถสร้างรายรับเพิ่มขึ้นได้ถึง 320% เมื่อเทียบกับอีเมลส่งเสริมการขายทั่วไป โดยเกือบทุกเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจะเก็บรวบรวมที่อยู่อีเมลของผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ทั่วไปและลูกค้าประจำ
อย่างไรก็ตาม เจ้าของร้านค้าอีคอมเมิร์ซหลายรายกลับแอบสงสัยว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ด้วยการทำการตลาดผ่านอีเมล พวกเขาคิดถูกแล้ว ร้านค้าอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่มักเขียนอีเมลที่ไม่เป็นส่วนตัว ในโลกที่มีตัวเลือกมากมายไม่สิ้นสุด เพียงแค่ค้นหาใน Google ทำไมคุณถึงเลือกรับคำแนะนำการซื้อที่ไม่ได้จัดทำขึ้นสำหรับคุณโดยเฉพาะ
ร้านค้าของคุณสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้โดยใช้ความพยายามน้อยลง กระตุ้นยอดซื้อได้มากขึ้น ตอบรับลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำได้ดีขึ้น และส่งอีเมลที่ลูกค้าอยากอ่านจริงๆ แล้วพวกเขาก็จะซื้อสินค้าจากคุณจริงๆ
หากต้องการสร้างร้านค้าชั้นนำอย่าง Dollar Shave Club, Warby Parker, Framebridge และ Kate Spade ก็ถึงเวลาแล้วที่จะลองใช้กลยุทธ์และหลักการเดียวกับที่แบรนด์อีคอมเมิร์ซชั้นนำใช้
ในฐานะคนที่ทำอาชีพนักเขียนและนักวางกลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมล ฉันเห็นมาหมดแล้วเกี่ยวกับเรื่องอีเมล ในการทบทวนอีเมลประจำสัปดาห์ ฉันได้เห็นบริษัทที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเห็นแบรนด์ใหญ่ๆ พลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย และฉันยังเขียนอีเมลมากกว่าที่เคยคิด (รวมถึงเทมเพลตที่ฉันแบ่งปันให้คุณในคู่มือนี้ด้วย)
ช่องทางการตลาดมาตรฐานมีลักษณะอย่างไร
ช่องทางการตลาดมาตรฐานมีลักษณะดังนี้
มีกิจกรรม TOFU (Top Of Funnel - ขั้นตอนแรกของช่องทางการตลาดสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่รู้จักธุรกิจมาก่อน) เช่น กลยุทธ์โฆษณา การตลาดเนื้อหา แคมเปญการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ และการแนะนำต่อแบบปากต่อปาก
ในขณะที่ลูกค้าที่อยู่ในช่องทางการขายมานานจนเรียกกันอย่างน่ารักว่า BOFU (ฺBottom Of Funnel - ขั้นตอนสุดท้ายของช่องทางการตลาดสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่พร้อมจะตัดสินใจซื้อ) การมีส่วนร่วมจะเริ่มขึ้นด้วยการตลาดที่เน้นการแปลงเป็นลูกค้า เช่น แคมเปญอีเมลที่กำหนดเป้าหมายโดยใช้การติดแท็กและการแบ่งกลุ่ม (ที่จะกล่าวถึงด้านล่าง)
การสร้างแคมเปญการตลาดผ่านอีเมลแบบเต็มรูปแบบ
คุณสามารถเห็นผลลัพธ์จากอีเมลที่เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่มีกลยุทธ์มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้อีเมลเพื่อย้ายผู้คนผ่านช่องทางของคุณ
ก่อนอื่น คุณต้องวางแผนว่าช่องทางการขายของคุณจะมีลักษณะอย่างไร ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้และผลิตภัณฑ์ทางดิจิทัลจะมีช่องทางการขายที่แตกต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากวิธีการจัดส่งที่แตกต่างกัน (การจัดส่งเทียบกับการสั่งซื้อทางออนไลน์) แต่ช่องทางพื้นฐานสำหรับผู้สมัครรับอีเมลของคุณอาจมีลักษณะดังนี้
- ผู้สมัครใช้บริการจะต้องเลือกเข้าร่วมผ่านแบบฟอร์มป๊อปอัปส่วนลด
- พวกเขาจะได้รับอีเมลยืนยันพร้อมรหัสส่วนลด
- พวกเขาเริ่มต้นการติดตามผลที่แจ้งให้ทราบถึงส่วนลด
- พวกเขาจะถูกติดแท็กว่าเป็น "ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า"
- พวกเขาจะถูกเพิ่มไปยังส่วน "จดหมายข่าว" ของคุณ
นี่คือจุดที่ความมหัศจรรย์ของช่องทางการขายเกิดขึ้น ลองมาดูช่องทางการขายที่มีศักยภาพสำหรับผู้ซื้อผลิตภัณฑ์:
- ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านร้านค้าออนไลน์ของคุณ
- พวกเขาได้รับแท็ก "ลูกค้า" เพิ่มไปยังโปรไฟล์ของพวกเขา
- แท็ก "ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า" จะถูกนำออกจากโปรไฟล์ของผู้ใช้
- พวกเขาจะถูกเพิ่มไปยังส่วน "ลูกค้า"
- ส่วน "ลูกค้า" จะได้รับการตั้งค่าให้เข้าสู่ลำดับ "หลังการซื้อ" (การยืนยันคำสั่งซื้อและคำขอบคุณ การยืนยันการจัดส่ง แบบสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า การขอรีวิวผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ)
จากนั้น ลูกค้าของคุณสามารถเลือกเส้นทางได้หลากหลาย พวกเขาสามารถเข้าสู่ช่องทางที่ส่งเสริมให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ (ตั้งเวลาไว้) เพื่อดึงดูดให้พวกเขากลับมาสั่งซื้อซ้ำ
แล้วลูกค้าที่ไม่ได้ทำการซื้อให้เสร็จล่ะ
นี่คือจุดที่อีเมลยอดนิยมเรื่อง "รถเข็นที่ถูกละทิ้ง" เข้ามามีบทบาท ซึ่งมีโอกาสมากมายที่จะใช้ประโยชน์จากการโต้ตอบดังกล่าวได้มากที่สุด
มาเรียนรู้เกี่ยวกับการแบ่งกลุ่มและการดึงลูกค้าที่สูญเสียไปผ่านอีเมลกัน
ใช้อีเมลที่ส่งตามเงื่อนไขเพื่อเพิ่มรายรับ
คุณเคยหวังไหมว่าจะมีใครสักคนที่เข้าใจคุณจริงๆ คนที่จะคำนึงถึง จดจำ และพูดคุยถึงสิ่งที่คุณชอบและสนใจ ใครสักคนที่ใส่ใจในสิ่งที่คุณพูดและทำและปฏิบัติตาม
ตอนนี้ไม่ต้องปล่อยให้เรื่องนี้เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของลูกค้าอีกต่อไป
เพราะคุณเองก็สามารถเป็นคนพิเศษนั้นได้เมื่อใช้อีเมลที่ส่งตามเงื่อนไขร่วมกับวิธีการอื่นๆ ที่พบได้ในคู่มือนี้
อีเมลที่ส่งตามเงื่อนไขคืออีเมลที่ส่งหลังจากที่ผู้รับทำบางอย่าง เช่น การไปที่หน้าสินค้าหรือรับชมวิดีโอ
จุดประสงค์หลักของอีเมลที่ส่งตามเงื่อนไขก็คือทักทายผู้ที่อาจเป็นลูกค้าเบาๆ ตลอดเส้นทางของผู้ซื้อ จนกว่าคนกลุ่มนั้นจะกลายเป็นลูกค้า
และเนื่องจากการศึกษาโดย Experian พบว่าอีเมลที่ส่งตามเงื่อนไขนั้นสร้างรายรับได้สูงกว่าแคมเปญอีเมลอื่นๆ มากถึง 6 เท่า อีเมลประเภทนี้จึงคุ้มค่าที่จะศึกษาในบทความนี้
แล้วอีเมลใดบ้างที่เป็นอีเมลแบบอิงตามเงื่อนไข
เริ่มตั้งแต่ต้น
อีเมลต้อนรับกระตุ้นให้เกิดธุรกรรมและรายรับต่ออีเมลมากถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับอีเมลส่งเสริมการขายแบบอื่นๆ เปรียบเหมือนเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำของเวิร์กโฟลว์การเริ่มต้นใช้งาน
และอาจเป็นโอกาสชั้นดีในการเริ่มใช้อีเมลที่ส่งตามเงื่อนไขเพื่อติดตามผล
อีเมลต้อนรับของคุณอาจมีลิงก์ที่ขอข้อมูลประชากร เพื่อให้สามารถส่งแคมเปญที่ตรงเป้าหมายได้มากขึ้น
อีเมลที่ว่าอาจแชร์วิดีโอสาธิตผลิตภัณฑ์ และคุณก็สามารถแท็กผู้ที่คลิกเพื่อดูวิดีโอนั้นเพราะว่าสนใจสินค้าประเภทนั้นได้
อีเมลที่ส่งตามเงื่อนไขคือจุดที่นำการติดแท็กและการแบ่งกลุ่ม (จะอธิบายต่อไปที่ด้านล่าง) มาใช้ให้เกิดประโยชน์
ดึงลูกค้ากลับมา
รายชื่อการตลาดผ่านอีเมลจะลดลงตามธรรมชาติประมาณ 22.5% ทุกปี ดังนั้นคุณจึงต้องกระตุ้นให้สมาชิกที่ไม่ได้ดำเนินการใดๆ กลับมาโต้ตอบกับคุณอีกครั้ง ซึ่งนอกจากเป็นวิธีที่ดีต่อยอดขายแล้ว ก็ยังลดอัตราการยกเลิกการสมัครอีเมลได้ด้วย
แคมเปญที่ส่งตามเงื่อนไขจะเริ่มทำงานเมื่อสมาชิกคลิกลิงก์ภายในแคมเปญที่เชิญชวนให้กลับมาโต้ตอบ ซึ่งก็คือสมาชิกกลับมาสนใจอีกครั้ง คุณสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ว่าทำไมตนจึงสนใจสินค้านั้นในตอนแรก ถามคำถาม หรือแสดงความเป็นตัวตน โดยสามารถลองทำได้ดังนี้
หัวเรื่องอีเมล: เราหวังว่าคุณจะสบายดี
เนื้อหา:
เพราะเราคิดถึงคุณ
เราสังเกตว่าคุณขาดการติดต่อไปสักพักแล้ว เราทราบดีว่าคุณอาจจะกำลังยุ่ง แต่ก็หวังว่าคุณจะกลับมาหาเราอีกในเร็วๆ นี้ โปรดกลับมาใช้บริการของเราในอีก 5 วันข้างหน้า เพราะเรามีส่วนลด 15% ให้คุณใช้กับคำสั่งซื้อ
[ทักทายลูกค้า]
ตามหลักแล้ว แคมเปญที่ชวนให้ลูกค้ากลับมาโต้ตอบอีกครั้งควรทำงานบนระบบอัตโนมัติตามการให้คะแนนลูกค้าเป้าหมาย แต่ก็อาจต้องลงมือทำเองด้วย โดยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการอีเมลของคุณ
การยืนยันคำสั่งซื้อ
หากต้องการเข้าถึงลูกค้า ณ ตอนที่ลูกค้าสนใจคุณที่สุด
อีเมลยืนยันการสั่งซื้อก็ช่วยคุณได้มากกว่าการเตือนความจำว่าลูกค้าเพิ่งซื้ออะไรไป
แน่นอนว่าอีเมลประเภทนี้เป็นใบเสร็จรับเงินแบบดิจิทัล และต้องแน่ใจว่าอีเมลนี้จะไม่ปะปนไปกับอีเมลอื่นๆ แต่อีเมลยืนยันการสั่งซื้อก็สามารถย้ำเตือนลูกค้าได้ว่าทำไมจึงเลือกซื้อจากคุณ (แทนที่จะเป็นคู่แข่ง) โดยมีตัวอย่างดังนี้
หัวเรื่องอีเมล: เรากำลังรอคุณอยู่เลย
เนื้อหา:
สวัสดี คุณ {first.name}
ที่ Get Cooking มี 2 เรื่องที่เราให้ความสำคัญอย่างจริงจัง: อุปกรณ์ครัว (แน่นอน) และลูกค้าของเรา
เราเพิ่งได้รับการแจ้งเตือนว่า คุณ {first.name} ได้ทำการซื้อและกลายเป็นหนึ่งใน "รายชื่อลูกค้าชั้นยอด" ของเรา
ทีมงานของเรากำลังตรวจสอบคำสั่งซื้ออย่างละเอียด บรรจุกล่อง และเตรียมพร้อมส่งให้คุณ คุณจะได้รับหมายเลขติดตามคำสั่งซื้อเมื่อพร้อม แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น นี่คือสิ่งที่กำลังดำเนินการ
{receipt}
เราดีใจมากที่วันนี้คุณเลือก Get Cooking ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา
Patty Piemaker
เจ้าของ Get Cooking
เป็นตัวของตัวเอง เพราะลูกค้าอาจเลือกที่จะซื้อจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่แต่ไม่ค่อยรู้สึกเป็นกันเอง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ
Amazon และ Walmart มักจะทำราคาได้ดีกว่าคุณ มีตัวเลือกการจัดส่งที่มากกว่า และมีสินค้าให้เลือกเยอะกว่า คุณย่อมต้องการให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อในสนามรบที่คุณ Bezos และกองทัพหุ่นยนต์ไม่สามารถชนะได้ ซึ่งความเป็นตัวของตัวเองอาจช่วยคุณได้ การค้าปลีกออนไลน์ต้องอาศัยอารมณ์ขันหรือความแปลกใหม่
ร้านที่ขายทุกอย่างไม่ได้รักอะไรเป็นพิเศษ คุณจึงควรแสดงออกว่าคอลเลกชันนี้ผ่านการคัดสรรมาด้วยความรักอย่างไร ร้านที่ให้บริการทุกคนเป็นตัวส่วนร่วมที่ต่ำที่สุด ดังนั้นแสดงให้ลูกค้าเห็นว่ามีการมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับคนวงในที่มองเห็นคุณค่าของร้านคุณ
ขอรีวิว
เมื่อลูกค้าซื้อแล้ว (และได้ส่งมอบสินค้าจริงแล้ว) ก็ถึงเวลาขอรีวิว แน่นอนว่าคุณคงไม่อยากถามว่าสินค้าเป็นอย่างไรบ้างหากลูกค้ายังไม่ทันได้ใช้งาน ดังนั้นให้รอจนกว่าลูกค้าจะมีเวลาใช้สินค้าจริงๆ หากเป็นคุณขายอุปกรณ์ครัวออนไลน์ เช่น Get Cooking อีเมลของคุณอาจมีลักษณะดังนี้
หัวเรื่องอีเมล: เราขอรบกวนเวลาสั้นๆ
เนื้อหา:
{first.name}
เราอยากแวะทักทายและขอบคุณอีกครั้งสำหรับการสั่งซื้อจาก Get Cooking เพราะคุณทำให้เราภูมิใจที่ได้ให้บริการลูกค้าแบบคุณทุกวัน เราเป็นร้านที่โชคดีจริงๆ
แน่นอนว่าเป้าหมายของเราคือการจัดหาสินค้าและบริการที่ดีที่สุด โดยที่เรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงทั้งสองเรื่องให้ดียิ่งขึ้นเสมอ
เราขอรบกวนเวลาคุณเขียนรีวิวสั้นๆ สัก 2-3 นาที เราจะได้รับฟังความคิดเห็นจากคุณ เพราะจะช่วยให้เรากระจายข่าวได้มากขึ้น
เพียงคลิกลิงก์นี้และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ {product} ใหม่จาก Get Cooking ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้
เราขอบคุณล่วงหน้าและอยากอ่านความคิดเห็นของคุณมากจริงๆ
ขอแสดงความนับถือ
Patty Piemaker
เจ้าของ Get Cooking
การขอรีวิวในเวลาที่เหมาะสมเป็นโอกาสที่ดีในการดึงดูดลูกค้าเก่ากลับมาที่เว็บไซต์และกลับมาสนใจแบรนด์ของคุณอีกครั้ง
ข้อเสนอส่งเสริมการขาย
ข้อเสนอผ่านอีเมลส่งเสริมการขายอาจเป็นแบบทั่วทั้งเว็บไซต์หรือเฉพาะสินค้าหรือกลุ่มสินค้าก็ได้ และแน่นอนว่าคุณสามารถรวมทั้งหมดไว้ในอีเมลเดียวก็ได้เช่นกัน
หรือจะได้รับการตอบกลับ 10 เท่าและแบ่งกลุ่มผู้ชมตามประวัติที่มีกับธุรกิจ
ตัวอย่างเช่น อาจมีลูกค้า 3 ประเภทด้วยกัน คือ
ลูกค้าสายเปย์: สำหรับลูกค้าเหล่านี้ สามารถส่งชุดโปรโมชั่นที่เต็มไปด้วยสินค้าแนะนำ หรือแม้แต่ตะกร้าชำระเงินที่คัดสินค้ามาให้ลูกค้าแล้วและพร้อมชำระเงินได้เลย
ลูกค้าสายเน้นส่วนลด: ลูกค้าเหล่านี้มักจะซื้อเฉพาะเมื่อมีส่วนลดหรือเมื่อมีสินค้าลดราคาเท่านั้น โปรโมตโปรแกรมแนะนำลูกค้าหรือการลดราคาครั้งใหญ่ให้กับกลุ่มเป้าหมายนี้ แล้วอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าก็จะเพิ่มขึ้น
ลูกค้าที่จำเป็นต้องซื้อ: ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้อยากซื้อเพราะส่วนลดหรือเทรนด์ แต่เพราะต้องการสินค้านั้นจริงๆ โดยมักจะมองหาสิ่งที่พิเศษหรือของใหม่ คุณจึงควรแจ้งข่าวการเปิดตัวสินค้าพิเศษหรือใส่ไว้ในรายชื่ออีเมล VIP ที่มีสิทธิ์เข้าถึง "สินค้าพิเศษ" ได้ก่อนคนทั่วไป
ตัวอย่างเช่น สำหรับ Giving Tuesday (วันอังคารถัดไปหลังวัน Black Friday) คุณอาจอยากส่งอีเมลหาสมาชิกที่คุณรู้มาว่าชื่นชอบข้อเสนอดีๆ และเคยซื้อสินค้าเมื่อครั้งที่คุณสนับสนุนองค์กรการกุศลในอดีต
ตัวอย่างข้อความมีดังนี้
หัวเรื่องอีเมล: วันนี้เป็นวันแห่งการให้และการประหยัด
เนื้อหา:
วันนี้เป็นวัน Giving Tuesday
สำหรับทุกคำสั่งซื้อที่สั่งในวันนี้ เราจะบริจาครายได้ 5% ให้กับ Benevolent Charity
วิธีการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
เพียงหยิบสินค้าใส่รถเข็น กดชำระเงิน รายได้ 5% ของวันนี้ก็จะถูกส่งต่อไปยังพันธมิตรของเรา Benevolent Charity
Benevolent Charity คอยช่วยให้ผู้ที่ขาดของจำเป็นได้รับสิ่งจำเป็น ซึ่งหากขาดการสนับสนุนก็จะไม่สามารถทำภารกิจได้
มาร่วมกันทำตามคำมั่นสัญญาที่จะบริจาคเงินจำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ Benevolent Charity ในวันนี้
[ทั้งช้อปทั้งให้ในวันเดียว]
ไม่จำเป็นต้องใช้คำหวานจนเกินควรหรือโปรโมตจนเกินไป ข้อเสนอผ่านอีเมลส่งเสริมการขายสามารถเป็นการพูดคุยทั่วๆ ไปและยังคงสร้างชัยชนะครั้งใหญ่ให้กับธุรกิจและผลกำไรได้
การใช้แคมเปญการตลาดผ่านอีเมลเพื่อลดการละทิ้งรถเข็น
คุณทราบหรือไม่ว่าลูกค้าทุกๆ 10 รายที่หยิบสินค้าใส่รถเข็น จะมีประมาณ 7 รายที่ออกจากเว็บไซต์ไปโดยไม่ได้ซื้อสินค้าให้เสร็จสิ้น
ในอีคอมเมิร์ซ เราจะเรียกการละทิ้งรถเข็น เมื่อผู้ซื้อของออนไลน์เพิ่มผลิตภัณฑ์อย่างน้อยหนึ่งรายการลงในรถเข็น จากนั้นก็ออกไปโดยไม่ซื้อสินค้าใดๆ
เหตุใดการละทิ้งรถเข็นจึงควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
นี่คือสถิติ:
- 69.82% ของผู้บริโภคออนไลน์จะใส่สินค้าลงในรถเข็นบนเว็บไซต์ของคุณแล้วออกไปโดยไม่ได้ทำการซื้อเลย
- 58.60% ของผู้ซื้อเหล่านั้นโยนสินค้าลงในรถเข็นเสมือนจริงโดยไม่มีเจตนาจะซื้อจริงๆ
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น (หวังว่าจะเกิดขึ้น) ก่อนในขั้นตอนการชำระเงินนั้น คุณจะได้รับที่อยู่อีเมลของพวกเขา
เมื่อคุณมีอีเมลนั้นแล้ว คุณสามารถส่งอีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งเพื่อช่วยนำลูกค้ากลับมาและดำเนินการซื้อสินค้าให้เสร็จสมบูรณ์ได้
ระบบอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มผลกำไรของคุณคืออะไร เรามาคุยเรื่องนี้กัน
อีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งคืออะไร
อีเมลอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับผู้ค้าปลีก B2C คืออีเมลเรื่องรถเข็นที่ถูกละทิ้ง ซึ่งมีอัตราการคลิกเฉลี่ยสูงถึง 40%
หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมลของคุณในฐานะธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คุณต้องมีอีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้ง
อีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งคือชุดอีเมลเตือนความจำที่ส่งถึงลูกค้าที่เริ่มขั้นตอนการชำระเงินของคุณ ให้ที่อยู่อีเมล และไม่สามารถซื้อสินค้าได้
อีเมลจะถูกส่งตามแท็กและกลุ่มที่คุณตั้งค่าไว้ก่อนหน้านี้ และโดยทั่วไปแล้ว ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้ง (แม้ว่าอีเมลเรื่องรถเข็นที่ถูกละทิ้งทั่วไปก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน)
แคมเปญอีเมลรถเข็นที่ถูกละทิ้งประกอบด้วยอะไรบ้าง
ต่อไปนี้คือขั้นตอนการทำงานสั้นๆ สำหรับคุณ
- ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าสนใจรายการหนึ่ง และไปที่รถเข็นเพื่อเพิ่มรายการนั้น
- ระบบอีคอมเมิร์ซของคุณจะขอให้ลูกค้าเข้าสู่ระบบเพื่อเพิ่มรายการดังกล่าวลงในรถเข็น
- พวกเขาจะเข้าสู่ระบบและแจ้งที่อยู่อีเมลให้คุณทราบในขั้นตอนนี้
- จากนั้นลูกค้าจะหยิบของใส่รถเข็น
- ลูกค้ารายนั้นยังคงซื้อสินค้าต่อไป แต่ในที่สุดก็คลิกออกไป และทิ้งสินค้าไว้ในรถเข็น
- ต่อมาในวันนั้น คุณจะส่งอีเมลแจ้งเตือนเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการชำระเงินต่อไปได้ ตอนนี้คุณมีตัวเลือกอยู่บ้าง: อย่างน้อย คุณคงอยากได้อีเมลแจ้งเตือน ร้านค้าอีคอมเมิร์ซจำนวนมากรายงานว่าได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากอีเมลแจ้งเตือนแบบง่ายๆ การแจ้งเตือนนั้นดีกว่าไม่มีอะไรเลย แต่จำไว้ว่า เรากำลังเพิ่มกลยุทธ์อีเมลให้ได้มากที่สุด ดังนั้นคุณจะทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ต่อจากที่เราค้างไว้ข้างต้น คุณได้ส่งอีเมลแจ้งเตือนไปในวันเดียวกันที่พวกเขายังเพิ่มผลิตภัณฑ์ลงในรถเข็นแต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจ ดังนั้นคุณจึงดำเนินการในสิ่งต่อไปนี้
- ส่งอีเมลจูงใจ บางคนส่งส่วนลด บางคนส่งการแจ้งเตือนครั้งที่สอง บางคนจะส่งตัวจับเวลานับถอยหลัง เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบว่ารายการจะถูกลบออกจากรถเข็นเมื่อหมดเวลา อีกตัวเลือกหนึ่งคือการถามคำถาม (“ฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง” ซึ่งมีประโยชน์มากในกรณีนี้) ก่อนที่คุณจะเข้าถึงตัวเลือกเริ่มต้นของการใช้ส่วนลดหรือโค้ดคูปอง คุณควรระมัดระวังว่า มีแบรนด์จำนวนมากที่นำเสนอส่วนลดในลำดับรายการที่ละทิ้งไว้ในรถเข็น ทำให้ลูกค้าจำนวนมากถูกฝึกฝนให้รอการใช้โค้ดนี้ การฝึกลูกค้าไม่ให้จ่ายเงินให้คุณนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี เมื่อคุณเสนอส่วนลด แม้ว่าจะหมดอายุแล้วก็ตาม คุณกำลังฝึกลูกค้าให้เข้าร่วมกับกลุ่มคนที่รอคอยส่วนลดโดยตั้งใจ พวกเขาจะไม่ซื้อในราคาเต็ม และคุณก็เสี่ยงที่พวกเขาจะแชร์ "เคล็ดลับเด็ด" นี้กับเพื่อนๆ นอกจากนี้ คุณไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมลูกค้าถึงละทิ้งรถเข็น เพราะพวกเขาต้องการส่วนลดหรือไม่ หรือเพราะกาแฟของพวกเขาชงเสร็จในที่สุด หรือพวกเขามีประชุมที่ต้องไป หรือเปิดแท็บมากเกินไปแล้วลืมว่าแท็บไหนเป็นของคุณ ถ้าคุณไม่รู้ว่าส่วนลดคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ (และถ้าพวกเขาคงจะซื้ออยู่แล้วโดยไม่มีส่วนลด) ทำไมต้องเสนอส่วนลดด้วย อย่าลดค่าตัวเองเมื่อคุณไม่รู้รายละเอียด
- ส่งการแจ้งเตือนครั้งสุดท้าย ขั้นตอนนี้ควรจะดำเนินการอย่างรวดเร็ว หากพวกเขายังไม่ได้ซื้อจนถึงตอนนี้ แสดงว่าพวกเขาอาจไม่สนใจหรือไม่รู้สึกดึงดูดใจกับอะไรก็ตามที่คุณส่งมาเพื่อติดตามผลอีกต่อไป (หรืออาจจะทั้งสองอย่าง)
การแจ้งเตือนครั้งสุดท้ายของคุณเป็นช่องทางที่ดีเยี่ยมสำหรับการเพิ่มสิ่งพิเศษเล็กๆ น้อยๆ
คำรับรองและรีวิว
บ่อยครั้งที่รีวิวและคำรับรองมักถูกสงวนไว้สำหรับหน้าแลนดิ้งเพจและหน้าผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในอีเมลแจ้งเตือนครั้งสุดท้ายนี้
คุณมีทวีตจากลูกค้าที่พึงพอใจซึ่งชื่นชอบขั้นตอนการชำระเงินหรือไม่ ถ่ายภาพหน้าจอทวีตแล้วเพิ่มลงในอีเมล
ใช้การแจ้งเตือนที่คัดสรรแล้วโดยมีผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาเลือกยังอยู่ในรถเข็นใช่ไหม เพิ่มรีวิวหนึ่งหรือสองรายการจากเว็บไซต์ลงในอีเมลนั้น
ให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเหล่านั้นได้เห็นครั้งสุดท้ายว่าการเป็นลูกค้าจริงของแบรนด์ของคุณเป็นอย่างไรและทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้
อีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งในระดับถัดไป
ไม่ได้หมายความว่าคุณควรยอมแพ้หากไม่สามารถเปลี่ยนใจลูกค้าที่กำลังจะเลิกซื้อได้ทั้งหมด แต่การพยายามติดต่อ สอบถาม และเรียนรู้จากผลลัพธ์ที่ได้ จะช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าโดยรวมของคุณให้ดียิ่งขึ้น
คุณควรทดสอบอีเมลทั้งหมดของคุณอยู่เสมอ และการทดสอบชุดรถเข็นที่ถูกละทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แล้วคุณจะทดสอบอีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งได้อย่างไร
- หัวเรื่องอีเมล ทดสอบ A/B กับพวกตัวร้ายพวกนี้ให้เต็มที่ (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวเรื่องอีเมลในอีกสักครู่) หน้าที่ของบรรทัดหัวเรื่องคือการทำให้อีเมลเปิดขึ้นมา และถ้าไม่มีใครเปิดอีเมลของคุณ อะไรก็ตามที่อยู่ในนั้นก็ไม่สำคัญ
- ระยะเวลาระหว่างอีเมล บางทีคุณอาจจะแสดงออกมากเกินไป หรืออาจจะดูใจเย็นเกินไป คุณไม่รู้จริงๆ จนกว่าคุณจะทดสอบ ลองส่งอีเมลเป็นลำดับ โดยเว้นระยะห่างระหว่างอีเมลแต่ละฉบับหนึ่งวัน และทดสอบกับอีเมลลำดับที่เว้นระยะห่างระหว่างอีเมลแต่ละฉบับมากขึ้นอีกเล็กน้อย
- ส่วนลดนั้น บางทีคุณอาจต้องการส่วนลดมากขึ้นหรือน้อยลง บางทีคุณอาจไม่ต้องการส่วนลดเลยก็ได้ ตอนนี้ถึงเวลาทดสอบและดูว่าอะไรใช้ได้และอะไรใช้ไม่ได้
แน่นอนว่าคุณอาจมีโอกาสตั้งค่าลำดับอีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งมากกว่าหนึ่งลำดับ
ลองเรียกลำดับเหล่านี้ว่า "ลูกค้าใหม่" และ "ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ"
ลำดับของลูกค้าใหม่สามารถจัดการกับปัญหายุ่งยากในการฝึกลูกค้าให้รอรับส่วนลดได้ โดยลำดับของคุณอาจประกอบด้วยข้อความเช่น "ในฐานะลูกค้าใหม่ของแบรนด์ X คุณจะได้รับส่วนลดพิเศษในคำสั่งซื้อครั้งแรกของคุณ" ซึ่งจะมีผลในสองประการ คือ เป็นการรับทราบว่าคุณรู้ว่าพวกเขาเป็นลูกค้ารายใหม่ และเป็นการบอกลูกค้าว่าอย่าคาดหวังส่วนลดในอนาคต
ลำดับลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำของคุณอาจมีคำแนะนำที่อิงจากการซื้อครั้งก่อนๆ หรือโอกาสในการแนะนำโปรแกรมสำหรับผู้ซื้อที่กลับมาใช้บริการบ่อยๆ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมีสิทธิประโยชน์ และคุณเป็นเพียงผู้นำทางในการเดินทางนั้น
การทุ่มเทเวลาและความคิดให้กับลำดับอีเมลเกี่ยวกับรถเข็นที่ถูกละทิ้งของคุณสามารถพลิกโฉมกระบวนการซื้อทั้งหมดของคุณได้ อีเมลเหล่านี้เป็นช่องทางในการเชื่อมต่อกับลูกค้า เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และช่วยเพิ่มรายรับให้กับธุรกิจของคุณ
วิธีติดแท็กและแบ่งกลุ่มลูกค้า
คุณเคยได้รับอีเมลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่คุณซื้อไปแล้วหรือไม่
หรือแย่กว่านั้น คือ ผลิตภัณฑ์นั้นไม่เหมาะกับคุณเลยใช่ไหม
เหตุใดจึงต้องส่งอีเมลถึงคนที่อาศัยอยู่ในฮาวายเกี่ยวกับเสื้อผ้ากันหนาว
เว้นแต่คุณจะอยู่ในตลาดที่ไม่มีคู่แข่งเลย คุณจะต้องทำความรู้จักลูกค้าของคุณ จากนั้นจึงนำเสนอรายละเอียดที่ตรงกับความสนใจและความต้องการของพวกเขา
ซึ่งไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป
การใช้การติดแท็กอีเมลในแคมเปญการตลาดของคุณ
การติดแท็ก ใช้ซอฟต์แวร์อีเมลของคุณเพื่อเพิ่มแท็กลงในโปรไฟล์ผู้สมัครใช้บริการของลูกค้าแต่ละรายตามการดำเนินการของพวกเขา ผู้สมัครใช้บริการสามารถมีแท็กได้หลายแท็กหรือเพียงแท็กเดียวก็ได้
ตัวอย่างเช่น คุณมีร้านค้าออนไลน์ยอดนิยมชื่อ “Get Cooking” ที่ขายอุปกรณ์และของใช้ในครัว ลูกค้าของคุณชื่อ Sally Shopper ได้ซื้อพิมพ์พาย ที่ตัดคุกกี้ และที่ถ่วงน้ำหนักสำหรับการทำพาย โดยสินค้าแต่ละชิ้นจะมีแท็ก “baking” ติดอยู่ ซึ่ง Sally จะถูกเพิ่มแท็ก “baking” ลงในโปรไฟล์ของเธอเมื่อซื้อสินค้าชิ้นนั้น
การแบ่งกลุ่มคือการจัดกลุ่มแท็กด้วยกันเพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจง
ตัวอย่าง: Sally Shopper เริ่มซื้อสินค้าจำนวนมากขึ้นในส่วนสินค้าขายส่งของคุณ เธอจะได้รับแท็ก "ขายส่ง" เพื่อระบุว่าเธอกำลังซื้อสินค้าในประเภทนี้อยู่ เมื่อคุณส่งอีเมลถึงลูกค้าขายส่งทุกคนเกี่ยวกับกล่องเค้กใหม่ๆ ที่คุณมีอยู่ในสต๊อก คุณรู้ว่าร้านเบเกอรี่จะตอบรับเป็นอย่างดีกับสินค้าที่เพิ่มเข้ามาในร้านของคุณ คุณจึงสร้างกลุ่มที่เรียกว่า "ผู้ขายส่งเบเกอรี" ซึ่งมีแท็ก "ขายส่ง" และ "เบเกอรี่" โดย Sally ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นและได้รับอีเมลที่ตรงกับความสนใจของเธอโดยเฉพาะ และ Sally รู้สึกยินดีที่ได้ข่าวสารจากคุณในลักษณะนี้และซื้อกล่องเค้ก 10 แพ็กทันที เธอตัดผู้ขายรายอื่นที่มีศักยภาพทั้งหมดออกและตัดสินใจซื้อสินค้าจาก Get Cooking แต่เพียงผู้เดียว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณคิดที่จะแท็กและแบ่งกลุ่มเธอ และส่งแคมเปญอีเมลที่มีการปรับให้เหมาะกับบุคคล
ฟังดูเหมือนความฝันใช่ไหม
ความฝันนั้นสามารถเป็นจริงได้เมื่อคุณใช้การแท็กและการแบ่งกลุ่มสำหรับแคมเปญการตลาดผ่านอีเมลของคุณ
ความเกี่ยวข้องนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อลูกค้า และสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างผู้ซื้อทั่วไปกับแฟนตัวยงในแบรนด์ของคุณได้
เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการสื่อสารกับลูกค้า
แท็กเป็นวิธีที่ดีในการแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามการมีส่วนร่วม สถานะการซื้อ การซื้อผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ อีกมากมาย
แท็กทั่วไปที่อาจใช้ได้กับร้านค้าของคุณ มีดังนี้
ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า: สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ซื้อลูกค้า: สำหรับผู้ซื้อแบบครั้งเดียว
จากนั้นคุณสามารถเพิ่มกลยุทธ์การแท็กขั้นสูงเหล่านี้ได้ เช่น
ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ: สำหรับผู้ที่ซื้อมากกว่าหนึ่งครั้งมูลค่าสูง: สำหรับลูกค้าที่ใช้จ่ายมากกว่า X ดอลลาร์สหรัฐในร้านค้าของคุณเฉพาะผลิตภัณฑ์: สำหรับลูกค้าที่สนใจหรือซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทหนึ่ง
คอลเลกชันผลิตภัณฑ์เป็นวิธีที่ดีในการเข้าถึงกลยุทธ์ขั้นสูงเหล่านั้น ให้จัดกลุ่มผลิตภัณฑ์เข้าด้วยกัน (อาจจะตามหมวดหมู่) และเพิ่มแท็กให้กับทุกคนที่ซื้อสินค้าจากคอลเลกชันนั้น
เมื่อคุณเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ลงในคอลเลกชันนั้น คุณสามารถส่งอีเมลถึงลูกค้าเก่าทุกคนพร้อมแท็กนั้น และแจ้งให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับข้อเสนอใหม่ของคุณ ในแต่ละสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ ให้ตรวจสอบว่าสินค้าใหม่ในร้านของคุณอยู่ในคอลเลกชันยอดนิยมหรือคอลเลกชันที่ทำกำไรหรือไม่ หากใช่ คุณสามารถส่งอีเมลแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายไปยังผู้คนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแทบจะรับประกันได้เลยว่าจะมีสินค้าที่ตรงกับความสนใจของพวกเขาแน่นอน
ตัวอย่างเช่น ที่ Get Cooking คุณอาจเปิดตัวผ้ากันเปื้อนรุ่นใหม่และชุดพิมพ์คุกกี้สั่งทำพิเศษ และเปิดขายแบบพรีออเดอร์ก่อนที่จะผลิตจริง ซึ่งมี Bobby Baker ลงทะเบียนเพื่อสั่งจองล่วงหน้าสำหรับผ้ากันเปื้อนสองชิ้นและชุดพิมพ์คุกกี้หนึ่งชุด คุณจะต้องตั้งค่าคอลเลกชันสินค้าที่คุณขายแบบพรีออเดอร์และแท็ก Bobby ด้วยคำว่า "พรีออเดอร์" จากนั้นในครั้งต่อไปที่คุณเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สั่งจองล่วงหน้า คุณจะส่งอีเมลถึง Bobby (และใครก็ตามที่มีแท็กนั้น) เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการสั่งซื้อล่วงหน้า พร้อมข้อความที่กำหนดเองที่ระบุข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเคยสั่งซื้อล่วงหน้ามาก่อน ดังนั้นคุณจึงคิดว่าเขาต้องการเป็นคนแรกที่รู้เกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษครั้งต่อไปนี้
และลูกค้าที่ใช้งานจริงเหล่านั้นสามารถทำการตลาดให้กับคุณได้ฟรีโดยแนะนำแบรนด์ของคุณให้กับผู้อื่น
คุณอาจกำลังขอการแนะนำต่อบนหน้าเพจขอบคุณ แต่คุณกำลังทำเช่นนั้นในแคมเปญอีเมลด้วยใช่ไหม
การขอการแนะนำต่อในอีเมลของคุณ ช่วยให้คุณสานต่อบทสนทนาได้นอกเหนือจากบนเว็บไซต์ คุณติดต่อมาในลักษณะส่วนตัวและติดตามผลหลังจากช่วงเวลาขอบคุณ
เมื่อคุณให้ลิงก์แนะนำลูกค้าและพวกเขาใช้งานจริง คุณสามารถแท็กพวกเขาที่แบ็กเอนด์ของระบบการตลาดผ่านอีเมลของคุณได้ อันที่จริง คุณสามารถแท็กคนที่ได้รับการแนะนำจากผู้อื่น และลูกค้าที่แนะนำพวกเขามาได้
ซอฟต์แวร์โปรแกรมแนะนำลูกค้ามักจะมีอีเมลติดตั้งอยู่ในระบบอยู่แล้ว และนั่นคือวิธีที่คุณแจ้งให้ผู้แนะนำทราบว่าพวกเขาได้รับสถานะรางวัลแล้ว ลองเชื่อมต่อซอฟต์แวร์แนะนำลูกค้านั้นเข้ากับซอฟต์แวร์การตลาดผ่านอีเมลหลักของคุณ แล้วแท็กผู้แนะนำที่ทรงพลังเหล่านั้นในแบ็กเอนด์ดูไหม
เพิ่มยอดขายของคุณด้วยการแบ่งกลุ่ม
แน่นอนว่ามีวิธีการทั่วไปในการแบ่งกลุ่มลูกค้าของคุณ เช่น
- ข้อมูลประชากร ( อายุ เพศ สถานที่ ฯลฯ)
- ความสนใจและความชอบ
- ประวัติการซื้อ
และการแบ่งกลุ่มลูกค้าจะมีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อหากมีข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้อยู่แล้ว ให้ลองนึกถึงผลกระทบที่อีเมลจะมีต่อธุรกิจของคุณด้วยการแบ่งกลุ่มลูกค้าขั้นสูงกว่านี้ คุณสามารถใช้การแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อ
- ส่งอีเมลหลังจากดำเนินการคืนเงินเพื่อถามว่ามีสิ่งใดที่สามารถทำได้ดีกว่านี้หรือไม่
- ให้ลูกค้า VIP (ผู้ที่ซื้อในจำนวนที่กำหนดหรือมากกว่า) เข้าไปใช้ระบบอัตโนมัติแบบพิเศษพร้อมส่วนลดและข้อเสนอที่ดีกว่า
- ส่งอีเมลถึงการขายที่เกี่ยวเนื่องของผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่ได้ซื้อแต่สนใจ
ต่อไปนี้คือตัวอย่างอีกหนึ่งจาก Get Cooking สำหรับคุณ นอกจากอุปกรณ์พื้นฐานแล้ว คุณยังขายเครื่องผสมอาหารแบบตั้งโต๊ะและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวประสิทธิภาพสูงอื่นๆ อีกด้วย คุณมีเครื่องผสมอาหารรุ่นใหม่นี้มีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมมากมาย และทีมงานฝ่ายผลิตของคุณได้จัดทำวิดีโอสาธิตอันทรงพลังเพื่อแสดงฟีเจอร์เหล่านั้น คุณสามารถโพสต์วิดีโอนั้นบนเว็บไซต์ของคุณแล้วหวังว่าการดำเนินการนี้จะช่วยคุณได้
หรือคุณอาจเพิ่มแบบฟอร์มสมัครรับอีเมลลงในหน้าเพจพร้อมวิดีโอสาธิต (หรืออาจต้องระบุที่อยู่อีเมลเพื่อรับชมวิดีโอสาธิต) และเก็บรวบรวมอีเมลจากลูกค้าเป้าหมายที่มีความสนใจสูงเหล่านั้น จากนั้นคุณสามารถสร้างกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ประกอบด้วยลูกค้าเก่าที่เคยซื้อเครื่องผสมอาหาร ลูกค้าที่ดีที่สุดของคุณบางส่วน (เช่น ลูกค้าประจำ) และใครก็ตามที่ลงทะเบียนในหน้าวิดีโอสาธิตนั้น
เมื่อใช้พลังของการแบ่งกลุ่มดังกล่าวแล้ว คุณจะสามารถทำสิ่งต่อไปนี้ได้
- ส่งอีเมลนำเสนอคูปองสำหรับเครื่องผสมอาหารใหม่
- จัดทำอีเมลเพื่อแบ่งปันอุปกรณ์ในครัวอื่นๆ ที่จะเสริมสิ่งที่คุณอาจทำได้ด้วยเครื่องผสมอาหารนั้น
- ขอคำติชมเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับวิดีโอสาธิตผ่านทางอีเมล (การทำเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขารับชมวิดีโออีกครั้ง และให้โอกาสคุณอีกครั้งในการติดตามผลหลังจากที่พวกเขาส่งคำติชมนั้นมา)
คุณสามารถเห็นว่าการคิดเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการแท็กและการแบ่งกลุ่มจะช่วยให้คุณมีโอกาสมากมายในการเชื่อมต่อกับลูกค้าของคุณได้อย่างไร
แน่นอนว่าคุณต้องแน่ใจว่าคุณกำลังป้องกันการส่งอีเมลมากเกินไป
หากคุณกำลังสร้างลำดับมากกว่าหนึ่งรายการสำหรับกลุ่มผู้สมัครใช้บริการที่แตกต่างกัน คุณจะต้องตั้งค่าทั้งหมดเพื่อให้ผู้สมัครใช้บริการสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีการส่งสแปมไปยังผู้สมัครใช้บริการของคุณ
โดยมีข้อควรพิจารณาหลายประการดังนี้
- คุณไม่ต้องการให้ผู้เยี่ยมชมรายเดียวกันอยู่ในลำดับหลายลำดับพร้อมกัน ลำดับเหล่านี้ควรแยกออกจากกันเพื่อลดการสแปม
- หากผู้เยี่ยมชมสมัครรับอีเมลจากรายการหลักของคุณและผ่านขั้นตอนบางส่วนไปแล้วแต่ไม่ได้ทำการซื้อสินค้า คุณอาจต้องการแท็กพวกเขาอย่างเหมาะสมเพื่อให้พวกเขาได้รับเนื้อหาที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้สมัครใช้บริการที่มีมูลค่าสูงแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาอยู่ในลำดับทั่วๆ ไป
- หากคุณกำลังส่งรหัสโปรโมชั่นในลำดับอีเมลของคุณ คุณควรลบรหัสเหล่านั้นออกจากแท็กหรือลำดับนั้น หากพวกเขาทำการสั่งซื้อเสร็จสิ้นก่อนที่จะได้รับอีเมลรหัสโปรโมชั่นนั้น การได้รับอีเมลที่มีโปรโมชั่นสำหรับสินค้าที่คุณเพิ่งซื้อนั้นเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความรำคาญ
การติดตามทั้งหมดนี้ด้วยตนเองไม่เพียงน่าเบื่อเท่านั้น แต่ยังไม่จำเป็นอีกด้วย การทำให้การแบ่งกลุ่มสมาชิกเป็นแบบอัตโนมัติถือเป็นหนทางที่ดีที่สุด
วิธีเขียนหัวเรื่องอีเมลเพื่อแปลงเป็นลูกค้า
ลองนึกถึงช่วงเวลาที่คุณหยิบจดหมายออกมาจากตู้ไปรษณีย์ (ใช่แล้ว แบบจดหมายธรรมดา)
คุณพลิกดูแต่ละซอง: ใบเรียกเก็บเงิน ใบเรียกเก็บเงิน โฆษณา ใบเรียกเก็บเงิน โอ้ จดหมายจากเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของฉัน!
ลูกค้าของคุณทำสิ่งเดียวกันทุกครั้งที่เปิดกล่องจดหมาย แต่วิธีที่พวกเขาเลือกอ่านนั้นขึ้นอยู่กับหัวเรื่องอีเมลนั้นๆ
ในความเป็นจริง การเขียนหัวเรื่องอีเมลที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่จะช่วยให้ลูกค้าเปิดอีเมลเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ข้อความทั้งหมดมีความสอดคล้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยรวม
โชคดีสำหรับคุณ มีตัวกระตุ้นทางจิตวิทยาไม่กี่อย่างที่คุณสามารถใช้เพื่อทำให้หัวเรื่องอีเมลของคุณน่าสนใจที่สุดในกล่องจดหมาย
มีประโยชน์
สิ่งนี้อาจดูชัดเจน แต่หัวเรื่องอีเมลของคุณต้องแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าคุณมีประโยชน์แค่ไหน
คุณจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผมหรือไม่ โปรดส่งวิดีโอของมูสที่ช่วยลดผมชี้ฟูตัวใหม่ล่าสุดของคุณพร้อมหัวเรื่องอีเมลเช่น "ทำให้ผมหยิกชี้ฟูเป็นเรื่องของอดีต"
หัวเรื่องจะต้องเจาะจง อธิบายได้ชัดเจน และกระชับ และเนื่องจาก 66% ของอีเมลถูกอ่านบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ จึงเป็นประโยชน์ต่อทั้งคุณและผู้อ่านหากใช้หัวเรื่องอีเมลสั้นๆ
ทำให้พวกเขาอยากรู้
ในฐานะมนุษย์ เรามักอยากช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยธรรมชาติ วิธีหนึ่งที่เราทำคือการตอบคำถามที่ถาม (นี่คือเหตุผลที่ Facebook ถามว่า "คุณกำลังคิดอะไรอยู่")
คุณสามารถสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับผู้อ่านได้โดยการถามคำถามเช่น "นี่คือแว่นตาที่คุณกำลังมองหาอยู่หรือไม่"
หรือคุณสามารถแสดงความอยากรู้ของคุณโดยใส่หัวเรื่องว่า "คุณคิดอย่างไรกับเด็กใหม่คนนี้"
แต่การตั้งคำถามไม่ใช่วิธีเดียวที่จะสร้างความอยากรู้อยากเห็น โดยคุณสามารถผสมผสานกับหัวข้อที่น่าสนใจ (และเป็นที่นิยม) ได้ เช่น:
- "คุณคงอยากเห็นสิ่งนี้"
- “อย่าลืมคำเชิญของคุณ”
- “เพิ่งมีข่าวใหญ่ออกมา!”
- “ชู่...อย่าบอกความลับเหล่านี้ให้ใครรู้นะ...”
ไม่ว่าคุณจะเขียนอะไรเพื่อสร้างความอยากรู้ ให้แน่ใจว่าคุณทำตามสัญญา ไม่มีใครชอบการล่อลวง และอีเมลของคุณจะถูกทำเครื่องหมายว่าเป็นสแปมเร็วกว่าที่คุณจะพูดคำว่า "ขาย" เสียอีก
มีความเป็นส่วนตัว:
หากคุณเปิดกล่องข้อความอีเมลเมื่อเร็วๆ นี้ คุณคงทราบแล้วว่าการปรับแต่งข้อความในหัวเรื่องอีเมลเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ แต่จริงๆ แล้วสิ่งนี้มีมากกว่าแค่เทรนด์ แต่มีข้อมูลอยู่เบื้องหลัง
แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการกระตุ้นทางจิตวิทยาแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละอุตสาหกรรม แต่ไม่น่าแปลกใจเลยที่อุตสาหกรรมหลายแห่งใช้ชื่อจริงในบรรทัดหัวเรื่องเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกอย่างมาก
เมื่อเทียบกับอัตราการเปิดเฉลี่ยของอีเมล 24,000 ล้านฉบับ (ใช่ พันล้านฉบับ) อีเมลในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีชื่อจริงอยู่ในหัวเรื่องมีอัตราการเปิดเพิ่มขึ้น 0.14% ฟังดูอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่เมื่อพิจารณาว่าอีเมลทุกฉบับที่เปิดอ่านทำให้คุณเข้าใกล้ยอดขายมากขึ้น ตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อาจฟังดูดีสำหรับวงการอีคอมเมิร์ซของคุณ
ร้านเปรียบเทียบ
กลยุทธ์การตั้งราคาแบบหลอกตา ซึ่งบางครั้งเรียกว่า "การกำหนดกรอบ" คือการที่คุณนำราคาของสิ่งหนึ่งไปเทียบกับอีกสองสิ่งเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งแรกนั้นมีมูลค่ามากเพียงใด
นั่นคือเหตุผลที่คุณจะเห็นตารางราคาของบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีค่าบริการแบบแบ่งระดับอยู่ในหน้าเดียวกัน นั่นคือกลยุทธ์การตั้งราคาแบบหลอกตา และคุณสามารถทำได้กับหัวข้อของคุณ
สมมติว่าคุณคือ Vitamix ลูกค้าของคุณรายงานกลับมาว่าพวกเขาใช้ Vitamix โดยเฉลี่ยสี่วันต่อสัปดาห์
คุณขาย Vitamix ของคุณในราคา 599.95 ดอลลาร์สหรัฐและคุณสามารถระบุราคาด้วยวิธีนั้น และพูดถึงราคาที่แน่นอนในอีเมลทุกฉบับที่คุณส่ง
หรือคุณสามารถกำหนดราคาตามค่าใช้จ่ายต่อวันได้ ดังนี้
4 วัน/สัปดาห์ x 52 สัปดาห์/ปี = 208 วันในการใช้งาน
599.95 ดอลลาร์สหรัฐ หารด้วย 208 = 2.88 ดอลลาร์สหรัฐ/วัน
หัวเรื่องอีเมล: น้อยกว่า 3.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
เมื่อคุณเขียนอีเมลแจ้งให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของ Vitamix ทราบว่าพวกเขากำลังมองหาการใช้จ่าย 2.88 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน พวกเขาจะเริ่มพิจารณาการลงทุนนี้ต่างออกไป
คุณยังสามารถกำหนดราคาด้วยคูปองได้อีกด้วย (ซึ่งจริงๆ แล้วแบรนด์อีคอมเมิร์ซไม่ค่อยทำกัน)
คุณเสนอคูปองส่วนลด 15% ในขั้นตอนของรถเข็นที่ถูกละทิ้งสำหรับ Vitamix หรือไม่
กำหนดเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นเงินสด: 89.99 ดอลลาร์สหรัฐ
หัวเรื่องอีเมล: ประหยัด 90 ดอลลาร์สหรัฐ... แต่ถึงวันพฤหัสบดีเท่านั้น
เมื่อคุณบอกลูกค้าว่าสามารถประหยัดได้เกือบ 90 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับ 15%) ซึ่งดูน่าดึงดูดมากขึ้นที่จะดำเนินการทันที
การขอให้ช่วย
การขอให้ช่วยเป็นเหมือนตัวกระตุ้นทางจิตวิทยาที่ทรงพลัง เพราะเริ่มจากคำขอเล็กๆ แล้วค่อยไปสู่คำขอที่ใหญ่ขึ้น (เช่น การซื้อสินค้า)
การขอให้ช่วยก็เหมือนกับการที่คู่สมรสของคุณที่ขอให้คุณต้มน้ำ แล้วคุณก็ทำพาสต้าในมื้อเย็นให้จนเสร็จเลย
เมื่อคุณขอข้อมูลเล็กๆ อย่างเช่น ที่อยู่อีเมล หรือการทดลองใช้ฟรี หรือผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่ำ ลูกค้าของคุณมีแนวโน้มที่จะตอบคำขอที่ใหญ่ขึ้นในภายหลัง
สร้างความเคารพและความไว้วางใจจากลูกค้าด้วยคำถามเล็กๆ น้อยๆ ในหัวเรื่องอีเมลของคุณ ให้ลองทำสิ่งต่างๆ เช่น
- "ช่วยอะไรฉันหน่อย"
- "ฉันจะแสดงข้อมูลนี้ให้คุณดูได้ไหม"
- "อย่าพลาดการทดลองใช้แบบขยายระยะเวลา"
คำพูดเกี่ยวกับ... คำพูด
การพูดว่าคำนั้นสำคัญอาจดูไร้สาระ แต่ก็เป็นประเด็นสำคัญ หัวเรื่องอีเมลเป็นอีกหนึ่งจุดที่คุณต้องทดสอบว่าอะไรเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ และคุณค่อนข้างจะหลงไปกับแท็บ "โปรโมชัน" และ "โซเชียล" อันแสนน่าเบื่อใน Gmail (หนึ่งในกล่องจดหมายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด) แต่มีสถิติที่เป็นรูปธรรมบางอย่างที่คุณสามารถอ้างอิงได้เมื่อคุณเขียนหัวเรื่องอีเมลครั้งต่อไป
“ฟรี”
การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้คนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ค้าปลีก และการท่องเที่ยวควรหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "ฟรี" แต่อุตสาหกรรมร้านอาหารและความบันเทิงก็สามารถทำได้
“เร่งด่วน”และ “สำคัญ”
คำสองคำนี้ต้องทำให้ได้ตามที่สัญญาไว้ คำอย่าง "เร่งด่วน" และ "สำคัญ" แสดงอัตราการเปิดที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่คุณต้องระมัดระวังว่าสิ่งที่อยู่ในอีเมลนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือสำคัญจริงๆ
“ประกาศ” และ “การแจ้งเตือน”
คำอีกสองคำที่มีผลต่ออัตราการเปิดคือคำว่า "ประกาศ" ซึ่งมีอัตราการเพิ่มขึ้น 0.46% และคำว่า "การแจ้งเตือน" ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีอัตราการลดลง 0.29% โดยรวม
“ขอบคุณ”
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะชอบการได้รับคำขอบคุณ และอัตราการเปิดอ่านแสดงให้เห็นว่าคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ มีความหมายมากมาย ด้วยอัตราการเปิดอ่านที่เพิ่มขึ้น 0.57% เมื่อหัวเรื่องอีเมลมีคำว่า "ขอบคุณ" แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าในเวลาที่เหมาะสมจะยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชอบคุณในระยะยาว
“โอกาสสุดท้าย”
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด (ตั้งใจเล่นคำ) ผู้สมัครรับอีเมลของคุณไม่ชอบที่จะได้รับแจ้งว่าพวกเขาพลาดโอกาสสุดท้ายที่จะได้รับอะไรบางอย่าง - อีเมลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอัตราการเปิดใช้งานลดลง 0.46%
คุณต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ตัวกระตุ้นทางจิตวิทยาสามารถช่วยให้อีเมลของคุณถูกอ่าน และคำเพียงคำเดียวก็อาจช่วยหรือทำลายภารกิจนั้นได้
สุดท้ายแล้ว อีเมลจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อหัวเรื่องอีเมลดี ดังนั้นคุณควรคิดให้ดีก่อนที่จะคลิกส่งในแคมเปญถัดไป
คุณไม่เคยสำเร็จด้วยอีเมลเลย
นี่คือความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับการตลาดผ่านอีเมล: สถิติไม่มีความหมายใดๆ หากคุณไม่ได้นำกลยุทธ์ใหม่ๆ มาใช้และประเมินผลลัพธ์บ่อยๆ
สิ่งที่ได้ผลกับบริษัทหนึ่งอาจไม่ได้ผลกับบริษัทหนึ่ง
แนวทางที่คุณใช้เมื่อเริ่มต้นเส้นทางการตลาดผ่านอีเมลอาจดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อคุณเริ่มทำมาสักระยะหนึ่งแล้ว ให้ทดสอบและทดลองดูว่าอะไรได้ผลกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ และสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องดี
ให้ดูว่าแบรนด์อื่นๆ กำลังทำอะไรอยู่ ศึกษาแนวโน้มอุตสาหกรรมต่างๆ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดผ่านอีเมล ให้อ่านสถิติและสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมายของคุณ จากนั้นตัดสินใจว่าจะเลือกเส้นทางไหน แล้วลงมือทำตามนั้น โดยอาจมีจุดที่ยากลำบากบ้างระหว่างทาง แต่ให้รู้ไว้ว่าคุณสามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางได้เสมอ หากเส้นทางที่คุณเลือกเริ่มดูมืดมนและคลุมเครือ
การตลาดผ่านอีเมลคือการเดินทาง โดยคือการเดินทางของลูกค้าในความสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ ซึ่งคือการเดินทางของคุณผ่านข้อมูล ข้อมูลเชิงลึก และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และคือการเดินทางของอีเมลที่ส่งไปยังกล่องจดหมายทั่วโลก
ขอให้สนุกกับการเดินทาง และมาติดตามกันบน Twitter เพื่อบอกว่าเป็นอย่างไรบ้าง