การขายหลักสูตรออนไลน์เป็นโอกาสที่น่าสนใจในอิตาลี โดยเฉพาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการสร้างรายได้จากทักษะและบริษัทที่ต้องการขยายโมเดลธุรกิจผ่านการฝึกอบรมดิจิทัล ซึ่งในบทความนี้จะอธิบายวิธีขายหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ รวมถึงโมเดลธุรกิจหลัก ความแตกต่างระหว่างแพลตฟอร์มที่ถือกรรมสิทธิ์เองกับแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม และข้อกำหนดทางกฎหมายในอิตาลี
นอกจากนี้ เรายังจะอธิบายวิธีสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการขายหลักสูตรออนไลน์ของคุณเอง รวมถึงการใช้โซลูชันที่มีให้บริการอยู่แล้ว เพื่อเริ่มธุรกิจนี้อย่างรวดเร็ว และสุดท้าย เราจะพูดคุยเกี่ยวกับผลกระทบทางการคลังและรหัสจำแนกประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (ATECO) ที่ถูกต้องสำหรับการขายหลักสูตรออนไลน์
เนื้อหาหลักในบทความ
- ภาคธุรกิจการฝึกอบรมออนไลน์ในอิตาลี
- โมเดลธุรกิจสำหรับการขายหลักสูตรออนไลน์
- ฉันจะขายหลักสูตรออนไลน์ได้ที่ใดบ้าง
- ภาระผูกพันทางกฎหมายและการคลัง
- วิธีขายหลักสูตรผ่านเว็บไซต์ของคุณเอง
- วิธีขายหลักสูตรบนแพลตฟอร์มการฝึกอบรมออนไลน์
- วิธีโปรโมตธุรกิจการฝึกอบรมออนไลน์
- Stripe Payments ช่วยได้อย่างไร
ภาคธุรกิจการฝึกอบรมออนไลน์ในอิตาลี
ตลาดการฝึกอบรมออนไลน์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วสหภาพยุโรป โดยมีแนวโน้มสูงขึ้นในอิตาลีเช่นกัน จากข้อมูลของ Eurostat ในปี 2024 ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 33% ในสหภาพยุโรปรายงานว่าตนเรียนหลักสูตรออนไลน์หรือใช้สื่อการเรียนรู้ดิจิทัลในช่วง 3 เดือนก่อนทำแบบสำรวจ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปี 2023 และอิตาลีก็ยังคงมีเปอร์เซ็นต์สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของยุโรป ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความสนใจอย่างกว้างขวางในการฝึกอบรมดิจิทัล
สถานการณ์นี้เผยให้เห็นโอกาสที่แท้จริงสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มขายหลักสูตรออนไลน์ ความต้องการมีอยู่แล้ว และเสริมด้วยความต้องการพัฒนาทักษะและเรียนรู้ผ่านเครื่องมือดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่พลเมืองอิตาลี ในบริบทนี้ การสร้างและขายหลักสูตรออนไลน์อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเป็นการลงทุนทางธุรกิจที่มีแนวโน้มดีและยั่งยืน
โมเดลธุรกิจสำหรับการขายหลักสูตรออนไลน์
ก่อนเริ่มขายหลักสูตรออนไลน์ คุณจะต้องกำหนดโมเดลธุรกิจก่อน โดยมีตัวเลือกโมเดลหลักๆ ดังนี้
ขายตรงหลักสูตรแบบออนดีมานด์
โมเดลธุรกิจนี้เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึงหลักสูตรได้แบบไม่จำกัดหรือจำกัดเวลาจากการชำระเงินครั้งเดียว ซึ่งโมเดลนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับหลักสูตรครบสมบูรณ์ที่มีการกำหนดวันเริ่มต้นและสิ้นสุด คุณสามารถสร้างรายได้โดยตรงเมื่อใช้โมเดลนี้ โดยที่ยังคงควบคุมราคาและโปรโมชันได้อย่างเต็มที่โมเดลแบบชำระเงินตามรอบบิล
สำหรับโมเดลนี้ คุณเสนอสิทธิ์เข้าถึงหลักสูตรแบบชำระเงินตามรอบบิล ลูกค้าจะจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นรายเดือนหรือรายปีเพื่อเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมด โมเดลธุรกิจนี้เหมาะอย่างยิ่งหากคุณเผยแพร่หลักสูตรเป็นประจำหรือมีแคตตาล็อกที่หลากหลายและมีขนาดใหญ่โมเดลฟรีเมียม
สำหรับโมเดลนี้ ลูกค้าสามารถเข้าถึงเนื้อหาบางส่วนได้ฟรีและจ่ายเงินสำหรับส่วนที่เหลือ โมเดลนี้มีประโยชน์ในการดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิม โดยยังคงมีโอกาสสร้างรายได้ผ่านเนื้อหาพรีเมียม ประกาศนียบัตร หรือการช่วยเหลือพิเศษเฉพาะบุคคลหลักสูตรแบบถ่ายทอดสด
โมเดลนี้นำเสนอการฝึกอบรมสดผ่าน Zoom หรือแพลตฟอร์มที่คล้ายกัน ซึ่งช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนโต้ตอบกันได้โดยตรง และเหมาะสำหรับหลักสูตรภาคปฏิบัติ การโค้ช หรือเวิร์กช็อปแบบเรียลไทม์โมเดล B2B
โมเดลนี้ขายหลักสูตรออนไลน์ให้กับบริษัทที่มีใบอนุญาตผู้ใช้หลายคน โมเดลนี้เหมาะสำหรับผู้ฝึกสอนมืออาชีพหรือองค์กรที่ต้องการขยายบริการโดยนำเสนอโซลูชันสำหรับการฝึกอบรมภายในองค์กร
ฉันจะขายหลักสูตรออนไลน์ได้ที่ใดบ้าง
สถานที่ขายหลักสูตรออนไลน์คือหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุด ซึ่งคุณมี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ ขายบนแพลตฟอร์มที่ถือกรรมสิทธิ์เอง (เว็บไซต์ของคุณเอง) หรือบนแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม (เช่น Udemy หรือ Coursera) ด้านล่างนี้ เราจะมาสำรวจว่าทั้งสองตัวเลือกแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงข้อดีและข้อเสียด้วย ดังนี้
แพลตฟอร์มที่ถือกรรมสิทธิ์เอง
เมื่อเลือกที่จะสร้างเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มเพื่อขายหลักสูตรออนไลน์เอง คุณก็สามารถควบคุมการสร้างแบรนด์ ลูกค้า ประสบการณ์ ราคา และข้อมูลผู้ใช้ได้โดยสมบูรณ์ แต่ตัวเลือกนี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน
แพลตฟอร์มที่ถือกรรมสิทธิ์เอง
|
ข้อดี |
ข้อเสีย |
|
ปรับแต่งได้ทุกอย่าง: ควบคุมการออกแบบ ฟังก์ชันการทำงาน และประสบการณ์ของลูกค้าได้เต็มที่ |
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นแพง: มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนา โฮสติ้ง และการบำรุงรักษา ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของคุณ |
|
ส่วนต่างกำไรสูงกว่า: ไม่มีค่าคอมมิชชันของบุคคลที่สาม |
ความรับผิดชอบทางกฎหมายสูงกว่า: กฎระเบียบการคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (GDPR), ความปลอดภัย, สัญญา, การออกใบแจ้งหนี้ |
|
ความภักดีของลูกค้า: ควบคุมข้อมูลและความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้าได้มากกว่า |
ต้องมีการจัดการทางเทคนิค: ต้องมีผู้เชี่ยวชาญภายในหรือการสนับสนุนจากภายนอก |
แพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม
คุณสามารถขายหลักสูตรออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Udemy, Teachable, Thinkific, Podia หรือ Skillshare ได้ ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็มีข้อดีและข้อเสียเช่นกัน
|
ข้อดี |
ข้อเสีย |
|
เข้าถึงฐานผู้ชมที่มีอยู่แล้วได้: ลูกค้าบนแพลตฟอร์มสามารถค้นพบหลักสูตรของคุณได้ |
ค่าคอมมิชชันจากการขาย: เก็บเปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่เกิดขึ้น |
|
โครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งาน: ไม่ต้องบริหารจัดการด้านเทคนิคเอง |
ควบคุมข้อมูลได้น้อยกว่า: แพลตฟอร์มเป็นคนจัดการข้อมูลผู้ใช้ |
|
ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ: ไม่ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีเมื่อเริ่มต้น |
ราคาถูกกำหนด: แพลตฟอร์มมักเป็นผู้กำหนดค่าธรรมเนียมหลักสูตร |
การเลือกระหว่างแพลตฟอร์มที่ถือกรรมสิทธิ์เองกับแพลตฟอร์มของบุคคลที่สามขึ้นอยู่กับว่าคุณคิดว่าเรื่องใดสำคัญ หากต้องการควบคุมองค์ประกอบต่างๆ ได้มากกว่า เช่น การสร้างแบรนด์ และต้องการได้ส่วนต่างกำไรสูงกว่า แพลตฟอร์มแบบถือกรรมสิทธิ์เองก็อาจตอบโจทย์กว่า ในทางกลับกัน หากคุณเพิ่งเริ่มและต้องการลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเริ่ม แพลตฟอร์มของบุคคลที่สามก็เป็นช่องทางที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วและใช้งานได้ทันทีสำหรับทดสอบตลาด
ภาระผูกพันทางกฎหมายและการคลัง
การขายหลักสูตรออนไลน์ในอิตาลีมีความรับผิดชอบทางกฎหมายและการคลังที่สำคัญหลายประการ ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษหากธุรกิจดำเนินต่อไปและสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าใจว่ากฎหมายของอิตาลีและยุโรปมีข้อกำหนดใดบ้าง เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามข้อกำหนดและหลีกเลี่ยงบทลงโทษ
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
หากการขายหลักสูตรออนไลน์เป็นแบบครั้งคราวและมีมูลค่าจำกัด ก็อาจถือเป็นการให้บริการครั้งคราวและไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณจัดตั้งธุรกิจตามกฎหมาย คุณจะไม่สามารถขายหลักสูตรออนไลน์โดยไม่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้อีกต่อไปและต้องจดทะเบียน เมื่อคุณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว คุณจะสามารถดำเนินธุรกิจ ออกใบแจ้งหนี้ และเข้าถึงระบบภาษีพิเศษได้อย่างเต็มที่ เช่น ภาษีอัตราคงที่ หากคุณมีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อกำหนด
หากคาดว่าธุรกิจจะเติบโตไม่มาก คุณก็สามารถเริ่มต้นจากการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจที่มีโครงสร้างเป็นระบบมากขึ้น คุณก็สามารถพิจารณาการจัดตั้งองค์กรได้ เช่น การจัดตั้งธุรกิจจำกัดความรับผิด (S.r.l.) แต่ไม่ว่าในกรณีใด ก็ขอแนะนำให้วางแผนกับนักบัญชีและพิจารณาผลประกอบการ ต้นทุน และเงินสมทบประกันสังคม
รหัส ATECO สำหรับหลักสูตรออนไลน์
รหัส ATECO ที่แนะนำสำหรับการขายหลักสูตรออนไลน์คือ 85.59.20: หลักสูตรการฝึกอบรมและหลักสูตรการพัฒนาวิชาชีพ ซึ่งจำแนกประเภทกิจกรรมอีเลิร์นนิงได้อย่างถูกต้อง
เงื่อนไขทั่วไปของการขายออนไลน์
ทุกแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ที่ให้บริการหลักสูตรออนไลน์ต้องกำหนดเงื่อนไขการขายที่ชัดเจนที่สอดคล้องกับกฎหมายของอิตาลีและยุโรป เงื่อนไขทั่วไปของการขายกำหนดสัญญาดิจิทัลสำหรับการขายหลักสูตรออนไลน์ โดยควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อเมื่อใช้เครื่องมือดิจิทัลในการซื้อ
เงื่อนไขดังกล่าวต้องระบุข้อมูลต่อไปนี้ไว้อย่างชัดเจน
ราคาและวิธีการชำระเงิน
วิธีการเข้าถึงเนื้อหา
การจำกัดเวลา
สิทธิในการเพิกถอน (เช่น 14 วัน ยกเว้นเนื้อหาดิจิทัลที่ใช้ไปแล้ว)
นโยบายการคืนเงิน
ความรับผิดชอบของซัพพลายเออร์
ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา
ในขั้นตอนการชำระเงิน ลูกค้าต้องยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งจะมีผลผูกพันอย่างสมบูรณ์
ความเป็นส่วนตัวและ GDPR
การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้านั้นอยู่ภายใต้ GDPR โดยคุณต้องจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน แต่งตั้งผู้ประมวลผลข้อมูลภายนอก (เช่น ผู้ให้บริการโฮสติ้งหรือแพลตฟอร์มการชำระเงิน) และได้รับความยินยอมสำหรับกิจกรรมทางการตลาด นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนด้วย เช่น ข้อมูลประจำตัวสำหรับเข้าสู่ระบบและรายละเอียดการชำระเงิน
ข้อพิจารณาด้านการคลังและภาษีมูลค่าเพิ่ม
จากมุมมองด้านภาษี คุณต้องออกใบแจ้งหนี้ปกติหากขายหลักสูตรออนไลน์ ในส่วนของลูกค้าที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป คุณสามารถพิจารณาแผน One Stop Shop (OSS) สำหรับการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศของลูกค้าได้ ในส่วนของการขายนอกสหภาพยุโรป กฎจะแตกต่างยิ่งขึ้นไปอีก และอาจจำเป็นต้องระบุการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในใบแจ้งหนี้
สิ่งสำคัญคือการปรึกษากับนักบัญชีที่เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซเพื่อจัดการกรณีเหล่านี้อย่างเหมาะสม
ภาระผูกพันอื่นๆ
สุดท้าย หากคุณนำเสนอหลักสูตรวิชาชีพในภาคส่วนที่มีการควบคุม (เช่น ความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน การดูแลสุขภาพ การเงิน) คุณต้องตรวจสอบการอนุญาตจากกระทรวงหรือการรับรองระดับภูมิภาค เพราะการไม่ปฏิบัติตามอาจทำให้ประกาศนียบัตรที่ออกให้เป็นโมฆะ และถูกลงโทษโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วิธีขายหลักสูตรออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของคุณเอง
เมื่อขายหลักสูตรออนไลน์ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยเว็บไซต์แบบง่ายๆ ระบบการชำระเงินที่เชื่อถือได้ และเนื้อหาการฝึกอบรมคุณภาพสูง จากนั้นจึงค่อยๆ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยเครื่องมือขั้นสูงเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความเติบโตให้ธุรกิจ
เริ่มต้น
เมื่อเริ่มต้น คุณต้องมีเว็บไซต์ที่ใช้งานได้ ซึ่งอาจเป็นเพียงเว็บไซต์ WordPress ที่มีธีมพื้นฐาน นอกจากนี้ คุณยังจำเป็นต้องมีปลั๊กอินหรือบริการเพื่ออัปโหลดเนื้อหาการศึกษาและระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยเพื่อจัดการธุรกรรมด้วย องค์ประกอบพื้นฐานนี้ช่วยให้คุณนำเสนอและขายหลักสูตรออนไลน์แบบมีค่าใช้จ่ายได้
เลือกระบบจัดการเนื้อหา (CMS) หรือระบบจัดการการเรียนรู้ (LMS)
ถัดไป คุณสามารถปรับแต่งแพลตฟอร์มได้โดยเลือก CMS เช่น WordPress โดยใช้ปลั๊กอินเฉพาะได้ รวมถึง LearnDash หรือ Tutor LMS โดยปลั๊กอินเหล่านี้สามารถเปลี่ยน WordPress ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มการสอนที่ครบครันซึ่งมีทั้งหลักสูตร บทเรียน และแบบทดสอบ หรือจะใช้ LMS เฉพาะก็ได้ เช่น Moodle หรือ Chamilo โดยระบบเหล่านี้ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการ เผยแพร่ และตรวจสอบหลักสูตรออนไลน์ โดยจะเลือกแบบใดก็ขึ้นอยู่กับระดับการปรับแต่งที่คุณต้องการและงบประมาณที่มี
เลือกโฮสติ้งเพื่อประสิทธิภาพสูงที่มั่นใจได้
เลือกโฮสติ้งประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะหากคุณขายหลักสูตรวิดีโอออนไลน์ หากต้องการเพิ่มความเร็ว ให้พิจารณาใช้เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (CDN) ซึ่งเป็นเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลกซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งเนื้อหาดิจิทัลให้ลูกค้า นอกจากนี้ ให้ตรวจสอบด้วยว่าแพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของคุณและรับมือกับการเข้าชมที่พุ่งสูงขึ้นได้หรือไม่
เพิ่มประกาศนียบัตร แบบทดสอบ และการติดตามความคืบหน้า
ใช้เครื่องมือเพื่อติดตามความคืบหน้า สร้างประกาศนียบัตร และดึงดูดลูกค้าด้วยแบบทดสอบแบบอินเทอร์แอกทีฟ คุณสมบัติเหล่านี้สามารถเพิ่มมูลค่าที่รับรู้และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้
รับรองความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล (เช่น ด้วย GDPR) ใช้การสำรองข้อมูล และใช้ HyperText Transfer Protocol Secure (HTTPS) ซึ่งโปรโตคอลนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการสื่อสารระหว่างเบราว์เซอร์ของลูกค้ากับเซิร์ฟเวอร์จะเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้รับการเข้ารหัส นอกจากนี้ คุณยังควรมีการเข้าถึงที่ปลอดภัยและนโยบายการจัดการคุกกี้ด้วย สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสามารถสร้างความมั่นใจและส่งเสริมความภักดีของลูกค้าได้
วิธีขายหลักสูตรบนแพลตฟอร์มการฝึกอบรมออนไลน์
หากต้องการเริ่มต้นง่ายๆ คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงเพื่อขายหลักสูตรออนไลน์พร้อมใช้งานได้ แพลตฟอร์มยอดนิยมเหล่านี้รวมถึง
Udemy: แพลตฟอร์มนี้มีฐานผู้ใช้งานกว้างและมีชื่อเสียงอยู่แล้วในหมู่ผู้ชมต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มสามารถปรับราคาหลักสูตรได้ตามนโยบาย พลังของมาร์เก็ตเพลสทำให้แพลตฟอร์มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเข้าถึงฐานผู้ชมอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง แม้แต่ในระดับสากล
Teachable: คุณสามารถทำการปรับแต่งได้พอสมควรในแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเหมาะกับครีเอเตอร์อิสระ โดยสามารถปรับแต่งหน้าการขายและนำเครื่องมือทางการตลาดมาผสานการทำงานได้
Thinkific: แพลตฟอร์มนี้มอบความสมดุลระหว่างฟังก์ชันการทำงานกับราคา คุณสามารถเสนอหลักสูตรฟรีหรือหลักสูตรแบบมีค่าใช้จ่ายและสร้างชุมชนผู้ใช้ได้
Podia: แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้คุณจัดการการเป็นสมาชิกและการสัมมนาผ่านเว็บได้ง่ายขึ้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเสนอการฝึกอบรมที่ต่อเนื่องและหลากหลาย
Skillshare: บนแพลตฟอร์มนี้ คุณสามารถใช้การจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนการรับชมและการสมัครสมาชิกได้ ซึ่งโมเดลนี้โฟกัสไปที่ชุมชนและการแบ่งปันอย่างสร้างสรรค์
แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้คุณสร้างและขายหลักสูตรออนไลน์โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับแง่มุมด้านเทคนิคของโฮสติ้งหรือความปลอดภัย หากคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาประจำ คุณต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเลือกรหัส ATECO ที่ถูกต้องสำหรับการขายหลักสูตรออนไลน์
นอกจากนี้ หลายแพลตฟอร์มยังมีเครื่องมือในการโปรโมตและขายหลักสูตรออนไลน์ด้วย รวมถึงคูปอง แลนดิ้งเพจ และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามประสิทธิภาพ เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยให้ปรับแต่งกลยุทธ์ทางการตลาดและปรับปรุงการนำเสนอหลักสูตรได้
ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังสามารถขายหลักสูตรออนไลน์ในตลาดเฉพาะหรือชุมชนเฉพาะกลุ่มได้ด้วย โดยขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของคุณ ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถเข้าถึงผู้ชมที่สนใจหัวข้อของคุณอยู่แล้วและอาจเพิ่มคอนเวอร์ชันได้
เมื่อตัดสินใจว่าตัวเลือกใดเหมาะกับธุรกิจ ให้มองว่าแพลตฟอร์มของบุคคลที่สามเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการทดสอบข้อเสนอหลักสูตรและเริ่มสร้างรายได้ก้อนแรก จากนั้น คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าต้องการย้ายไปใช้โซลูชันแบบถือกรรมสิทธิ์เองที่ปรับแต่งได้มากขึ้นในอนาคตหรือไม่
วิธีโปรโมตธุรกิจการฝึกอบรมออนไลน์
การสร้างและขายหลักสูตรออนไลน์เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการโปรโมตธุรกิจการฝึกอบรมออนไลน์ หากต้องการดึงดูดลูกค้าและสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ คุณควรมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่เจาะจง โดยเฉพาะหากเลือกที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มที่ถือกรรมสิทธิ์เอง ในกรณีนี้ ก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะดึงดูดผู้ชม สร้างชื่อเสียงบนโลกดิจิทัล และกระตุ้นความต้องการของหลักสูตรอย่างไร
ในทางกลับกัน หากใช้แพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม การมองเห็นส่วนใหญ่จะมาจากมาร์เก็ตเพลสดังกล่าวโดยตรง แพลตฟอร์มจัดการการโปรโมตและการวางตำแหน่งหลักสูตรให้ คุณจึงมีบทบาทที่จำกัดมากกว่าในด้านการตลาด
กลยุทธ์ส่งเสริมการขายสำหรับเว็บไซต์ที่ถือกรรมสิทธิ์เองมีหลายวิธี ได้แก่
การตลาดเนื้อหา: คุณสามารถดึงดูดผู้เข้าชมที่เหมาะสมและสร้างความน่าเชื่อถือได้ด้วยการเผยแพร่บทความ คู่มือ วิดีโอ และพอดแคสต์ที่เน้นไปที่ความเชี่ยวชาญของคุณ
การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO): วิธีนี้ใช้ข้อความ ชื่อ และคีย์เวิร์ดเพื่อช่วยให้เนื้อหาของคุณมีอันดับสูงขึ้นในเครื่องมือค้นหา วิธีนี้เพิ่มการมองเห็นแบบออร์แกนิกได้
แคมเปญโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย: Google Ads และการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงแรก
การตลาดผ่านอีเมล: การสร้างรายชื่อผู้ติดต่อที่สนใจหลักสูตรช่วยให้คุณเสนอข้อเสนอสำหรับคนเหล่านี้และรักษาลูกค้าที่มีอยู่ได้
โซเชียลมีเดียและการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล: การสร้างและโพสต์เนื้อหาที่มีประโยชน์ การรับรองจากผู้ใช้ และการร่วมงานอย่างสม่ำเสมอบน LinkedIn, Instagram, YouTube หรือ TikTok ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้
การสัมมนาผ่านเว็บและกิจกรรมออนไลน์: คุณสามารถเสนอเซสชันฟรีหรือเซสชันแนะนำหลักสูตรที่แสดงประโยชน์ของหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ ซึ่งอาจช่วยดึงดูดสมาชิกใหม่ได้
Stripe Payments ช่วยได้อย่างไร
Stripe Payments มอบโซลูชันการชำระเงินระดับโลกแบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจใดๆ ตั้งแต่สตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตไปจนถึงองค์กรระดับโลกรับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกได้
Stripe Payments สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์การชำระเงินของคุณ: สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าและประหยัดเวลาในการทำงานวิศวกรรมได้หลายพันชั่วโมงด้วย UI การชำระเงินที่สร้างไว้ให้แล้ว, สิทธิ์เข้าถึงวิธีการชำระเงินมากกว่า 125 วิธี และ Link ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่สร้างโดย Stripe
- ขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น: เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกและลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายสกุลเงินด้วยตัวเลือกการชำระเงินข้ามพรมแดนที่มีให้บริการใน 195 ประเทศในมากกว่า 135 สกุลเงิน
- รวมการชำระเงินที่จุดขายและทางออนไลน์ไว้ด้วยกัน: สร้างประสบการณ์การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมในช่องทางออนไลน์และที่จุดขายเพื่อปรับแต่งการโต้ตอบ ตอบแทนความภักดี และเพิ่มรายรับ
- ปรับปรุงประสิทธิภาพการชำระเงิน: เพิ่มรายรับด้วยเครื่องมือการชำระเงินที่กำหนดเองได้และปรับแต่งได้ง่ายๆ ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบไม่ต้องเขียนโค้ดและฟังก์ชันขั้นสูงเพื่อเพิ่มอัตราการอนุมัติ
- เดินหน้าได้เร็วขึ้นด้วยแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและเชื่อถือได้เพื่อการเติบโต: สร้างบนแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อขยับขยายไปพร้อมกับคุณ โดยมีระยะเวลาให้บริการที่แทบจะไม่หยุดทำงานเลย และมีความน่าเชื่อถือระดับแนวหน้าของวงการ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Stripe Payments ช่วยให้คุณสามารถรับการชำระเงินออนไลน์และการชำระเงินที่จุดขายได้อย่างไร หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ