ความท้าทาย
การเติบโตคือสิ่งที่ Retool ให้ความสำคัญมาตั้งแต่ที่เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2017 ในช่วงแรก บริษัทลงทุนกับบุคลากรด้านวิศวกรรมเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มและการสร้างรากฐานให้กับการขยายธุรกิจในอนาคต
"เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของเราคือการพัฒนาธุรกิจแบบบริการตนเอง" David Hsu ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Retool กล่าว "เราต้องการใช้ Retool ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับการสร้างรายได้ในภายหลัง"
เมื่อกลยุทธ์การสร้างการเติบโตประสบความสำเร็จ Retool ก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายหลักมาเป็นการลดปัญหาติดขัดด้านการชำระเงิน การมอบตัวเลือกการสร้างรายได้ที่ยืดหยุ่นเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ รวมทั้งการสนับสนุนการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างราบรื่น นอกจากนี้ บริษัทยังต้องจัดการเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีและสกุลเงินระหว่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ทำให้ทีมต้องจัดการงานที่ช้าและยุ่งยาก รวมถึงงานตรวจสอบข้อผิดพลาดที่น่าเบื่อเมื่อมีข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆ เข้ามาในระบบ
"เป้าหมายสำคัญของเราเปลี่ยนมาเป็นการเรียกเก็บเงินสดในระยะเวลาที่สั้นที่สุด และส่วนสำคัญของเป้าหมายนี้คือการทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะชำระเงินได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย" Luke Franklin ผู้ควบคุมระบบของ Retool กล่าว "แต่เราก็ต้องการความยืดหยุ่นด้านการชำระเงินเมื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ รวมถึงความสามารถในการจัดการระบบการชำระเงินดังกล่าวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพด้วย"
โซลูชัน
Retool ต้องการโซลูชันการเรียกเก็บเงินและออกใบแจ้งหนี้ที่ครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้การชำระเงินเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ช่วยสนับสนุนบริษัทด้านการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วด้วย โดย Retool เริ่มต้นด้วยการใข้ Stripe Billing เนื่องจากมีการเรียกเก็บเงินตามรอบบิลรายเดือนที่เรียบง่าย
"เราพิจารณาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ร่วมด้วยบางส่วน แต่ Stripe คือวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการใช้ระบบรับชำระเงิน" Hsu กล่าว "Stripe โดดเด่นอย่างชัดเจนในฐานะโซลูชันที่เน้นนักพัฒนาเป็นหลัก และกระบวนการเริ่มต้นใช้งานก็ง่ายมากๆ เราประทับใจมากที่สามารถเริ่มรับการชำระเงินได้ในวันเดียวกัน"
หลังจากที่เพิ่มโซลูชันและแพ็กเกจการชำระเงินตามรอบบิล Retool ก็ได้อัปเกรดเป็น Stripe Billing Scale เพื่อดำเนินงานด้านรายรับแบบอัตโนมัติ พร้อมทั้งใช้โซลูชันการเรียกเก็บเงินและการรายงานแบบครบวงจร จากนั้นก็เริ่มใช้ระบบอัตโนมัติกับกระบวนการเรียกเก็บภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนด แต่หลังจากติดตั้งใช้งานซอฟต์แวร์ด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีแบบแยกระบบไปแล้วเกือบ 9 เดือน Retool ก็ล้มเลิกโปรเจ็กต์นี้แล้วหันมาเลือกใช้ Stripe Tax ซึ่งเรียกเก็บภาษีในจำนวนที่ถูกต้องและสร้างรายงานสำหรับยื่นข้อมูลการคืนภาษีได้แบบอัตโนมัติ การที่มีโซลูชันทุกอย่างในแพลตฟอร์ม Stripe ยังช่วยให้ Retool ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาติดขัดโดยไม่จำเป็นจากการดำเนินการด้วยตนเอง
"Stripe มอบประสิทธิภาพให้เรา เนื่องจากทุกอย่างรวมอยู่ในที่เดียว ทั้งการเรียกเก็บเงินตามรอบบิล การออกใบแจ้งหนี้ ข้อมูลการชำระเงิน ตลอดจนยอดที่ค้างชำระ กระบวนการอัตโนมัติด้านภาษี ทำให้เราไม่ต้องเร่งรวบรวมข้อมูลหรือเป็นกังวลเกี่ยวกับกระบวนการด้านข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ของระบบต่างๆ" Franklin กล่าว "Stripe ทำให้เราอุ่นใจได้ว่าจะมีข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับลูกค้า และมีการดำเนินงานที่เป็นมาตรฐาน การรายงานที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีข้อมูลที่แม่นยำครบถ้วน"
นอกจากนี้ Retool ยังให้บริการ Stripe Checkout ซึ่งเป็นหน้าการชำระเงินในระบบแบบสำเร็จรูปที่เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการชำระเงินสำเร็จและติดตั้งใช้งานได้อย่างรวดเร็ว รวมถึง Stripe Payment Element ที่มีชุดส่วนประกอบ UI ที่ครบวงจรสำหรับออกแบบประสบการณ์ที่ปลอดภัยและเหมาะกับผู้ใช้
ผลลัพธ์
หลังจากที่ใช้แพลตฟอร์มแบบสมบูรณ์ของ Stripe แล้ว Retool ก็ใช้เวลาขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ไปพร้อมๆ กับการประหยัดเวลา ทรัพยากร และงานด้านวิศวกรรมของทีมภายในได้ Retool ใช้งาน Stripe มาตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มก่อตั้งบริษัท โดยความยืดหยุ่นและความสามารถในการขยายระบบนั้นช่วยให้ทีมใช้ Stripe ได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา รวมถึงยังสามารถขยายธุรกิจไปทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
การติดตั้งใช้งาน Stripe Tax ภายในหนึ่งเดือนช่วยให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีง่ายขึ้น
Retool เริ่มต้นใช้งานและจัดการการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีการขายบน Stripe ได้ภายในหนึ่งเดือน และได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นด้านการเรียกเก็บและนำส่งภาษีในสหรัฐฯ รวมถึงการจัดการภาษีในท้องถิ่นของภูมิภาคอื่นๆ ด้วย
Franklin กล่าวว่า "โปรเจ็กต์ด้านการติดตั้งใช้งานระบบภาษีการขายของเราค่อนข้างล่าช้ามาก แต่ Stripe Tax พร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้เราดำเนินการเชิงรุกด้านการออกใบแจ้งหนี้ในทุกรัฐของสหรัฐฯ รวมถึงปฏิบัติตามกฎด้านภาษีการขายของแต่ละรัฐได้"
กู้คืนรายรับได้กว่า $630,000 ด้วย Smart Retries
Retool ใช้เครื่องมือ Smart Retries ของ Stripe เพื่อกู้คืนการชำระเงินที่ไม่สำเร็จมาตั้งแต่ปี 2018 และใช้ Stripe เพื่อส่งอีเมลกระตุ้นให้ลูกค้าอัปเดตวิธีการชำระเงินสำหรับรายการที่ล้มเหลว โดยที่ไม่เพิ่มภาระให้กับทีมการเงินและบัญชี
Franklin ระบุว่า “หาก Smart Retries เรียกเก็บเงินไม่สำเร็จ เราก็สามารถดาวน์เกรดลูกค้าและจำกัดสิทธิ์เข้าถึงได้ ซึ่งวิธีนี้ประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก เพราะเราเรียกเก็บเงินสด หรือแจ้งสถานะการชำระเงินให้ลูกค้าทราบได้โดยอัตโนมัติในกรณีที่ดำเนินการไม่สำเร็จ"
ปริมาณการชำระเงินด้วยการโอนผ่านธนาคารเพิ่มขึ้น 3 เท่า เทียบกับการชำระเงินด้วยบัตรแบบเดิม
ตั้งแต่ที่ติดตั้งใช้งาน Stripe Payment Element และ Checkout แล้ว Retool ก็สามารถเปิดตัววิธีการชำระเงินที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าโดยที่ไม่ต้องทำงานเพิ่ม รวมถึงการโอนเงินผ่านธนาคารในสกุลเงิน USD และการหักบัญชีอัตโนมัติแบบ SEPA โดยขณะนี้การโอนเงินผ่านธนาคารของ Retool มีปริมาณมากกว่าการชำระเงินผ่านบัตรแบบเดิมถึง 3 เท่า
แพลตฟอร์มเดียวที่มีครบทั้งการเรียกเก็บเงิน การออกใบแจ้งหนี้ การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี และอื่นๆ อีกมากมาย
Stripe มอบประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายระบบให้แก่ Retool ผ่านการมอบมุมมองด้านลูกค้าที่ครบสมบูรณ์และเชื่อมถึงกันตลอดทั้งกระบวนการการชำระเงิน โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อระบบที่ซับซ้อนหรือการรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเองที่ใช้เวลานาน
Franklin เสริมว่า "เราสามารถเพิ่มลูกค้าเข้ามาใน Stripe ได้ และทุกอย่างก็รวมอยู่ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการเรียกเก็บเงินตามรอบบิลและการชำระเงินตามใบแจ้งหนี้ ไปจนถึงข้อมูลด้านการชำระเงินและยอดค้างชำระ โดยระบบอัตโนมัติของ Stripe ที่ประกอบด้วยการเรียกเก็บเงิน การรายงานภาษี และโซลูชันอื่นๆ ในแพลตฟอร์มเดียวกันนี้ช่วยลดกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเราขยายธุรกิจ และเป็นสิ่งสำคัญต่อการสนับสนุนการเติบโตของ Retool ด้วยการใช้ทีมขนาดเล็ก"
เราใช้งาน Stripe มาตั้งแต่วันแรก เราประมวลผลการชำระเงินรายการแรกบน Stripe และรายการล่าสุดก็ยังอยู่บน Stripe เช่นเคย