ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานปกครองของรัฐและส่วนท้องถิ่นจะกำหนดกฎหมายว่าด้วยภาษีการขายและภาษีโภคภัณฑ์จากสินค้าและบริการเป็นของตัวเอง ภาษีทางอ้อมจะไม่มีมาตรฐานของรัฐบาลกลาง และกฎระเบียบที่มีอยู่หลายแบบทั่วประเทศนี้เองก็ทำให้เกิดระบบข้อบังคับในการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป
ในการขายบนมาร์เก็ตเพลส (ซึ่งมักจะมีผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ฝ่าย ได้แก่ มาร์เก็ตเพลส ผู้ขาย และผู้ซื้อ) การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีจะซับซ้อนขึ้น เช่น ในปี 2017 เจ้าหน้าที่ของรัฐเซาท์แคโรไลนาพบว่า แม้ Amazon จะเก็บและนำส่งภาษีการขายสำหรับสินค้าของตน แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นเดียวกันนี้กับสินค้าที่ธุรกิจของบริษัทอื่นนำมาขายบนแพลตฟอร์มของตน เมื่ออีคอมเมิร์ซได้รับความนิยมมากขึ้นและมาร์เก็ตเพลสเป็นที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ หน่วยงานปกครองของรัฐหลายๆ แห่งจึงเริ่มร่างกฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสขึ้นมา ซึ่งผู้กำกับดูแลก็จะต้องตัดสินใจเลือกผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบระหว่างมาร์เก็ตเพลสกับผู้ขาย
บางรัฐในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้เรียกเก็บภาษีการขาย แต่รัฐที่เรียกเก็บภาษีการขายมักจะกำหนดให้มาร์เก็ตเพลสมีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บและนำส่งภาษีการขายหรือภาษีโภคภัณฑ์ให้แก่รัฐ โดยกฎหมายเหล่านี้อยู่ในขั้นตอนการบังคับใช้ที่แตกต่างกันไป และคดีความที่ดำเนินอยู่ในศาลก็คอยหาช่องโหว่จากกฎระเบียบต่างๆ อยู่ตลอด ผู้ขายและมาร์เก็ตเพลสจึงต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ
ในคู่มือนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาระหน้าที่ทางภาษีของมาร์เก็ตเพลสในสหรัฐอเมริกา รวมถึงวิธีปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ โดยเราจะพูดถึงคำจำกัดความตามกฎหมายสำหรับคำศัพท์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ประเภทธุรกรรมที่เกิดขึ้นกับมาร์เก็ตเพลสและผู้ขาย ขอบเขตของภาระหน้าที่และความรับผิดในการเก็บภาษี ตลอดจนข้อแตกต่างระหว่างรัฐ
การระบุคำจำกัดความของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาระด้านภาษีในมาร์เก็ตเพลสเริ่มจากการระบุคำจำกัดความของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติใช้ในการร่างกฎระเบียบใหม่ๆ แม้ว่าแต่ละรัฐจะมีจุดที่ไม่ตรงกันและความแตกต่างกันไปบ้าง แต่ด้านล่างนี้คือรายละเอียดของคำจำกัดความที่ใช้กันโดยทั่วไป ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตามข้อกำหนดได้
มาร์เก็ตเพลส
มาร์เก็ตเพลส คือ สถานที่จริงหรือแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสใช้ขายหรือเสนอขายทรัพย์สินส่วนบุคคลที่จับต้องได้ บริการที่ต้องเสียภาษี หรือสินค้าดิจิทัล
ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส
ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส คือ ธุรกิจหรือองค์กรที่ทำสัญญากับบุคคลที่สามเพื่อขายสินค้าและบริการบนสถานที่จริงหรือแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ใช้บริการจะคอยอำนวยความสะดวกในการขายปลีกโดยการลงรายการสินค้าและบริการ รับการชำระเงิน เก็บรวบรวมใบเสร็จ รวมถึงช่วยในเรื่องการจัดส่ง (ในบางกรณี)
มาร์เก็ตเพลสมีความหลากหลายพร้อมรองรับความนิยม โดยมาร์เก็ตเพลสช่วยให้ลูกค้ามีสถานที่ไว้ซื้อสินค้าขายปลีก การจัดส่งอาหาร ตั๋วคอนเสิร์ต และการเรียกรถ หรือจะช่วยส่งเสริมคนทำอาชีพเสริมที่ให้บริการต่างๆ ก็ได้ ตั้งแต่การออกแบบกราฟิกไปจนถึงการบำรุงรักษา
แต่ละรัฐก็มีคำจำกัดความของผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสแตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งใจให้คำจำกัดความที่ครอบคลุม โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะครอบคลุมแพลตฟอร์มต่างๆ ในวงกว้าง แต่ข้อแตกต่างของคำจำกัดความนี้จะแตกต่างกันไปตามกฎหมายภาษีของรัฐ
โดยทั่วไปแล้ว กฎหมายภาษีของรัฐจะกำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสทุกรายต้องทำกิจกรรมเหล่านี้อย่างน้อย 1 อย่าง
- การส่งหรือแจ้งข้อเสนอหรือการตอบรับระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส
- การเป็นเจ้าของหรือดูแลจัดการโครงสร้างพื้นฐาน (แบบอิเล็กทรอนิกส์หรือจับต้องได้) หรือเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสให้มาพบกัน
- การลงรายการสินค้าเพื่อขาย
- การให้บริการดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือการจัดเก็บ
- การตั้งราคา
- การรับคำสั่งซื้อ
- การลงโฆษณาหรือโปรโมตสินค้าของผู้ขาย
- การให้บริการลูกค้า หรือการรับหรือช่วยเหลือในการคืนหรือการเปลี่ยนสินค้า
เนื่องจากไม่มีคำจำกัดความระดับประเทศ แพลตฟอร์มจึงอาจถือเป็นผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในรัฐหนึ่งแต่ไม่เป็นในอีกรัฐหนึ่งได้ เช่น บางรัฐจะรวม "การประมวลผลการชำระเงิน" ไว้ในคำจำกัดความของผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส ส่วนรัฐอื่นๆ กำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่ประมวลผลการชำระเงินจะต้องจัดการบริการอื่นๆ ด้วย เช่น การดำเนินการตามคำสั่งซื้อ การสร้างแบรนด์ หรือการโฆษณา
ในรัฐฟลอริดา ธุรกิจจะต้องเก็บเงินจากลูกค้าจึงจะเข้าข่ายถือเป็นผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส โดยกฎระเบียบในปัจจุบันกำหนดว่า ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่ไม่เรียกเก็บเงินจะไม่ถือเป็นผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในรัฐฟลอริดา แม้จะถือเป็นผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในรัฐนอร์ทแคโรไลนาก็ตาม เราขอแนะนำให้คุณติดต่อที่ปรึกษาด้านภาษีเพื่อดูว่าธุรกิจของคุณเป็นผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสหรือไม่
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส คือ บุคคลหรือธุรกิจ (ที่ไม่เกี่ยวข้องกับให้บริการมาร์เก็ตเพลส) ซึ่งมีข้อตกลงกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในการขายทรัพย์สินส่วนบุคคลที่จับต้องได้ บริการที่ต้องเสียภาษี หรือสินค้าดิจิทัลผ่านมาร์เก็ตเพลสที่เป็นของ ดูแลจัดการโดย หรือควบคุมโดยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส แม้ว่าผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสจะไม่ต้องลงทะเบียนเพื่อวัตถุประสงค์ด้านภาษีการขาย แต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสให้บริการสินค้าและบริการต่างๆ มากมายผ่านช่องทางทั้งแบบธุรกิจถึงผู้บริโภค (B2C) และแบบธุรกิจถึงธุรกิจ (B2B) ตั้งแต่ทรัพย์สินส่วนบุคคลและสินค้าที่จับต้องได้ ไปจนถึงบริการที่ต้องเสียภาษี เช่น บริการดูแลเด็กเล็ก ที่จอดรถ และการออกแบบเว็บไซต์ และสินค้าดิจิทัล เช่น วิดีโอเกมแบบสตรีม หนังสือดิจิทัล และการให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS)
ข้อมูลเกี่ยวกับภาษีสำหรับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส
การจดทะเบียนภาษีการขายสำหรับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส
ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสจะต้องจดทะเบียนภาษีการขายเมื่อจัดอยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่งจาก 2 ประเภท หากผู้ให้บริการมีความเชื่อมโยงทางกายภาพในรัฐ ก็จะต้องจดทะเบียนกับรัฐนั้นๆ ไม่ว่าจะมียอดขายแค่ไหนก็ตาม ความเชื่อมโยงทางกายภาพ คือ การที่ผู้ให้บริการมีสถานที่ตั้งเป็นหลักแหล่งในรัฐนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบสำนักงาน คลังสินค้า พนักงานหรือตัวแทนที่ทำงานในท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งสินค้าคงคลังที่จัดเก็บอยู่กับบริษัทโลจิสติกส์จากภายนอกหรือมีการฝากขาย
แม้ว่าผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสจะไม่ตรงตามข้อกำหนดใดๆ เหล่านั้น แต่ก็ยังมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจหากช่วยขายในนามของผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสตั้งแต่ 1 รายขึ้นไป หรือขายทรัพย์สินส่วนบุคคลที่จับต้องได้ในรัฐนั้นๆ ถ่ายโอนผลิตภัณฑ์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือเสนอบริการระยะไกลที่เกินเกณฑ์ทางการเงินหรือธุรกรรมที่กำหนดไว้ แม้ว่าเกณฑ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ แต่รัฐส่วนใหญ่จะกำหนดเกณฑ์ไว้ที่ 200 ธุรกรรมแยกจากกัน หรือยอดขาย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากต้องการดูว่าผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสถึงเกณฑ์ธุรกรรมแล้วหรือไม่ ผู้ให้บริการก็จะต้องติดตามและรวมยอดขายโดยตรงเข้ากับยอดขายที่เกิดขึ้นผ่านผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส
ประเภทของธุรกรรมในมาร์เก็ตเพลส
หากแพลตฟอร์มออนไลน์ตรงตามคำจำกัดความที่รัฐกำหนดไว้สำหรับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสและเป็นไปตามข้อกำหนดในการจดทะเบียนในท้องถิ่น แพลตฟอร์มนั้นๆ ก็จะมีภาระหน้าที่ในการเก็บภาษีสำหรับการขายทรัพย์สินส่วนบุคคลที่จับต้องได้ สินค้าดิจิทัล และบริการต่างๆ ที่ต้องเสียภาษีซึ่งดำเนินการผ่านแพลตฟอร์ม บางรัฐยังมีข้อยกเว้นให้ธุรกรรมบางอย่างที่ดำเนินการโดยแพลตฟอร์มการเช่าระยะสั้น บริการเรียกรถ และแพลตฟอร์มจัดส่งอาหารด้วย เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียจะไม่รวมบริการจัดส่งอาหารและแพลตฟอร์มรถให้เช่า
สินค้าและบริการ
เมื่อผู้คนนึกถึงมาร์เก็ตเพลส ก็อาจนึกถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงเสื้อผ้าและหนังสือ แต่มาร์เก็ตเพลสยังมีไว้สำหรับอุตสาหกรรมแบบ B2B และภาคบริการเฉพาะกลุ่มด้วย เช่น อีเลิร์นนิง ตัวอย่างเช่น Thinkific, Kajabi, Teachable และ Udemy ล้วนช่วยเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์และนักการศึกษาออนไลน์สามารถเข้าถึงลูกค้าในสหรัฐอเมริกาได้ผ่านมาร์เก็ตเพลสของตน ในกรณีที่เป็นสินค้าและบริการ กฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสก็จะมีผลบังคับใช้ และครีเอเตอร์จะไม่ต้องรับผิดในการเก็บและนำส่งภาษีการขาย
แพลตฟอร์มการเช่า
หลายรัฐจะรวมแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Airbnb และ Vrbo ไว้ในขอบเขตของกฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส แม้ว่าบางรัฐ (เช่น แคลิฟอร์เนียและเนวาดา) จะนับที่พักระยะสั้นเป็นบริการที่ไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้ รัฐต่างๆ ยังจำแนกธุรกรรมบางประเภทแตกต่างกันและมีคำจำกัดความและการใช้งานที่ไม่สอดคล้องกันอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น ในรัฐแคนซัส คำจำกัดความของ "ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส" จะไม่รวมแพลตฟอร์มที่ให้บริการเช่าห้องพักโรงแรม แต่รัฐแคนซัสจัดว่าธุรกิจที่ให้บริการเช่าห้องพักที่ไม่ใช่ห้องพักโรงแรมเป็นผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส ส่วนรัฐวอชิงตันไม่ได้ระบุให้แพลตฟอร์มรวมอยู่ในคำจำกัดความของผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส หากแพลตฟอร์มเปิดให้ลูกค้าจองโรงแรมหรือสถานที่คล้ายๆ กันได้ไม่ถึง 30 วัน และบางรัฐก็ไม่ได้ระบุว่าภาระหน้าที่ในการเก็บภาษีของมาร์เก็ตเพลสจะมีผลกับมาร์เก็ตเพลสการเช่าทั้งหมดหรือไม่
สุดท้าย แพลตฟอร์มการเช่าอาจมีภาระหน้าที่ในการเก็บและนำส่งภาษีที่ขยายขอบเขตมากกว่าแค่ภาษีการขาย โดยครอบคลุมถึงภาษีห้องพักและการเช่าของรัฐและท้องถิ่นเพิ่มเติมสำหรับยอดขายจากที่พักและรถให้เช่า
แพลตฟอร์มเรียกรถ
แพลตฟอร์มเรียกรถ เช่น Uber และ Lyft มีเครือข่ายการขนส่งที่ให้บริการและจัดเตรียมการเดินทาง โดยในหลายรัฐ ฝ่ายนิติบัญญัติยังไม่ได้กล่าวถึงนัยทางภาษีการขายของโมเดลการจัดหาแบบ "ระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน" เนื่องจากรัฐส่วนใหญ่ไม่ได้เก็บภาษีการขายโดยตรงกับบริการเรียกรถ
แพลตฟอร์มจัดส่งอาหาร
แพลตฟอร์มจัดส่งอาหาร (เช่น Uber Eats, DoorDash และ Grubhub) คล้ายกับแพลตฟอร์มเรียกรถตรงที่ให้บริการสั่งซื้อหรือจัดส่งโดยบริการของบุคคลที่สาม มีรัฐต่างๆ มากกว่า 15 รัฐที่ยังไม่ได้วางแนวทางเกี่ยวกับภาระหน้าที่ในการเก็บและนำส่งภาษีสำหรับแพลตฟอร์มประเภทเหล่านี้
รัฐอาจเก็บภาษีจากค่าจัดส่งด้วย ไม่ว่ารัฐจะเก็บภาษีจากการสั่งซื้ออาหารหรือไม่ก็ตาม และแม้ว่าแนวทางของแต่ละรัฐจะไม่ชัดเจน แต่แพลตฟอร์มจัดส่งอาหารหลายแห่งก็เลือกที่จะเก็บภาษีการขายในฐานะผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความรับผิด
นอกเหนือจากภาษีการขายและภาษีโภคภัณฑ์
แม้ว่าภาษีการขายและภาษีโภคภัณฑ์ของรัฐจะเป็นภาษีที่พบบ่อยที่สุดในขอบเขตของกฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส แต่ก็ไม่ใช่ภาษีเพียงประเภทเดียวที่เกี่ยวข้อง เมื่อมาร์เก็ตเพลสเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น หลายๆ รัฐและเทศบาลท้องถิ่นก็ได้ขยายข้อกำหนดในการเก็บและนำส่งภาษีสำหรับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสให้ครอบคลุมมากกว่าแค่ภาษีการขาย
ตัวอย่างบางส่วนมีดังนี้
- กฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสของรัฐเวสต์เวอร์จิเนียมีผลบังคับใช้กับภาษีการเข้าพักโรงแรม (Hotel occupancy tax) เมื่อมาร์เก็ตเพลสเก็บภาษีการเข้าพักโรงแรม ก็จะต้องนำส่งภาษีดังกล่าวให้กับเคาน์ตีและเทศบาลโดยตรง เนื่องจากหน่วยงานด้านภาษีของรัฐไม่ได้ดูแลจัดการขั้นตอนนั้น
- รัฐนอร์ทแคโรไลนากำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องเก็บและนำส่งภาษีการกำจัดเศษยาง (Scrap tire disposal tax) ภาษีการกำจัดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ (White goods disposal tax) ภาษีสารละลายซักแห้ง (Dry cleaning solvent tax) และค่าบริการ 911 สำหรับบริการโทรคมนาคมไร้สายแบบเติมเงิน
- ในรัฐวิสคอนซิน แพลตฟอร์มที่ขายที่พักทุกประเภท (โรงแรมและที่พักให้เช่าระยะสั้น) อาจต้องชำระภาษีที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ภาษีพื้นที่รีสอร์ตชั้นนำ (Premier resort area tax) ภาษีงานจัดแสดงในท้องถิ่น (Local exposition tax) และภาษีห้องพักระดับเทศบาล (Municipal room tax)
- รัฐนิวแฮมป์เชียร์อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่รัฐที่ไม่มีภาษีการขายและภาษีโภคภัณฑ์ทั่วไป แต่กำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องเก็บภาษีอื่นๆ จากอาหาร ที่พัก และรถให้เช่า
ภาระหน้าที่ในการเรียกเก็บภาษีโดยสมัครใจ
มาร์เก็ตเพลสหลายแห่งกำลังทำข้อตกลงกับรัฐต่างๆ เพื่อเก็บภาษีการขายโดยสมัครใจ เนื่องจากรัฐต่างๆ เริ่มขยายคำจำกัดความของมาร์เก็ตเพลสกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้ภาระด้านภาษีเพิ่มขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตอนนี้เลย แทนที่จะรอให้มีกฎหมายใหม่ออกมา เช่น Airbnb จะเก็บภาษีในรัฐโอคลาโฮมาและเพนซิลเวเนีย แม้ว่าโดยปกติแล้วจะไม่มีภาระหน้าที่ให้ต้องทำเช่นนั้นก็ตาม
ข้อกำหนดในการรายงานภาษี
รัฐส่วนใหญ่กำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีการขายเพียงอย่างเดียว โดยรายงานทั้งยอดขายที่เกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มจากผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสและยอดขายแยกต่างหากของผู้ให้บริการเอง แต่บางรัฐ เช่น จอร์เจียและเทนเนสซี กำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องรายงานยอดขายของตนผ่านบัญชีหรือแบบแสดงรายการภาษีการขายแยกต่างหาก ส่วนรัฐนอร์ทแคโรไลนาอนุญาต (แต่ไม่ได้บังคับ) ให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสยื่นแบบแสดงรายการแยกต่างหากสำหรับยอดขายที่เกิดขึ้นจากมาร์เก็ตเพลส โดยธุรกิจนั้นจะต้องลงทะเบียนหมายเลขประจำบัญชีภาษีการขายและภาษีโภคภัณฑ์แยกต่างหาก
บางครั้ง ข้อกำหนดในการรายงานก็ขยายครอบคลุมมากกว่าแค่การสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและท้องถิ่น เช่น รัฐเท็กซัส คอนเนตทิคัต และวิสคอนซินล้วนกำหนดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสต้องแจ้งให้ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสทราบว่าตนจะเก็บและนำส่งภาษีการขายในนามของผู้ขายเพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่ผิดพลาด
ความรับผิดในกรณีที่คำนวณภาษีไม่ถูกต้อง
ความรับผิดเป็นข้อกังวลที่สำคัญอย่างหนึ่งของผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในช่วงที่ขยายการรองรับและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ โดยหลายรัฐกำหนดไม่ให้ผู้ซื้อฟ้องคดีในนามกลุ่มบุคคลต่อผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส ในกรณีที่กล่าวหามีการเก็บภาษีการขายหรือภาษีโภคภัณฑ์เกินจำนวน เพื่อช่วยปกป้องจากความรับผิดบางส่วน และในบางรัฐ ความรับผิดต่อภาษีที่ไม่ได้เก็บและนำส่งจะกลับไปตกอยู่กับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส หากผู้ขายไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องซึ่งจะช่วยให้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสและภาระหน้าที่ทางภาษี
การจดทะเบียนภาษีและการรายงานสำหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลส
ทุกรัฐที่มีภาษีการขายหรือภาษีโภคภัณฑ์จะมีเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอยู่ ซึ่งกำหนดให้ผู้ขายนอกรัฐต้องจดทะเบียนกับรัฐเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี ส่วนรัฐที่ไม่มีภาษีการขายก็ไม่ได้กำหนดให้ต้องจดทะเบียน เว้นแต่เทศบาลของตนจะเก็บภาษีการขาย (รัฐอะแลสกา) หรือเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมประเภทอื่น (รัฐนิวแฮมป์เชียร์) รัฐจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งแยกยอดขายในมาร์เก็ตเพลสออกจากเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ เช่น แอละแบมา แอริโซนา อินดิแอนา และเพนซิลเวเนีย
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสไม่จำเป็นต้องรายงานยอดขายขั้นต้นของตนที่ได้จากผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส (ในกรณีที่ผู้ให้บริการนำส่งภาษีการขายที่เกี่ยวข้อง) เว้นแต่จะมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสมักจะต้องจดทะเบียนเมื่อไปปรากฏตัวอยู่ในรัฐหนึ่งๆ เพราะความเชื่อมโยงอาจเกิดขึ้นได้เมื่อมีการปรากฏตัวหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้างในกรณีที่ยอดขายทั้งหมดเกิดขึ้นผ่านผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส
รายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการจดทะเบียนภาษีสำหรับผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสมีดังนี้
|
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสนอกรัฐที่มียอดขายที่ไม่ได้มาจากมาร์เก็ตเพลส |
ให้จดทะเบียนเมื่อเข้าเกณฑ์การมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในแต่ละรัฐ บางรัฐจะคำนวณเกณฑ์ โดยรวมยอดขายในมาร์เก็ตเพลสในขณะที่รัฐอื่นๆ จะคำนวณโดยไม่รวมยอดขายในมาร์เก็ตเพลส |
|
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสนอกรัฐที่มีเฉพาะยอดขายในมาร์เก็ตเพลส |
รัฐประมาณครึ่งหนึ่งกำหนดให้ต้องจดทะเบียนเมื่อธุรกิจมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ (โดยรวมยอดขายในมาร์เก็ตเพลส) ในขณะที่รัฐอื่นๆ ไม่ได้กำหนดให้ต้องจดทะเบียนเลย (เกณฑ์ที่คำนวณโดยไม่รวมยอดขายในมาร์เก็ตเพลส) |
|
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสในรัฐที่มียอดขายที่ไม่ได้มาจากมาร์เก็ตเพลส |
ต้องลงทะเบียนในรัฐที่มีภาษีการขาย (ไม่มีการใช้เกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ)* |
|
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสในรัฐที่มีเฉพาะยอดขายในมาร์เก็ตเพลส |
ต้องลงทะเบียนในรัฐที่มีภาษีการขาย (ไม่มีการใช้เกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ)* |
*แม้ว่ารัฐนิวแฮมป์เชียร์จะไม่เก็บภาษีการขาย แต่ก็กำหนดให้ต้องจดทะเบียนภาษีและค่าธรรมเนียมประเภทอื่นๆ สำหรับบางอุตสาหกรรม ส่วนรัฐอะแลสกาไม่เก็บภาษีการขาย แต่เทศบาลหลายแห่งเก็บภาษีนี้และกำหนดให้ต้องจดทะเบียน
ข้อกำหนดในการจดทะเบียนยังเป็นตัวบ่งชี้ข้อกำหนดในการรายงานและแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐด้วย ตัวอย่างเช่น หากกฎหมายของรัฐกำหนดให้ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสต้องจดทะเบียน ก็จะกำหนดให้ผู้ขายต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีด้วย แต่ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสบางรายที่ขายผ่านผู้ให้บริการอย่างเดียวจะมีสิทธิ์ได้รับการรายงานแบบง่าย เช่น การยื่นแบบประจำปี
ภาระหน้าที่ในการเก็บภาษี
ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสไม่ได้มีภาระหน้าที่ในการเก็บภาษีการขายเมื่อขายผ่านผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในทุกรัฐยกเว้นฮาวาย โดยผู้ขายจะต้องชำระเพียงภาษีสรรพสามิตทั่วไปในการขายส่งสำหรับลูกค้าในฮาวายเท่านั้น
แต่ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสอาจต้องแสดงให้เห็นว่า ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสกำลังเก็บและนำส่งภาษีการขายสำหรับธุรกรรมของตน เช่น รัฐโคโลราโดกำหนดให้ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสต้องลงนามในสัญญากับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส ซึ่งผู้ให้บริการจะต้องเก็บภาษีที่เกี่ยวข้อง ส่วนผู้ขายจะต้องส่ง "หนังสือรับรองหลักฐาน" สำหรับสัญญาในรัฐโคโลราโด รวมถึงในแอละแบมา คอนเนตทิคัต ฟลอริดา และนิวยอร์ก
ในหลายรัฐ ภาระหน้าที่ในการเก็บและนำส่งภาษีการขายอาจกลับไปตกอยู่กับผู้ขายได้ในกรณีที่ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสไม่สามารถเก็บภาษีได้เนื่องจากข้อมูลจากผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสนั้นไม่เพียงพอหรือไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น หากผู้ขายติดฉลากสินค้าผิดไปว่าอยู่ในหมวดหมู่หนึ่งหรือเป็นสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษี และผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสก็ไม่ได้เก็บภาษีนั้น ผู้ขายก็อาจต้องรับผิดต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น
ขณะเดียวกัน บางรัฐ (เช่น โอไฮโอและวิสคอนซิน) ก็มีบทบัญญัติว่าด้วย "การไม่รับภาระหน้าที่" (opt-out) ที่อนุญาตให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสและผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสทำข้อตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบในการเก็บและนำส่งภาษีการขาย
ข้อแตกต่างระหว่างรัฐสำหรับภาษีมาร์เก็ตเพลส
มีอยู่ 6 รัฐที่มีข้อยกเว้นอย่างเห็นได้ชัดสำหรับกฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส และมี 1 รัฐที่กำลังออกข้อกฎหมายใหม่ ณ เดือนพฤศจิกายนปี 2025 ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดในท้องถิ่นที่ควรทราบสำหรับมาร์เก็ตเพลสต่างๆ มีดังนี้
รัฐแอละแบมา: รัฐแอละแบมาเปิดให้ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสเลือกได้ว่าจะเก็บและนำส่งภาษีโภคภัณฑ์ของผู้ขายแบบง่ายในอัตรา 8% ในนามของผู้ขาย หรือจะปฏิบัติตามข้อกำหนดในการรายงานและการแจ้งให้ลูกค้าทราบสำหรับยอดขายที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของตน
รัฐอะแลสกา: แม้ว่ารัฐอะแลสกาจะไม่เก็บภาษีการขายหรือภาษีโภคภัณฑ์ของรัฐ แต่หน่วยงานปกครองระดับเทศบาลหลายแห่งก็ได้จัดตั้งคณะกรรมการส่วนกลางที่เรียกว่า ARSSTC ขึ้นมาเพื่อเก็บภาษีจากผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส
รัฐโคโลราโด: ในเขตอำนาจศาลแบบปกครองตนเองนั้น เมืองที่มีการปกครองตนเองของรัฐโคโลราโดจะออกกฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้นำกฎหมายเกี่ยวกับมาร์เก็ตเพลสมาใช้แล้ว
รัฐฮาวาย: ยอดขายในมาร์เก็ตเพลสในรัฐฮาวายมักจะต้องเสียภาษีทั้งในอัตราค้าปลีกมาตรฐานและอัตราขายส่งแบบลดหย่อน แม้ว่าบริการและทรัพย์สินส่วนบุคคลที่จับต้องได้จะต้องเสียภาษีในอัตราขายส่ง แต่ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้จะไม่ต้องเสียภาษีในอัตราดังกล่าว ทั้งนี้ หน้าที่รับผิดชอบในการนำส่งภาษีในอัตราขายส่งจะขึ้นอยู่กับว่าผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสได้จดทะเบียนในรัฐฮาวายหรือไม่
รัฐลุยเซียนา: ในปี 2023 กฎหมายของรัฐลุยเซียนาได้นำธุรกรรม 200 รายการออกจากเกณฑ์ขั้นต่ำในการสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของรัฐสำหรับทั้งผู้ขายนอกรัฐและผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลส ฝ่ายนิติบัญญัติยังได้ปรับเกณฑ์ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสำหรับผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสและผู้ขายนอกรัฐจากยอดขายขั้นต้น 100,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นยอดค้าปลีก 100,000 ดอลลาร์สหรัฐด้วย
รัฐเท็กซัส: ในรัฐเท็กซัส ผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสที่เก็บภาษีในนามของผู้ขายบนแพลตฟอร์มของตนจะไม่สามารถใช้อัตราภาษีโภคภัณฑ์ในท้องถิ่นแบบอัตราเดียว (Single local use tax rate) (ปัจจุบันอยู่ที่ 1.75%) ได้ ผู้ให้บริการเหล่านี้จะต้องเก็บภาษีท้องถิ่นในอัตรามาตรฐานแทน ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 2%
รัฐวอชิงตัน: ผู้ขายในมาร์เก็ตเพลสมีหน้าที่รับผิดชอบในการชำระภาษี "ธุรกิจและอาชีพค้าปลีก" (Business and Occupation หรือ B&O) จากยอดขาย หากผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสได้รับค่าคอมมิชชันจากผู้ขายสำหรับยอดขายผ่านบริการ รายได้ที่เป็นค่าคอมมิชชันนั้นๆ จะต้องเสียภาษี B&O ด้วย
Stripe ช่วยอะไรได้บ้าง
Stripe ช่วยให้มาร์เก็ตเพลสต่างๆ สามารถสร้างและขยายธุรกิจการชำระเงินและบริการทางการเงินระดับโลกได้โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยลงและมีโอกาสในการเติบโตมากขึ้น Stripe Tax จะลดความซับซ้อนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลก เพื่อให้คุณมีเวลาทุ่มเทกับการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต โดยระบบจะคำนวณและเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ GST ให้โดยอัตโนมัติจากทั้งสินค้าที่จับต้องได้และสินค้าดิจิทัล รวมถึงบริการในทุกรัฐของสหรัฐอเมริกาและอีกกว่า 100 ประเทศ โดย Stripe Tax มีมาให้อยู่แล้วใน Stripe คุณจึงเริ่มใช้งานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปลั๊กอินหรือต้องผสานการทำงานกับบุคคลที่สาม
Stripe Tax สามารถช่วยผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสในเรื่องดังนี้ได้
- ทำความเข้าใจว่าจะจดทะเบียนและเก็บภาษีที่ไหน: ดูตำแหน่งที่ตั้งที่คุณต้องเก็บภาษีโดยอิงตามธุรกรรมใน Stripe หลังจากจดทะเบียนแล้ว ก็จะเปิดใช้การเก็บภาษีในรัฐหรือประเทศใหม่ได้ภายในไม่กี่วินาที คุณจะเริ่มเก็บภาษีได้โดยเพิ่มโค้ดเพียงบรรทัดเดียวลงในการผสานการทำงาน Stripe ที่ใช้อยู่ หรือเพิ่มการเก็บภาษีลงในผลิตภัณฑ์ Stripe แบบไม่ต้องเขียนโค้ด เช่น Invoicing ด้วยการคลิกปุ่มแค่ครั้งเดียว
- จดทะเบียนเพื่อจ่ายภาษี: หากธุรกิจของคุณอยู่ในสหรัฐอเมริกา ให้ Stripe ช่วยจัดการการจดทะเบียนภาษี และคุณจะได้รับขั้นตอนที่ง่ายขึ้น โดยระบบจะกรอกรายละเอียดการยื่นจดทะเบียนให้ล่วงหน้า ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการปฏิบัติตามกฎระเบียบในท้องถิ่น หากคุณอยู่นอกสหรัฐอเมริกา Stripe จะร่วมมือกับ Taxually เพื่อช่วยคุณจดทะเบียนกับหน่วยงานด้านภาษีในท้องถิ่น
- เก็บภาษีการขายโดยอัตโนมัติ: Stripe Tax จะคำนวณและเก็บภาษีตามจำนวนที่ค้างชำระ โดยรองรับสินค้าและบริการหลายร้อยรายการ ทั้งยังมีข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับกฎและการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี
- ทำให้การยื่นและนำส่งเป็นเรื่องง่ายขึ้น: พาร์ทเนอร์ทั่วโลกที่ได้รับความไว้วางใจของเราจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นซึ่งเชื่อมต่อกับข้อมูลธุรกรรมใน Stripe ของคุณ ให้พาร์ทเนอร์ของเราช่วยจัดการการยื่นเอกสารให้คุณ เพื่อให้คุณมีเวลาไปมุ่งเน้นในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโต
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripe Tax
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับรองหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ