ในฐานะ CEO ของ Ramp ผมต้องจัดการกับความต้องการด้านการเงินของทีมนอกเหนือจากความรับผิดชอบที่เหลือในช่วงแรกๆ ของบริษัท ส่วนงานต่างๆ เช่น การบัญชีการดำเนินงานและการวางแผนทางการเงิน มักเป็นงานในส่วนทางการเงินเฉพาะของตนเอง แต่ผมทำงานเหล่านี้เป็นเวลา 1 ปีครึ่งก่อนที่จะจ้างพนักงานด้านการเงินคนแรกของ Ramp
ความรับผิดชอบเหล่านี้ รวมถึงการนำ Ramp ระดมทุนภายในไม่กี่เดือนแรก การสร้างโมเดลทางการเงิน และการจัดการเงินเดือน ไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่ผมตระหนักได้ว่า Ramp จะได้รับประโยชน์จากการมีพนักงานการเงินประจำบริษัท แต่สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจจ้างพนักงานประจำก็เพราะว่าธุรกิจมีความต้องการที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเองต่อไปไม่ไหวแล้ว และผมรู้ว่าการสร้างและบริหารจัดการทีมการเงินที่แข็งแกร่งภายในองค์กรอย่างเหมาะสมจะช่วยให้สามารถมุ่งความสนใจไปที่โครงการริเริ่มอื่นๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อน Ramp ไปข้างหน้าได้ จากการลองผิดลองถูก ผมพบหนทางสู่การสร้างฝ่ายการเงินที่ดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัท
Ramp ให้บริการและทำงานร่วมกับทีมงานด้านการเงินและผู้นำจากหลากหลายบริษัท อีกทั้งยังมีมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับการเติบโตของทีมเหล่านี้ ในคู่มือนี้ เราจะแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของเราบางส่วน รวมถึงหัวหน้าฝ่ายการเงินและตลาดทุน หัวหน้าฝ่าย FP&A และผู้ควบคุมของเรา นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่มีประสบการณ์มากมายในการให้คำแนะนำแก่บริษัทสตาร์ทอัพ เช่น Kruze Consulting และ Burkland Associates คู่มือนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโต ซึ่งกำลังมองหาการวางรากฐานที่ถูกต้องให้กับทีมการเงินที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ของตน
ผู้ก่อตั้ง: สิ่งที่ต้องมองหาในการจ้างงานด้านการเงินครั้งแรก
ในช่วงแรก การเงินของบริษัทต่างๆ ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น สิ่งสำคัญจะเป็นการเก็บบันทึกบัญชี รายงานการตรวจสอบบัญชี การอนุมัติด้านความปลอดภัย และระบบพื้นฐานเพื่อสุขอนามัยที่ดี ต่อมา การดำเนินการจะน่าสนใจยิ่งขึ้น หนึ่งปีผ่านไป เงินเดือนเริ่มเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายเริ่มเกิดขึ้นซ้ำๆ และคำถามก็ไม่ใช่ว่า "เราจะสามารถบันทึกทุกอย่างได้หรือไม่" อีกต่อไป แต่เป็น "เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้ปิดบัญชีได้เร็วขึ้น" และ "เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและได้ข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลทางการเงินของเรา"
เราตระหนักดีว่าเพื่อให้ Ramp เติบโตและขยายธุรกิจได้ เราจำเป็นต้องลงทุนในทีมการเงิน หากคุณเพิ่งตั้งระบบอัตโนมัติขึ้นมา ระบบจะไม่ช่วยสร้างงบดุล งบกำไรขาดทุน หรือกระแสเงินสด หรือช่วยให้คุณพิจารณาองค์ประกอบของธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์
แม้ว่าการจัดสรรบุคลากรให้กับทีมที่เน้นสร้างรายรับอาจดูน่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น แต่การลงทุนด้านการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หากมีการจัดการที่เหมาะสม ฝ่ายการเงินสามารถขับเคลื่อนการเติบโตในขณะที่บริษัทกำลังเติบโตได้ และลดต้นทุนเมื่อบริษัทต้องการความมั่นคงท่ามกลางสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน
ประสบการณ์ทางการลงทุนมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงคุณสมบัติที่มองหาในการจ้างงานฝ่ายการเงินในอุดมคติ สิ่งสำคัญคือต้องรับทราบก่อนว่าตำแหน่งนี้มีการพัฒนาไปอย่างไรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเพิ่มขึ้นขอการร่วมลงทุน บริษัทต่างๆ จึงเริ่มประเมินลำดับความสำคัญในการจ้างงานใหม่ เดิมทีผู้ที่ได้รับจ้างงานแรกๆ มักดูที่พื้นฐานทางบัญชี เนื่องจากธุรกิจต่างๆ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของบัญชีเป็นหลัก การระดมทุนและกลยุทธ์ทางการเงินเคยถูกมองว่าเป็นเรื่องรองจากทักษะหลักนี้ แต่แนวคิดนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ปัจจุบันเป็นเรื่องปกติมากขึ้นที่ผู้ที่ได้รับเลือกให้มาทำตำแหน่งด้านการเงินให้กับสตาร์ทอัพรายแรกๆ มักจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านวาณิชธนกิจหรือการร่วมลงทุน เนื่องจากประสบการณ์เหล่านี้เอื้อต่อการเป็นผู้ดูแลเงินทุนที่ดีทั้งต่อตนเองและนักลงทุน แทนที่จะมุ่งเน้นแต่เรื่องระบบระเบียบภายในของบัญชีธุรกิจเพียงอย่างเดียว
เรื่องนี้เห็นชัดอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทต่างๆ ต้องแข่งขันกันเพื่อหาเงินทุนที่มีจำกัด การจ้างงานผู้มารับตำแหน่งด้านการเงินคนแรกๆ ในปัจจุบันต้องมุ่งเน้นไปที่ภายนอกมากกว่าภายใน เนื่องจากธุรกิจต่างๆ ถูกบังคับให้ความสำคัญกับการจัดหาเงินทุนที่หายากเป็นอันดับแรก ดังนั้น ความสามารถในการสร้างโมเดลที่แข็งแกร่งและความเป็นเลิศด้านความสัมพันธ์กับนักลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ความแตกต่างระหว่างการนำเสนอโมเดลทางการเงินที่ดีให้กับนักลงทุนกับโมเดลทางการเงินที่ธรรมดาๆ อาจสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจ
Healy Jones รองประธานฝ่าย FP&A และการตลาดของ Kruze Consulting อธิบายไว้อย่างดีว่า “โมเดลทางการเงินก็เหมือนกับกลยุทธ์ของคุณ แต่เป็นเรื่องของตัวเลข และเป็นช่องทางในการติดต่อกับแหล่งเงินทุน การใช้ภาษาที่ถูกต้องจะมีประโยชน์อย่างยิ่งหากคุณกำลังระดมทุน โดยคุณติดต่อกับบริษัทร่วมลงทุนผ่านชุดนำเสนอข้อมูลสรุปธุรกิจและการนำเสนอขาย แต่ก็ต้องดำเนินการผ่านตัวเลขด้วยเช่นกัน ดังนั้นตัวเลขเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผมเคยเห็นบริษัทต่างๆ ทำได้สำเร็จด้วยตัวเอง แต่บ่อยครั้งที่หากมีใครสักคนที่เคยทำมาก่อนและคุ้นเคยกับ KPI ของอุตสาหกรรม รวมถึงสิ่งที่บริษัทร่วมลงทุนกำลังมองหาก็มักจะเป็นประโยชน์”
ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ได้ให้สำคัญกับการเน้นประสบการณ์ในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมอีกต่อไป ผู้ที่มาจาก Wall Street, การลงทุนในหุ้นเอกชน หรือกองทุนป้องกันความเสี่ยง อาจพบว่าสามารถเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ปิดกั้นก่อนหน้านี้ได้ง่ายขึ้น การเพิ่มขึ้นของการทำงานอัตโนมัติด้านการเงินและความสามารถในการได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานยังเปิดประตูให้กับผู้สมัครที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมเหล่านี้ด้วย
ผู้สมัครที่เหมาะสมคือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการระดมทุนและการบัญชี รวมถึงมีทักษะเชิงวิเคราะห์และเชิงปริมาณที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งด้านการเงิน ประสบการณ์ทางการเงินดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นสามารถช่วยให้คุณระดมทุนจากนักลงทุนและผู้ให้กู้ได้ พื้นฐานทางบัญชีที่ดีจะช่วยให้คุณสร้างรากฐานภายในบริษัทที่แข็งแกร่งเพื่อให้เข้าใจตัวเลขของตนเองได้ดีที่สุด และสร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนที่ต้องการศึกษาหาความรู้อย่างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม การจะหาบุคลากรระดับยูนิคอร์นเช่นนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
CFO ที่ให้บริการแบบนอกเวลากำลังมาแรง
การจ้างพนักงานการเงินที่ให้บริการแบบนอกเวลากำลังกลายเป็นตัวเลือกการจ้างงานเบื้องต้นที่คุ้มค่ามากขึ้นสำหรับบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่ง เนื่องมาจากปัจจัยหลัก 2 ประการ ได้แก่
1. การยอมรับการทำงานด้านการเงินแบบเอาท์ซอร์สมากขึ้น: ชุมชนสตาร์ทอัพเริ่มยอมรับมากขึ้นว่าควรใช้ทีมบัญชีหรือการเงินที่จ้างแบบเอาท์ซอร์สตั้งแต่เริ่มต้น หากไม่ได้ผสานการทำงานอย่างเต็มที่ และให้ทีมเหล่านี้เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ แต่เมื่อ 5-10 ปีก่อนไม่ใช่แบบนี้ เนื่องจากบริษัทในระยะ Seed หรือ Series A อาจคิดว่าเมื่อมีเงินทุนเพียงพอ พวกเขาก็จำเป็นต้องจ้างพนักงานฝ่ายการเงินแบบประจำ แต่ 6 เดือนต่อมาก็พบว่าสมาชิกใหม่ในทีมไม่มีงานให้ทำอย่างเต็มที่ ปัจจุบัน สตาร์ทอัพเปิดรับแนวคิดการใช้ทรัพยากรแบบพาร์ทไทม์มากขึ้น
2. เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนทรัพยากรทางการเงินที่เอาท์ซอร์สออกไป: ค่าใช้จ่ายในการขอความช่วยเหลือทางการเงินแบบเอาท์ซอร์สสำหรับสตาร์ทอัพลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะเทคโนโลยี บริษัทที่ต้องการดำเนินงานแบบคล่องตัวและลดการใช้เงินสดสามารถจ้างพนักงานที่ให้บริการแบบนอกเวลาเนื่องจากเป็นทรัพยากรที่คุ้มค่า
ต้นแบบผู้ได้รับจ้างงานเป็นคนแรกๆ
ทักษะกับประสบการณ์ด้านบัญชีและนักลงทุนสัมพันธ์ที่ผสมผสานกันนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ได้รับจ้างงานด้านการเงินแรกๆ พึงมี แต่เนื่องจากผู้สมัครเหล่านี้หายาก ต่อไปนี้จึงเป็นต้นแบบทั่วไปบางประการที่คุณอาจพบเจอเมื่อจ้างพนักงานคนแรกๆ
มือใหม่ที่แสนจะมุ่งมั่น
บุคคลที่ว่าคือนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาได้ไม่นาน (เพิ่งเรียนจบมาประมาณ 5 ปี) โดยมีพื้นฐานด้านการเงินแบบดั้งเดิม พวกเขามีความทะเยอทะยานสูงและเต็มใจที่จะทุ่มเทเวลาทุกนาทีที่จำเป็น แถมมีความสามารถและทักษะที่หลากหลายดังต่อไปนี้
- ปริญญาด้านการเงินจากสถาบันที่มีชื่อเสียง
- การฝึกงานภาคฤดูร้อนที่สถาบันการเงิน
- ความฝันที่แตกต่างระหว่าง (1) เข้าร่วมกองทุนเฮดจ์ฟันด์หรือ (2) ได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงินในสตาร์ทอัพที่น่าตื่นเต้น
- มีประสิทธิภาพและวิเคราะห์เป็น
ผู้สมัครรายนี้พร้อมที่จะรับมือกับทุกความท้าทายที่เข้ามา พวกเขาอาจไม่ได้มีประสบการณ์ในการระดมทุนและปฏิสัมพันธ์กับนักลงทุนหรือผู้ให้กู้สักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถชดเชยด้วยการทำงานทางการเงินที่ละเอียดถี่ถ้วน
ผู้สมัครที่แหวกแนว
ต่อไปนี้คือแนวโน้มของผู้ที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา
- ปริญญาตรีสาขาที่ไม่ใช่การเงิน เช่น วรรณคดีเปรียบเทียบ จิตวิทยา หรือดนตรี
- ตามด้วยการทำอาชีพนักข่าวหรือที่ปรึกษา
- ต่อมาได้รับการว่าจ้างจากบริษัทจัดการการลงทุน
- เรียนรู้เร็วและมีความสามารถด้านตรรกะและทักษะการแก้ปัญหายอดเยี่ยม
- เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และเติบโตไปพร้อมกับบริษัท
Kruze Consulting ซึ่งเป็นพันธมิตรของเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือบริษัทสตาร์ทอัพจัดตั้งระบบการเงินของตนเอง Vanessa Kruze ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัทได้พบกับผู้สมัครหลากหลายเชื้อชาติ โดยเธอสังเกตเห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาทำงานกับ Kruze และแม้แต่บริษัทของตนเองโดยที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย เช่น ผู้สมัครคนหนึ่งที่เรียนวิชาเอกประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แต่กลับกลายเป็นว่ามีผู้ว่าจ้างมากมายเนื่องจากผู้สมัครคนนี้มีไฟในการเรียนรู้งาน การให้บริการลูกค้า และการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ทำงานตามแต่ละโปรเจ็กต์
Healy ตั้งข้อสังเกตว่าต้นแบบ 2 แบบแรกนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจับคู่กับบริษัทบัญชีแบบเอาท์ซอร์สที่สามารถเข้าใจรายละเอียดทางนัยของ GAAP และระบบบัญชีได้ คุณสามารถปล่อยให้บริษัทบัญชีเอาท์ซอร์สจัดการรายละเอียดปลีกย่อย และให้พนักงานภายในลงแรงไปที่การทำงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
มืออาชีพที่ช่ำชอง
นี่คือผู้สมัครที่มีประสบการณ์ซึ่งได้เห็นมาแล้วทุกสิ่ง
- ทำงานที่บริษัทบัญชีแบบ Big Four มาเป็นเวลา 20 ปี
- ตามมาด้วยการทำงานระยะสั้นในบริษัทลงทุนในบริษัทเอกชน (เช่น Deloitte)
- จากนั้นก็มีประสบการณ์ CFO ขณะทำงานในบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนจากการร่วมทุน
- ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาแบบพาร์ทไทม์ และตอนนี้กำลังอยากกลับมาทำงานแบบเต็มเวลา
Kruze Consulting ระบุว่า พวกเขาได้พบกับคนที่มีประสบการณ์ 40-50 ปี ถึงแม้ว่าบุคคลเหล่านี้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็มองหางานที่เน้นชุมชน ซึ่งจะช่วยเติมเต็มให้รู้สึกเหมือนได้ทำสิ่งดีๆ
ไม่ว่าภูมิหลังของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร หัวใจสำคัญที่จะทำให้ผู้ที่ได้รับการว่าจ้างแรกๆ ประสบความสำเร็จในอนาคตคือบุคลิกภาพ ความสามารถในการปรับตัว และค่านิยมที่เหมาะสม ความเชื่อของพวกเขาสอดคล้องกับบริษัทของคุณหรือไม่ คุณมีวิสัยทัศน์ 10 ปีเดียวกันหรือไม่ พวกเขาเชื่อมั่นในพันธกิจของคุณหรือไม่ เราจะเจาะลึกถึงวิธีที่คุณสามารถประเมินได้ว่าผู้สมัครเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่ในหัวข้อถัดไปด้านล่าง
ตัวอย่างคำถามสัมภาษณ์
ต่อไปนี้คือคำถามสัมภาษณ์บางส่วนที่ผมเคยใช้ ซึ่งสามารถช่วยคุณระบุตัวผู้สมัครที่ถูกต้องได้
คุณอยากเห็นอะไรจากบริษัทนี้เพื่อทำความเข้าใจอดีตของบริษัท คุณกำลังพยายามดูว่าผู้สมัครจะพยายามทำความเข้าใจลักษณะทางการเงินของธุรกิจอย่างไรด้วยคำถามนี้ พวกเขาสามารถทำได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ มีประสิทธิภาพ และวิเคราะห์ข้อมูลได้หรือไม่
บริษัทนี้มีภาวะตลาดขาขึ้นแบบใด คำถามนี้ประเมินความรู้ทางการเงินและทักษะการใช้เหตุผลของผู้สมัคร โดยให้ผู้สมัครคาดการณ์อนาคตและอธิบายเหตุผล พวกเขาคาดการณ์ว่าบริษัทนี้จะประสบความสำเร็จอย่างมากโดยวิธีมด มีปัจจัยสำคัญทางการเงินอะไรบ้าง บริษัทจะล้มละลายอย่างไรในเชิงทฤษฎี พวกเขาคาดการณ์ว่าปัญหาทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง
เล่าให้ฟังหน่อยว่าคุณมุ่งมั่นให้เกิดการตอบรับหรือการปรับปรุงรายได้ กำไร และอะไรอื่นของบริษัทในครั้งล่าสุดอย่างไรบ้าง คำถามนี้ช่วยประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบริษัท ผู้สมัครทำได้อย่างไร สามารถระบุปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตนี้ได้อย่างไร และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไร พวกเขามุ่งความสนใจไปที่ความร่วมมือที่ดี หรือมุ่งเน้นแต่ตัวเองเพียงอย่างเดียว
คุณมองว่าคุณลักษณะใดมีความสำคัญต่อวัฒนธรรมบริษัทที่ประสบความสำเร็จ คำถามนี้จะพิจารณาว่าผู้สมัครเหมาะกับวัฒนธรรมของคุณหรือไม่ การใช้ทางลัดในการสร้างวัฒนธรรมทางธุรกิจของคุณในตอนนี้ อาจกลายเป็นภาระใหญ่ในภายหลัง และอาจส่งผลอย่างมากต่อคุณภาพและอายุงานของลูกจ้าง ไม่ว่าคุณจะเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงานเต็มเวลาหรือพนักงานที่ให้บริการแบบนอกเวลา ผู้สมัครควรเป็นสมาชิกทีมที่เชื่อใจได้อย่างแท้จริง ผู้ซึ่งสนใจที่จะช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มากกว่าแค่ทำตามหน้าที่
อย่าลืมพิจารณาถึงลักษณะของคำถามที่ผู้สมัครถามคุณ เนื่องจากคำถามเหล่านี้สามารถบอกคุณได้มากมายเกี่ยวกับผู้สมัครรายนี้ ผมคิดว่าการปล่อยให้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 1 ใน 3 ถึงครึ่งหนึ่งของเวลาที่จัดสรรไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้รับการว่าจ้างครั้งแรก ให้เป็นเวลาที่ผู้สมัครได้ถามคำถามเกี่ยวกับธุรกิจของคุณนั้นสำคัญมาก เพื่อดูว่าจะถามไปในทิศทางใดต่อ ผู้สมัครจะเริ่มต้นทำเงินได้ไวแค่ไหน มีจุดที่ต้องระวังอะไรบ้าง พวกเขาสามารถเข้าใจประเด็นเชิงกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ ทุกธุรกิจล้วนมีจุดที่ต้องระวัง และสิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าผู้สมัครสามารถทำความเข้าใจกับจุดที่ต้องระวังได้เร็วแค่ไหน
สร้างทีม: หลักการจ้างงานที่ต้องคำนึงถึง
เมื่อคุณเติบโต บริษัทของคุณก็จะต้องเผชิญกับความต้องการที่แตกต่างออกไป ในที่สุดคุณก็ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งใครที่จะจ้างและวิธีการจ้าง
จ้างผู้เชี่ยวชาญเมื่อคุณเติบโตขึ้น
เมื่อคุณเติบโตขึ้น ทีมการเงินของคุณก็จะเติบโตและพัฒนาไปพร้อมๆ กัน โดยสมาชิกในทีมจะรับบทบาทที่เฉพาะทางมากขึ้น ในช่วงแรก พนักงานที่มีความถนัดทั่วไปแต่พร้อมรับหน้าที่หลากหลายและรับมือกับทุกงานที่เข้ามาจะมีความสำคัญมาก แต่ความต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็จะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจ ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ควรใช้เมื่อธุรกิจของคุณเติบโต
เมื่อใดจึงควรเริ่มจ้างผู้เชี่ยวชาญ: เมื่อทีมการเงินของคุณขยายขนาดจนมีสมาชิก 5 คนขึ้นไป ก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มมองหาผู้มารับบทบาทเฉพาะทาง เพราะพอคุณจ้างพนักงานครบ 5 คนแล้ว คุณก็จะเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้นผ่านการเพิ่ม ROI สูงสุดให้กับแต่ละคน จำนวนพนักงาน 5 คนคือจุดเปลี่ยนให้คุณต้องพิจารณาว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ผมจะพูดถึงคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจ้างพนักงานไว้ด้านล่าง
โปรดสังเกตว่าคุณจะสามารถเริ่มคิดถึงการขยายธุรกิจได้ในตอนที่คุณเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับผู้เชี่ยวชาญคนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและสิ่งที่ได้เรียนรู้สำคัญๆ จากนายจ้างก่อนหน้าสามารถช่วยชี้แนะแนวทางการเติบโตให้กับธุรกิจของคุณได้
เมื่อถึงเวลาเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับผู้จัดการ: หลักการทั่วไปคือผู้จัดการไม่ควรมีผู้ใต้บังคับบัญชาเกิน 4-6 คน เมื่อจำนวนสมาชิกทีมเกินเกณฑ์ที่กำหนด คุณจะต้องมีพนักงานในลำดับชั้นของผู้จัดการภายในองค์กรมากขึ้น
ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขยายทีมการเงินของคุณตั้งแต่เนิ่นๆ
การคิดถึงการขยายขนาดตั้งแต่เนิ่นๆ แม้กระทั่งก่อนที่จะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามา อาจดูน่าสนใจ แต่ไม่ควรกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการขยายธุรกิจมากนักในช่วงแรก ให้ความสนใจกับขั้นตอนพื้นฐานเบื้องต้นของการบล็อกและการจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน หลังจากทำสำเร็จไปแล้ว คุณก็จะหันมากังวลเกี่ยวกับการขยายขนาดและประสิทธิภาพได้ แล้วคิดถึงการดำเนินฟังก์ชันที่สำคัญที่สุดของตนเองอย่างเป็นเส้นตรง (เช่น วิธีทำให้ฟังก์ชันเติบโตผ่านการขยายขนาดแบบเส้นตรง อย่างการทำบัญชี เทียบกับฟังก์ชันที่ขยายขนาดแบบทวีคูณ อย่างการวางแผนทางการเงินและการวิเคราะห์ตลาดทุน)
จ้างพนักงานที่มีระดับความทะเยอทะยานที่หลากหลาย
การผสมผสานผู้มีความทะเยอทะยานแบบส่งเสริมกันเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จเมื่อทีมของคุณเติบโตขึ้น คุณต้องการพนักงานที่ต้องการอยู่ในสายงานที่เน้นการมีส่วนร่วมเป็นรายบุคคล ซึ่งอาจมีความทะเยอทะยานน้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงบั้นปลายของอาชีพ สิ่งดังกล่าวนี้ต้องสมดุลกับพนักงานที่ต้องการไต่เต้าขึ้นไปในระดับผู้จัดการ ไม่ว่าอย่างไร ทีมที่เต็มไปด้วยพนักงานอย่าง Tom Brady หรือ Megan Rapinoe ซึ่งในสถานการณ์จำลองนี้ดูเหมือนจะเป็นทีมการเงินทั้งทีมที่มุ่งเป้าไปที่ยังตำแหน่ง COO/CFO ก็ต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง กลุ่มผู้สมัครของคุณจะเต็มไปด้วยพนักงานที่มีความทะเยอทะยานสุดๆ ซึ่งจดจ่อกับแค่โอกาสในการก้าวหน้าในอาชีพการงานของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ การสื่อสารให้ชัดเจนว่าตำแหน่งต่างๆ คืออะไร และเชื่อมโยงตำแหน่งเหล่านั้นกับคุณค่าที่ส่งให้องค์กรคือสิ่งสำคัญ การทำเช่นนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงความคาดหวังที่ปนเปกันเกี่ยวกับการหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่ง และช่วยให้แน่ใจว่าคุณมีความพนักงานที่มีปรารถนาทางอาชีพที่ผสมผสานกันอย่างเหมาะสมที่สุด
วางแผนล่วงหน้าสำหรับการเติบโตและการจ้างงานในระดับนานาชาติ
หากคุณคิดว่าจะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเพื่อการเติบโตทางธุรกิจหรือการเข้าถึงกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถที่กว้างขึ้น สิ่งที่ต้องทำอย่างจริงจังคือการกำหนดระบบที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
การขยายธุรกิจสู่การเติบโตระดับนานาชาติ
หากบริษัทของคุณดำเนินงานหรือกำลังพิจารณาที่จะดำเนินงานทั่วโลก คุณควรพิจารณาจ้างทีมการเงินที่มีความเชี่ยวชาญในพื้นที่เพื่อประจำแต่ละสาขา ซึ่งสามารถช่วยคุณปฏิบัติตามกฎและกฎระเบียบในการดำเนินงานภายในตลาดใหม่ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและกำลังพิจารณาดำเนินงานในยุโรป คุณจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากทีมที่สามารถช่วยทำความเข้าใจข้อกำหนดทางการเงิน กฎหมาย และข้อบังคับต่างๆ ได้ แม้ว่าคุณอาจจ้างบุคคลแบบเอาท์ซอร์สได้ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ควรพิจารณาจ้างพนักงานภายในบริษัทด้วย โดยขึ้นอยู่กับขอบเขตและความเร็วในการขยายธุรกิจของคุณ
การขยายธุรกิจสู่การจ้างงานระหว่างประเทศ
หากคุณต้องการจ้างพนักงานต่างชาติ คุณจะต้องแน่ใจว่ามีการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านการจ่ายเงินเดือนตั้งแต่เริ่มต้น (สามารถจ้างแบบเอาท์ซอร์สได้ หากคุณมีพนักงานน้อยกว่า 150 คน) ซึ่งสามารถช่วยจัดการกับข้อกังวลด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย การดำเนินงาน และข้อกำหนดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานระหว่างประเทศ “สำคัญมากๆ ที่สตาร์ทอัพจะจำเป็นต้องดำเนินการอย่างถูกต้อง เพราะข้อผิดพลาดอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวสตาร์ทอัพเองได้ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเงินทุนและการเข้าซื้อกิจการ ดังนั้น คุณจึงต้องแน่ใจว่ามีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานระหว่างประเทศทั้งหมดเป็นความลับ” Kate Adams รองประธานฝ่ายการตลาดของ Burkland Associates กล่าว
หากคุณทำธุรกิจในประเทศโดยเฉพาะ ให้พิจารณาข้อดี (มีผู้สมัครที่มีศักยภาพมากขึ้น) และข้อเสีย (ปวดหัวกับเอกสาร) ก่อนที่จะตัดสินใจขยายการรับสมัครบุคลากรที่มีความสามารถไปทั่วโลก
ลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญด้านการจ่ายเงินเดือนหากคุณกำลังสร้างทีมแบบระยะไกล
การจ้างพนักงานระยะไกลจะใช้ประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการจ่ายเงินเดือนซึ่งช่วยจัดการรายละเอียดทางเทคนิคในการจ้างพนักงานจากรัฐและประเทศต่างๆ การยื่นภาษีและเงินเดือนของแต่ละรัฐอาจยุ่งยากและซับซ้อน ขณะเดียวกัน การจ้างพนักงานจากรัฐต่างๆ ก็สร้างภาระภาษีให้กับนิติบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องมีการจัดการ
“เราเคยเห็นสตาร์ทอัพโดนตรวจสอบข้อมูลด้านการระดมทุนและการควบรวมและซื้อกิจการมาแล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น พนักงานทุกคนต้องจดทะเบียนในรัฐที่ตนทำงานอยู่ ซึ่งสตาร์ทอัพไม่กี่รายรู้เรื่องนี้” Kate กล่าว “และบางรัฐก็มีข้อกำหนดด้านภาษีสำหรับพนักงานที่อาศัยอยู่ในรัฐนั้นๆ คุณต้องระมัดระวัง เพราะบางรัฐทำให้เรื่องนี้ง่ายมาก ในขณะที่บางรัฐก็ทำให้เป็นเรื่องยาก”
นำสแต็กทางการเงินอัจฉริยะมาใช้เพื่อลดความต้องการจำนวนพนักงาน
ลองพิจารณาดูว่าระบบอัตโนมัติจะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของทีมอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ด้วยเครื่องมือที่ช่วยให้คุณออกบัตรดิจิทัลให้กับพนักงานได้อย่างง่ายดาย ผู้นำด้านการเงินจึงไม่ต้องกังวลหรือเสียเวลาไปกับรายงานค่าใช้จ่าย การติดตามการใช้จ่าย ฯลฯ การใช้ Ramp ช่วยให้นายจ้างสามารถมอบอิสระในการทำงานให้กับพนักงานและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ดังนั้น เครื่องมือของคุณจึงอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อตำแหน่งงานที่คุณต้องการจ้าง สิ่งที่ควรทราบคือไม่ควรทดลองใช้เครื่องมือต่างๆ มากนักในช่วง 3 ปีแรก คุณควรใช้เครื่องมือที่เชื่อถือได้เป็นหลัก ซึ่งจะช่วยให้ทีมการเงินของคุณประสบความสำเร็จ การทดสอบเครื่องมือใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ควรทำให้เป็นข้อยกเว้นมากกว่ากฎเกณฑ์ คุณต้องทำให้แน่ใจว่าตนเองมีเทคสแต็กที่ประสบความสำเร็จและผสานการทำงาน ซึ่งจะช่วยนำทีมและองค์กรโดยรวมไปสู่ความสำเร็จ
แผนการจ้างงานในช่วง 4 ปีแรก
ต่อไปนี้คือกรอบการทำงานสำหรับการจัดโครงสร้างทีมของคุณในช่วง 4 ปีแรก แม้ว่าส่วนนี้จะแบ่งตามปี คุณก็ควรพิจารณาระดับเงินทุนของตนเองด้วย ตัวอย่างเช่น สตาร์ทอัพรายหนึ่งอาจได้รับเงินทุน Series A มูลค่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่สตาร์ทอัพอีกรายหนึ่งอาจได้รับเงินทุน Series A มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปีแรก: จัดตั้งฟังก์ชันการเงินของคุณให้พร้อมใช้งาน
ปีแรกเป็นปีสำหรับเริ่มต้นฟังก์ชันด้านการเงินจากศูนย์ มีตัวเลือกทั่วไปอยู่ 4 แบบดังนี้
1. จ้างพนักงานการเงินแบบเอาท์ซอร์ส
สตาร์ทอัพบางแห่งเลือกที่จะจ้างฟังก์ชันด้านการเงินแบบเอาท์ซอร์ส ตัวเลือกฟังก์ชันที่ให้บริการแบบนอกเวลาซึ่งได้รับความนิยม ได้แก่ การบัญชี การเงิน และภาษี Vanessa เชื่อว่าคุณควรพิจารณานำพันธมิตรแบบเอาท์ซอร์สเข้ามาตั้งแต่วันแรก ทันทีที่คุณลงนามเอกสารการจดทะเบียนบริษัท และอาจจะก่อนที่คุณจะสมัครบัญชีธนาคารแรกของคุณด้วยซ้ำ แม้ว่าธุรกิจสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีสมาชิกทีมบัญชีหรือการเงินแบบเต็มทีมจนกว่าจะมีสมาชิกประมาณ 25 คน แต่สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าคุณกำลังเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความสำเร็จโดยการเปิดบัญชีธนาคารที่ถูกต้อง เลือกแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ถูกต้อง และท้ายที่สุดคือไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากหากคุณตัดสินใจเลือกพันธมิตรทางบัญชีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
Vanessa มองว่าการนำพันธมิตรแบบเอาท์ซอร์สเข้ามาทำงาน แทนที่จะเป็นการจ้างงานเต็มเวลา เป็นการตัดสินใจทางการเงินอย่างชาญฉลาดกว่าสำหรับสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ โดยเธออธิบายว่าโดยทั่วไปแล้ว เธอไม่เห็นรอบการระดมทุนเริ่มต้นระหว่าง 1 ล้านถึง 5 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากฐานลูกค้าของพวกเขายังไม่มีปริมาณเพียงพอที่จะต้องมีนักบัญชีแบบเต็มเวลา
ถึงแม้จะไม่มีแนวทางตายตัวว่าควรจ้างใครเป็นคนแรก แต่ก็มีความเห็นตรงกันว่าการมองหา CFO ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจนั้นยังไม่มีความจำเป็นนัก Kate กล่าวว่าสตาร์ทอัพจำนวนมากเริ่มตระหนักว่าการจ้างคนแบบเอาท์ซอร์สมาทำบัญชี แล้วจ้างผู้เชี่ยวชาญ FP&A มาช่วยสร้างแบบจำลองก็เพียงพอแล้ว เมื่อคุณผ่านรอบแรกมาแล้ว จึงค่อยถึงเวลาที่จำเป็นต้องนำ CFO ที่ให้บริการแบบนอกเวลาเข้ามา
หากคุณตัดสินใจจ้างบุคคลแบบเอาท์ซอร์สสำหรับฟังก์ชันใดๆ ก็ตาม ก็อาจเป็นประโยชน์หากมอบหมายสมาชิกในทีมของคุณให้ดูแลทีมที่จ้างมาจากภายนอกนั้น พวกเขาสามารถช่วยให้ทีมที่ให้บริการแบบนอกเวลาของคุณเข้าใจความต้องการเฉพาะของบริษัทได้ดีที่สุด
2. ให้สมาชิกในทีมคนอื่นถือว่าเป็นงานพาร์ทไทม์
คุณอาจให้ผู้บริหารระดับสูงจัดการเรื่องการเงินของคุณได้ คล้ายกับวิธีที่เราบริหารการเงินก่อนที่จะรับพนักงานฝ่ายการเงินคนแรกเข้ามาทำงาน โปรดทราบว่านี่เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น จนกว่าจะมีการจ้างพนักงานที่ให้บริการแบบนอกเวลาหรือพนักงานเต็มเวลาเข้ามา
3. เตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับผู้ควบคุม
การเตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับผู้ควบคุมเพื่อจ้างนักบัญชีมาทำงานภายในองค์กรทั้งหมดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าระบบบัญชีและข้อมูลของคุณมีความแข็งแกร่งที่สุด ขั้นตอนนี้มักเริ่มต้นด้วยการจ้างผู้ควบคุม ผู้จัดการบัญชี หรือพนักงานบัญชี การมีเจ้าหน้าที่ภายในองค์กรจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสนับสนุน FP&A ของคุณ
แม้ว่า FP&A จะช่วยขับเคลื่อนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการบัญชีในช่วงปิดเดือนและในการทำรายงานอัตโนมัติ แต่เราต้องมีรากฐานทางการบัญชีและความสมบูรณ์ของข้อมูลอยู่แล้วเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน FP&A สามารถส่งมอบคุณค่าที่โดดเด่นให้กับองค์กรได้
4. จ้างรองประธานหรือหัวหน้าฝ่ายการเงิน
สตาร์ทอัพบางแห่งเลือกที่จะจ้างรองประธานหรือหัวหน้าฝ่ายการเงินมาเป็นผู้นำทีม หากบุคคลเหล่านี้มีพื้นฐานด้านบัญชีอยู่แล้วก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างฝ่ายการเงินที่ประสบความสำเร็จ สำหรับธุรกิจที่ตัดสินใจจ้างพนักงานประจำก่อน ก็มักจะได้ตำแหน่ง เช่น หัวหน้าฝ่ายการเงิน ที่ดูมีความอาวุโสแต่ไม่ผูกติดกับตำแหน่งระดับผู้บริหาร
ปีที่ 2: กำหนดกลยุทธ์ทางการเงินที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางของบริษัท
ปีที่ 2 เป็นการมุ่งเน้นไปที่การไปตามกลยุทธ์ รวมถึงการสร้างขั้นตอนที่ชัดเจนและทำซ้ำได้
จ้าง FP&A: นี่คือจุดที่คุณจะเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่การทำงานด้านการเงินโดยเฉพาะ โดยการจ้างนักวิเคราะห์หรือผู้จัดการ FP&A แบบเต็มเวลา คุณควรเพิ่มตำแหน่งนี้เมื่อการบัญชีของคุณลงร่องลงรอยแล้ว เพื่อให้พนักงานคนนี้ใช้ประโยชน์และพัฒนาประสิทธิภาพของการบัญชีได้ ในปีที่ 2 โฟกัสจะเปลี่ยนจากการบัญชีและโครงสร้างพื้นฐานหลักของ FP&A ไปเป็นบริการเชิงกลยุทธ์ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้าน FP&A ที่ทุ่มเทคนนี้จะมีหน้าที่สำคัญๆ เช่น การรายงาน การคาดการณ์ และการสร้างแบบจำลองสถานการณ์
เตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับพนักงานที่มีความถนัดทั่วไป: นอกจาก FP&A แล้ว คุณจะต้องมีพนักงานเก่งๆ ที่มีความถนัดทั่วไปคอยช่วยเหลือในการจัดการและดำเนินงานต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เช่น ฝ่าย FinOps ของคุณ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว อาจเริ่มมองหาบุคคลเหล่านี้ในปีที่ 2 หรือเมื่อใดก็ได้ก่อนที่ทีมการเงินของคุณจะมีสมาชิกครบ 5 คน
ลงทุนในฟังก์ชันและขั้นตอน: ปัจจุบันมีการให้ความสำคัญกับฟังก์ชันและขั้นตอนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากขั้นตอนหนึ่งคือการคืนเงิน คุณต้องมีเสมียนบัญชีหรือตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันที่สามารถรับผิดชอบงานนั้นได้ ตัวอย่างตำแหน่งภายในองค์กรที่ควรพิจารณาในระยะนี้คือนักบัญชีอาวุโสเพื่อจัดการระบบ HRIS ของคุณ
วิทยาศาสตร์ข้อมูลและ BizOps เป็นอีกหนึ่งสาขาสำคัญที่ฝ่ายการเงินควรให้ความสำคัญในระยะนี้ โดย BizOps ช่วยเติมเต็มช่องว่างในแง่ของการวิเคราะห์ความยั่งยืนทางการเงินและการจัดสรรทรัพยากรทั่วทั้งบริษัท
ความผิดพลาดในช่วงแรกของผมช่วยผลักดันให้ Ramp ประสบความสำเร็จได้อย่างไร
กับ Paribus บริษัทก่อนหน้าของผม การจัดการค่าใช้จ่ายกลายเป็นปัญหาใหญ่ตอนที่พวกเขาเตรียมจะขาย เราไม่ได้เก็บบันทึกที่ดีนัก เพราะคิดว่าแค่มีบัตรเครดิตก็เพียงพอแล้ว แต่ข้อกำหนดการตรวจสอบระบุว่า "คุณต้องมีใบเสร็จสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าเกิน 75 ดอลลาร์ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ และทำให้ผู้ซื้อได้ประโยชน์น้อยลง"ผมใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการติดตามค่าใช้จ่ายตลอดหลายปี ซึ่งมันแย่มาก สิ่งที่ว่านี้กระตุ้นให้เกิดแนวคิดในการสร้างซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้คนหลีกเลี่ยงประสบการณ์แบบเดียวกันนี้ได้
เตรียมความพร้อมสำหรับเริ่มงานให้กับ CFO ที่ให้บริการแบบนอกเวลา: CFO ที่ให้บริการแบบนอกเวลาอาจเหมาะกับสตาร์ทอัพที่อยู่ระหว่างรอบ Seed และ Series A ช่วงเวลาเหล่านี้พร้อมรับคำแนะนำจาก CFO แต่ยังไม่พร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในการจ้าง CFO แบบเต็มเวลา สตาร์ทอัพก่อน Seed มักไม่ต้องการ CFO และควรมุ่งเน้นไปที่ความต้องการด้านภาษีและบัญชีมากกว่า
หากคุณคิดว่า CFO ที่ให้บริการแบบนอกเวลาอาจเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องสำหรับคุณ ให้พิจารณาทำงานร่วมกับผู้ที่เข้าใจกลุ่มธุรกิจของคุณ
ปีที่ 3: กำหนดขั้นตอน พัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ในปีที่ 3 คุณจะมุ่งเน้นไปที่การจำกัดขั้นตอนต่างๆ ให้แคบลงและสร้างตำแหน่งเฉพาะทางมากขึ้น
นำผู้เชี่ยวชาญเข้ามา: หลังจากที่ทีมการเงินของคุณเติบโตจนมีสมาชิก 5 คนขึ้นไป ให้ลองพิจารณานำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเสริมและขยายทีม ตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการจ่ายเงินเดือน เมื่อองค์กรของคุณมีพนักงาน 150-200 คน ก็ถึงเวลานำผู้เชี่ยวชาญเข้ามา ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จำเป็นสำหรับการจัดการความต้องการด้านเงินเดือนที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นพนักงานฝ่ายการเงินคนแรกที่จะมีงานเฉพาะด้าน
จ้าง CFO: ในช่วงเวลานี้ คุณอาจพิจารณาจ้าง CFO ประจำบริษัทด้วย ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทระดมทุน Series D ได้แล้ว คุณควรมองหา CFO ที่มีประสบการณ์ด้านสตาร์ทอัพ แทนที่จะทำงานด้านการเงินแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว และคุ้นเคยกับประเด็นเฉพาะของสตาร์ทอัพต่างๆ เช่น การรักษากระแสเงินสด การระดมทุน และความสำคัญของตัวชี้วัดและเกณฑ์มาตรฐาน
ปีที่ 4 ขึ้นไป: นำฟังก์ชันต่างๆ เข้ามาดำเนินการภายในองค์กร เน้นที่ความพึงพอใจของลูกค้า
ในปีที่ 4 และปีต่อๆ ไป เราจะเน้นที่การนำฟังก์ชันต่างๆ เข้ามาภายในองค์กรมากขึ้น โดยไม่ละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ ลูกค้าของคุณ
การทำภาษีภายในองค์กร: ก่อนหน้านี้คุณคงใช้บริการภาษีแบบเอาท์ซอร์ส แต่หลังจากผ่านไป 3 ปี หรือเมื่อทีมของคุณมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 25 คน คุณก็ควรจัดตั้งหน่วยงานภาษีภายในองค์กร “ฉันคิดว่าคุณสามารถใช้และควรใช้ผู้ให้บริการบัญชีแบบเอาท์ซอร์สจนกว่าจะมีสมาชิกครบ 25 คน” Vanessa อธิบาย “เราไม่ค่อยเห็นบริษัทใดมีพนักงานเพิ่มขึ้นจาก 0 คนเป็น 25 คนในปีแรก ปีที่ 2 หรือแม้แต่ปีที่ 3 แต่ก็เกิดขึ้นได้นะ”
กรณีศึกษา: ทีมการเงินของ Ramp
ทุกวันนี้ ทีมการเงินของ Ramp มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บริษัทเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การระดมทุนตราสารหนี้ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบ ERP ใหม่ ฝ่ายการเงินของเรามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับ Ramp ไปอีกขั้น หากเรายังคงพยายามจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เราคงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า Ramp จะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
Alex Song ได้รับการว่าจ้างให้มาเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินของ Ramp หลังจากเริ่มก่อตั้งได้ 15 เดือน ผมเป็นผู้รับผิดชอบงานบัญชีปฏิบัติการและวางแผนการเงินด้วยตัวเองก่อนที่จะรับพนักงานฝ่ายการเงินเฉพาะทางคนแรกเข้ามา Ramp จำเป็นต้องจ้างพนักงานฝ่ายการเงินเฉพาะทางเนื่องจากเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำ โดย Ramp เองควรจะจ้างฝ่ายการเงินมาตั้งนานแล้วตอนที่ Alex เข้ามารับตำแหน่ง
สิ่งที่มองหาเมื่อตอนที่จ้างพนักงานด้านการเงินคนแรก
ผมกำลังมองหาผู้สมัครที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเงินเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และสามารถทำหน้าที่เป็นพันธมิตรในการช่วยให้ Ramp สร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งได้ ตอนนั้นเรามองหาบุคคลที่สามารถให้มุมมองทางการเงินเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถกำหนดระบบเพื่อสร้างงบการเงินได้ แต่ยังสามารถประเมินการจัดสรรของเราได้ด้วย เช่น หากเราใช้จ่ายน้อยเกินไปหรือมากเกินไปในจุดใดจุดหนึ่ง เราต้องการผู้ร่วมคิดในการสร้างธุรกิจของเราจริงๆ เราจึงต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ในการจัดสรรเงินทุนและการลงทุนก้อนใหญ่ ผมดีใจมากที่ Alex เป็นนักลงทุนตราสารหนี้มาหลายปีแล้ว
ประสบการณ์ของ Alex ในด้านความสัมพันธ์กับนักลงทุนถือเป็นคุณสมบัติที่น่าดึงดูดอีกประการหนึ่ง เรามีนักลงทุนที่ Goldman Sachs และ Citi ที่ซื้อความเสี่ยงด้านเครดิตของเราอย่างเป็นผล และเนื่องจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของ Alex เขาจึงมีทักษะสูงมากในการสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ในบัญชีของเราอย่างน่าเชื่อถือ ผมคิดว่าเรื่องนักลงทุนสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงมากนักในการจ้างงานด้านการเงิน ท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจส่วนใหญ่กำลังสร้างความไว้วางใจ และสรรหาผู้นำที่ไม่เพียงแต่เก่งในหน้าที่การงาน แต่ยังฉลาด พูดจาดี และสามารถบริหารทีมได้อย่างยอดเยี่ยม
ทีมของ Ramp เติบโตอย่างไรในปัจจุบัน
ปัจจุบัน Ramp กำลังเริ่มจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีหน้าที่เพียงด้านเดียว โดยมุ่งเน้นการจัดสรรบุคลากรให้สอดคล้องกับขอบเขตงานที่กว้างขึ้น เช่น การมีแผนกการเงินที่สนับสนุนการขายและการตลาด การบริหารและการจัดการ และการวิจัยและพัฒนาโดยเฉพาะ แพลตฟอร์มที่สามารถทำงานอัตโนมัติช่วยให้เราจ้างพนักงานที่มีความถนัดทั่วไปน้อยลง ในขณะที่ยังคงรักษามาตรฐานการปฏิบัติงานที่เข้มงวด
ขณะนี้ Ramp กำลังพิจารณาที่จะดึงผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีมาช่วยงานผู้ควบคุมของเรา ซึ่งปัจจุบันรับผิดชอบภาษีทั้งหมด เนื่องจากธุรกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น เรื่องนี้จึงเริ่มกลายเป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมา การขยายทีมของเราเองจะช่วยให้เราสนับสนุนเป้าหมายหลักได้ดียิ่งขึ้น นั่นคือการช่วยให้ผู้นำธุรกิจประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายลง ทั้งนี้ เราจะยังคงรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าอย่างตั้งใจ และอัปเดตข้อมูลล่าสุดที่ช่วยให้พวกเขาทำงานได้มากขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยลง
Ramp ช่วยคุณสร้างทีมการเงินที่คล่องตัวและมีประสิทธิภาพได้ ลงทะเบียนเลย หากต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ผู้นำทางการเงินสร้างทีมและใช้เทคโนโลยี ให้ลองฟังพอดแคสต์ Ramp