ความท้าทาย
Ronald Ding และ Ed Goode ร่วมกันก่อตั้ง Shadeform ซึ่งเป็นมาร์เก็ตเพลส GPU ระบบคลาวด์ที่เชื่อมต่อนักพัฒนาเข้ากับทรัพยากรการประมวลผลจากผู้ให้บริการหลายสิบราย เพื่อตอบสนองความต้องการ GPU ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถขับเคลื่อนการใช้งาน AI ยุคใหม่ โดยบริษัทจากซานฟรานซิสโกแห่งนี้ช่วยให้นักพัฒนาสามารถคัดกรองทรัพยากร GPU ได้อย่างง่ายดายตามสเปค ฮาร์ดแวร์ ราคา และความพร้อมใช้งาน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและประมวลผลได้ภายในไม่กี่วินาที
ผู้ก่อตั้ง Shadeform รู้ดีว่าจำเป็นต้องมีวิธีปรับปรุงระบบการเรียกเก็บเงินและการชำระเงินสำหรับผู้ใช้ที่ทำธุรกรรมกับผู้ให้บริการหลายราย ในฐานะที่เป็นสตาร์ทอัพขนาดเล็ก Shadeform ต้องการโซลูชันที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและไม่ดึงทรัพยากรด้านวิศวกรรมออกไปจากการสร้างโซลูชันหลัก
Ding กล่าวว่า “เรารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าจำเป็นต้องรวมระบบเรียกเก็บเงินให้เป็นมาร์เก็ตเพลสอย่างแท้จริง ไม่ใครหรอกที่อยากจะใช้บริการเราแล้วต้องไปหาผู้ให้บริการหลายรายเพื่อจัดการระบบเรียกเก็บเงินในหลายๆ ที่”
เมื่อ Shadeform เติบโตขึ้น พวกเขาก็ต้องการให้ผู้ใช้มีความยืดหยุ่นในการชำระเงินมากขึ้น เนื่องจาก ACH ใช้งานได้เฉพาะกับบัญชีธนาคารในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ACH จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้ที่มีปริมาณธุรกรรมสูงในยุโรปและเอเชีย ในขณะที่บัตรเครดิตมักหมายถึงขนาดธุรกรรมที่จำกัด ค่าธรรมเนียมการดำเนินการที่สูง และความเสี่ยงที่อาจถูกปฏิเสธ ลูกค้าเริ่มเรียกร้องให้สามารถชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัล แต่ Shadeform ยังคงลังเลตรงนี้อยู่ เนื่องจากกังวลเรื่องความซับซ้อนของการรับและจัดการสกุลเงินดิจิทัลในกระเป๋าเงิน หรือการแปลงสกุลเงินดิจิทัลเป็นเงินตราทั่วไปเพื่อชำระเงินให้กับผู้ให้บริการ
โซลูชัน
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ Shadeform เปิดตัวมาร์เก็ตเพลสระบบคลาวด์ GPU บริษัทได้ผสานการทำงานกับ Stripe Payments เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมโดยตรงกับ Shadeform ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการคลาวด์ GPU แต่ละรายต่างหาก
Shadeform ใช้ชุดเครื่องมือด้านการชำระเงินที่เพิ่มประสิทธิภาพของ Stripe เพื่อสร้างการชำระเงินที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และปลอดภัยได้ในทันที โดยใช้การผสมผสานระหว่าง Checkout สำหรับลูกค้าแบบบริการตนเอง และหน้าใบแจ้งหนี้ที่เชื่อมต่อโดยตรงกับระบบของเรา และ Payment Links สำหรับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งทำให้บริษัทรับชำระเงินได้โดยไม่ต้องสร้างประสบการณ์การชำระเงินของตนเองหรือจัดการข้อมูลการชำระเงินของลูกค้า การเปิดใช้งาน Adaptive Pricing ทำให้ Shadeform สามารถเรียกเก็บเงินทั้งหมดเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับให้ลูกค้าเห็นราคาและชำระเงินในสกุลเงินท้องถิ่นของตนเอง นอกจากนี้ Shadeform ยังได้นำ Link ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่ Stripe พัฒนาขึ้นมาใช้ ซึ่งจะช่วยกรอกข้อมูลการชำระเงินของลูกค้าโดยอัตโนมัติ เพื่อสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่รวดเร็ว ง่ายดาย และปลอดภัย
Shadeform ใช้ Stripe เพื่อมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ยืดหยุ่น ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หลากหลายประเภท โดยทั่วไปผู้ใช้แบบบริการตนเองจะเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินแบบเติมเงินบน Shadeform ผ่าน Stripe ซึ่ง Shadeform จะหักเงินตามการใช้งาน วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถสลับใช้งานระหว่างผู้ให้บริการ GPU บน Shadeform ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องตั้งค่าและเติมเงินเข้าบัญชีใหม่กับพาร์ทเนอร์แต่ละราย
ถึงแม้ผู้ใช้ในช่วงแรกจะเป็นผู้ชื่นชอบงานอดิเรกและสตาร์ทอัพที่สามารถเติมเงินเครดิตได้อย่างง่ายดาย แต่ Shadeform ก็เริ่มดึงดูดความสนใจจากองค์กรต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตโดยไม่ต้องเติมเงินเครดิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการใช้จ่ายที่คาดการณ์ได้มากขึ้นซึ่งต้องใช้ใบแจ้งหนี้รายเดือน รวมถึงลูกค้าที่ซื้อสิทธิ์การใช้งาน GPU ล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือน Shadeform จึงได้เพิ่ม Stripe Invoicing เพื่อสร้างและจัดการใบแจ้งหนี้ที่ส่งโดยอัตโนมัติเมื่อสิ้นสุดรอบบิลแต่ละรอบ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถกำจัดจุดอ่อนสำคัญที่ช่วยปลดล็อกการใช้ GPU ที่สูงขึ้นจากลูกค้าองค์กร
เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซี ในปี 2025 Shadeform ได้เริ่มรับชำระเงินด้วย USDC ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่ออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าแบบ 1:1 กับสกุลเงิน USD โดยบริษัทสามารถเริ่มรับ USDC ได้ทันทีด้วยการเปิดใช้งานเป็นตัวเลือกการชำระเงินใน Payments ซึ่ง Stripe จะแปลงสกุลเงินโดยอัตโนมัติและฝากเงินเป็น USD เข้าบัญชีธนาคารของ Shadeform โดยตรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องจัดการกระเป๋าเงิน การแลกเปลี่ยน และการโอนเงิน นอกจกานี้ธุรกรรมสเตเบิลคอยน์ยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่ำกว่าการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตระหว่างประเทศ ทำให้บริษัทประหยัดค่าธรรมเนียม และเนื่องจากธุรกรรมสเตเบิลคอยน์ถือเป็นธุรกรรมสุดท้าย จึงไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อพิพาทหรือการปฏิเสธการชำระเงิน
Shadeform ใช้ Stripe Radar เพื่อตรวจจับและป้องกันธุรกรรมฉ้อโกง โดย Radar จะสร้างคะแนนความเสี่ยงสำหรับทุกธุรกรรม และธุรกรรมใดก็ตามที่เกินเกณฑ์ความเสี่ยงของบริษัทจะถูกบล็อกโดยอัตโนมัติ ช่วยปกป้อง Shadeform และพาร์ทเนอร์ระบบคลาวด์ GPU จากผู้ไม่หวังดีที่ใช้บัตรเครดิตที่ขโมยมาเพื่อเข้าถึงการประมวลผล
นอกจากนี้ Shadeform ยังค้นพบตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจำเป็นต้องมีวิธีที่เชื่อถือได้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนใช้บัตรเครดิตที่ถูกขโมยมาเพื่อซื้อ GPU
ผลลัพธ์
Shadeform นำ Stripe มาใช้ได้ใน 2 วัน
Shadeform ได้นำระบบ Payments มาใช้หลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน โดยใช้วิศวกรเพียงหนึ่งคนและเวลาในการพัฒนาเพียง 2 วัน ทำให้บริษัทยังคงเติบโตได้อย่างไม่สะดุดตั้งแต่เปิดตัว ขณะเดียวกันก็ลดปัญหาที่ผู้ใช้ต้องเผชิญด้วย
Ding กล่าวว่า “Stripe มี API ที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ และมีเอกสารประกอบที่ดีที่สุดด้วย การทำให้แพลตฟอร์มทำงานได้อย่างสมบูรณ์พร้อมระบบชำระเงินแบบบริการตนเองแบบครบวงจรภายในสองวันไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ด้วยแพลตฟอร์มประมวลผลการชำระเงินอื่น”
การยอมรับสเตเบิลคอยน์ช่วยเพิ่มรายรับ 10%
Shadeform เริ่มยอมรับ USDC โดยเพียงแค่เปิดใช้งานสเตเบิลคอยน์และวิธีการชำระเงินด้วยคริปโตใน Payments ก็ช่วยให้บริษัทประหยัดเวลาหลายสัปดาห์ที่ต้องใช้ไปกับการตั้งค่ากระเป๋าเงินคริปโตของตัวเองและผสานการทำงานกับเวิร์กโฟลว์การประมวลผลการชำระเงิน
Shadeform กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนับตั้งแต่เปิดใช้การชำระเงินด้วย USDC สำหรับลูกค้าที่มีปริมาณธุรกรรมสูงในยุโรปและเอเชียที่ไม่สามารถใช้ ACH หรือพบปัญหาเรื่องข้อจำกัดของบัตรระหว่างประเทศ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น 10% หลังจากเปิดใช้งาน ปัจจุบันการชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์คิดเป็นเกือบ 20% ของปริมาณการชำระเงินของ Shadeform
Ding กล่าวว่า “การยอมรับคริปโทเคอร์เรนซีช่วยให้ลูกค้าแบบเติมเงินของเราสามารถเพิ่มเงินในกระเป๋าเงินได้ภายในธุรกรรมเดียว ทำให้ไม่ต้องยุ่งยากเลย และด้วยการที่ Stripe จัดการกระบวนการและการแปลงทั้งหมดเป็นเงินตราทั่วไป จึงช่วยลดความซับซ้อนให้เราด้วยเช่นกัน”
Shadeform ลดค่าธรรมเนียมการประมวลผลลง 66% สำหรับธุรกรรมที่ใช้สเตเบิลคอยน์
Shadeform จ่ายค่าธรรมเนียม 1.5% สำหรับการรับสเตเบิลคอยน์ในธุรกรรมต่างๆ เทียบกับ 4.5% สำหรับบัตรเครดิตระหว่างประเทศ เนื่องจากการชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าในต่างประเทศ Shadeform จึงประหยัดเงินได้ประมาณ 66% เมื่อลูกค้าชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์
Ding กล่าวว่า “เนื่องจากเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและมีอัตรากำไรต่ำ การประหยัดค่าธรรมเนียมการประมวลผลได้มากขนาดนั้นจึงสำคัญมากต่อผลกำไรสุทธิของเรา”
Link ประมวลผลธุรกรรม 70%
ทุกวันนี้ธุรกรรมของ Shadeform ได้รับการประมวลผลไปแล้ว 70% ด้วย Link ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องกรอกรายละเอียดการชำระเงินซ้ำ
Shadeform ใช้ Radar เพื่อขจัดการฉ้อโกง
ถึงแม้การฉ้อโกงจะเป็นปัญหาเมื่อบริษัทเปิดตัว แต่ Shadeform ก็สามารถกำจัดการฉ้อโกงได้แทบหมดจดนับตั้งแต่มีการนำ Radar มาใช้ โดยไม่มีรายงานเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา
Ding กล่าวว่า “เราไม่ชอบความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ Stripe Radar ช่วยให้เรากำจัดการฉ้อโกงได้เกือบหมดจดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเจอเหตุการณ์ฉ้อโกงแบบนี้มานานแล้ว”
Stripe มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราตรวจสอบโมเดลธุรกิจ และมุ่งเน้นไปที่การเติบโตของธุรกิจ แทนที่จะวนเวียนอยู่กับการประมวลผลการชำระเงินซ้ำๆ และสเตเบิลคอยน์ทำให้เราจึงเข้าถึงจุดที่ดีที่สุด นั่นคือราคาถูกกว่าบัตรเครดิต ใช้งานได้ทั่วโลก และชำระเงินได้เร็วกว่า ACH และการโอนเงิน