Introduction to embedded finance for software platforms

You’ll learn why you should embed financial services in your product, how to evaluate financial solutions, and how Stripe can help.

Connect
Connect

แพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก อาทิ Shopify และ DoorDash ต่างก็ใช้ Stripe Connect ในการผสานรวมการชำระเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การเงินแบบผสานรวมในตัวคืออะไร
  3. วิวัฒนาการของการเงินแบบผสานรวมในตัว
  4. การเงินแบบผสานรวมในตัวสําหรับแพลตฟอร์มมีหลักการทํางานอย่างไร
    1. ทํางานกับธนาคารโดยตรง
    2. เข้าถึงบริการทางการเงินผ่านแพลตฟอร์ม
  5. การเงินแบบผสานรวมในตัวมีประโยชน์อย่างไร
  6. วิธีเริ่มใช้งานการเงินแบบผสานรวมในตัว
    1. 1. รวมบริการชําระเงิน
    2. 2. รองรับบริการทางการเงินที่หลากหลาย
    3. 3. ความสามารถในการเข้าสู่ตลาดและปรับใช้ซ้ําได้อย่างรวดเร็ว
    4. 4. ความสะดวกในการผสานการทำงาน
    5. 5. การจัดการการปฏิบัติตามข้อกําหนดและกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ
  7. Stripe จะช่วยได้อย่างไร

การพิจารณาว่าบริษัทเป็นฟินเทคหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ด้วยเครื่องมือทางการเงินแบบผสานรวมในตัวที่มีจํานวนมากขึ้น แพลตฟอร์มจึงผสานการทํางานบริการทางการเงิน เช่น บัตรค่าใช้จ่ายธุรกิจ บัญชีการเงิน และการเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินเข้ากับผลิตภัณฑ์ได้โดยตรงง่ายกว่าที่เคย ด้วยบริการทางการเงินที่ปรับแต่งให้เหมาะสมเหล่านี้ แพลตฟอร์มจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางแบบครบวงจร ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการธุรกิจทุกด้านได้ในที่เดียว

คู่มือนี้จะครอบคลุมพื้นฐานเกี่ยวกับการเงินแบบผสานรวมในตัวสําหรับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ คุณจะได้เรียนรู้ว่าเหตุใดจึงควรผสานบริการทางการเงินไว้ในผลิตภัณฑ์ของคุณ วิธีประเมินโซลูชัน และวิธีที่ Stripe จะช่วยคุณได้

คู่มือนี้เน้นไปที่บริการทางการเงินที่มีให้ใช้งานสําหรับแพลตฟอร์ม นอกเหนือไปจากการประมวลผลการชําระเงิน หากสนใจการชําระเงินออนไลน์แบบผสานรวม คุณสามารถอ่านข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการชําระเงินออนไลน์และดูข้อมูลวิธีสร้างรายรับจากการชําระเงิน

การเงินแบบผสานรวมในตัวคืออะไร

ผู้ให้บริการทางการเงินแบบผสานรวมในตัวช่วยให้ธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทคไปจนถึงแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียง สามารถผสานรวมบริการทางการเงินที่ธนาคารนําเสนอแบบดั้งเดิม เช่น บัญชีการเงิน บัตร และความช่วยเหลือทางการเงิน ลงในซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ได้โดยตรง โดยปกติผู้ให้บริการทางการเงินแบบผสานรวมในตัวจะทํางานร่วมกับธนาคารโดยตรงเพื่อให้บริการพื้นฐาน จากนั้นแพลตฟอร์มก็จะสามารถใช้ API เพื่อช่วยให้ลูกค้าเก็บเงิน ชําระเงินตามใบเรียกเก็บ จัดการกระแสเงินสด และเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยการทํางานโดยตรงกับแพลตฟอร์มที่พวกเขารู้จักและไว้วางใจ

how-baas-works

ผู้ให้บริการทางการเงินที่ผสานรวมในตัวเป็นส่วนสําคัญของธุรกิจหลากหลายประเภท ตั้งแต่ธนาคารยุคใหม่ไปจนถึงมาร์เก็ตเพลส ปัจจุบันหลายแพลตฟอร์มให้บริการการเงินแบบผสานรวมในตัวอยู่แล้ว โดยให้บริการประมวลผลการชําระเงิน การเข้าถึง ACH หรือการโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านผู้ให้บริการชําระเงิน ผู้ให้บริการทางการเงินแบบผสานรวมในตัวช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถเพิ่มบริการทางการเงินให้กับผลิตภัณฑ์ของตนได้มากขึ้น

วิวัฒนาการของการเงินแบบผสานรวมในตัว

10 ปีที่ผ่านมา เกือบทุกแพลตฟอร์มอาจถือเป็น "SaaS 1.0" โดยพวกเขาเพียงแค่เสนอบริการซอฟต์แวร์ที่ปรับแต่งตามความต้องการ (เช่น การกําหนดเวลานัดหมายสําหรับร้านเสริมสวย) และสร้างรายรับตามแบบแผนล่วงหน้ารายเดือนจากการสมัครใช้บริการของลูกค้า ปัจจุบัน แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ถือเป็นส่วนหนึ่งของเจเนอเรชัน "SaaS 2.0" ที่อํานวยความสะดวกด้านการชําระเงินออนไลน์ให้กับลูกค้า ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในการผสานเครื่องมือทางการเงินไว้ในผลิตภัณฑ์ ฟีเจอร์นี้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแพลตฟอร์มต่างๆ เพราะหากไม่มีการผสานระบบชำระเงินออนไลน์ แพลตฟอร์มต่างๆ จะแข่งขันในตลาดได้ยากขึ้นมาก การอํานวยความสะดวกในการชําระเงินออนไลน์ยังช่วยให้แพลตฟอร์ม SaaS 2.0 สร้างรายได้มากขึ้น นอกเหนือไปจากการเรียกเก็บเงินสําหรับการสมัครใช้บริการรายเดือนแล้ว แพลตฟอร์มยังสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าสําหรับสิทธิ์ในการเข้าถึงการประมวลผลการชําระเงินได้ด้วย

ในปัจจุบัน โซลูชันการเงินแบบผสานรวมในตัวเพิ่มขึ้น แพลตฟอร์มต่างๆ ก็เริ่มพัฒนาอีกครั้งไปสู่การเป็น "SaaS 3.0" โดยนําเสนอฟีเจอร์ทางการเงินแบบผสานรวมในตัวเพิ่มเติม (เช่น การจัดหาเงินทุน บัญชี และบัตร) ให้กับลูกค้านอกเหนือจากการชําระเงิน

Saas platform evolution image

การเงินแบบผสานรวมในตัวสําหรับแพลตฟอร์มมีหลักการทํางานอย่างไร

ลองนึกภาพแพลตฟอร์มที่ให้บริการซอฟต์แวร์การนัดหมายและการประมวลผลการชําระเงินสําหรับร้านเสริมสวยและร้านตัดผม (สมมติว่าใช้ชื่อ The Brush)

ลูกค้าคนหนึ่งของ The Brush คือ Hair Flair ทาง Hair Flair ใช้ The Brush เป็นเวลาสามปีในการจัดการการนัดหมายและรับการชําระเงินจากลูกค้า เมื่อ Hair Flair ต้องการบริการทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อดําเนินธุรกิจ พวกเขาอาจมีสองทางเลือก: 1) ทํางานร่วมกับธนาคารโดยตรงหรือ 2) เข้าถึงบริการทางการเงินผ่าน The Brush

ทํางานกับธนาคารโดยตรง

Hair Flair เพิ่งเปิดสาขาที่สองและเจ้าของร้านเสริมสวยจําเป็นต้องมีสถานที่สําหรับเก็บเงินที่ใช้ในการจ่ายเงินให้สไตลิสต์ หากต้องการเปิดบัญชีธนาคาร พวกเขาจะต้องไปที่สถาบันการเงิน เช่น ธนาคารที่มีหน้าร้านจริงในท้องถิ่นและแชร์ข้อมูลทางธุรกิจ

หาก Hair Flair ไม่ได้รับการอนุมัติให้สร้างบัญชีธุรกิจ พวกเขาจะต้องเปิดบัญชีธนาคารส่วนบุคคล ซึ่งทำให้การเงินของธุรกิจและการเงินส่วนบุคคลปะปนกัน ในกรณีนี้ บัญชีของพวกเขาจะถูกสร้างขึ้นที่ธนาคารแบบดั้งเดิม แต่ตอนนี้พวกเขาต้องจัดการการไหลเวียนของเงิน โอนเงินจากรายได้ของพวกเขาใน The Brush ไปยังบัญชีใหม่ และต้องรอเงินเข้าบัญชีสองถึงสามวันทำการก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับพนักงานได้

จากการสำรวจของ Stripe พบว่าธุรกิจ 55% ต้องไปเยี่ยมชมสาขาในพื้นที่ด้วยตนเอง และ 23% ต้องส่งแฟกซ์เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร

เจ้าของร้านเสริมสวยยังต้องการเงินทุนเพื่อลงทุนในการตลาดและการปรับปรุงสตูดิโอ พวกเขาสามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเดียวกันกับที่เปิดบัญชีธนาคารไว้ได้ แต่สุดท้ายกลับพบสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าจากธนาคารท้องถิ่นอื่น พวกเขายื่นขอสินเชื่อด้วยตนเองและกรอกใบสมัครที่ยาวเหยียดพร้อมข้อมูลธุรกิจ น่าเสียดายที่ธนาคารไม่คุ้นเคยกับ Hair Flair หรือรูปแบบกระแสเงินสดที่พบได้ทั่วไปในธุรกิจ ทำให้ Hair Flair ไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ พวกเขาจึงยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารอีกสองแห่ง และได้รับการอนุมัติจากธนาคารหนึ่งในอีกไม่กี่เดือนต่อมา

มีธุรกิจขนาดเล็กเพียง 48% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งหมดที่ต้องการได้

Hair Flair ยังมีค่าใช้จ่ายมากมายจากการเปิดร้านใหม่ แทนที่จะใช้บัตรส่วนตัว พวกเขากลับตัดสินใจสมัครบัตรเครดิตธุรกิจเพื่อซื้ออุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลืองใหม่ๆ

พวกเขามองหาบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่สุดท้ายกลับได้บัตรจากธนาคารอื่น ซึ่งแยกจากธนาคารที่พวกเขายื่นขอสินเชื่อและเปิดบัญชี พวกเขาเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง และตอนนี้ต้องหาวิธีจัดการเงินในบัตรด้วยเงินจาก The Brush หรือจากบัญชีการเงินของพวกเขา

นอกเหนือจากการเปิดบัญชีกับธนาคารต่างๆ แล้ว เจ้าของร้าน Hair Flair ยังใช้เวลาทุกสัปดาห์ในการกระทบยอดบัญชีต่างๆ เหล่านี้ เพื่อติดตามเงิน ชำระบิล และหลีกเลี่ยงเช็คเด้ง ซึ่งหมายความว่ารายได้ส่วนใหญ่ของพวกเขาอาจถูกนำไปผูกกับการโอนก่อนที่จะสามารถนำไปใช้จ่ายได้

old business flow

เข้าถึงบริการทางการเงินผ่านแพลตฟอร์ม

The Brush ซึ่งเริ่มต้นจากซอฟต์แวร์นัดหมายสำหรับร้านเสริมสวย ปัจจุบันช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ทางการเงินต่างๆ ได้ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการประมวลผลการชำระเงิน การเข้าถึงเงินทุน การรับบัตรธุรกิจ และการเปิดบัญชีการเงิน ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในที่เดียว สิทธิประโยชน์ทั้งหมดนี้เพิ่มเติมจากฟีเจอร์หลักของ The Brush ในการจัดตารางเวลาและการจองการนัดหมาย

the brush saas flow

เนื่องจาก Hair Flair ดำเนินการชำระเงินของลูกค้าทั้งหมดผ่าน The Brush ทำให้ The Brush เข้าใจประวัติทางการเงินของร้านได้อย่างครบถ้วน และแพลตฟอร์มก็เข้าใจถึงอุตสาหกรรมร้านเสริมสวยและความต้องการเงินทุนโดยทั่วไปเป็นอย่างดี ในครั้งนี้ เมื่อ Hair Flair ยื่นขอสินเชื่อ ธนาคารพันธมิตรของ The Brush จะพิจารณาคุณสมบัติของ Hair Flair โดยพิจารณาจากยอดการชำระเงินและประวัติการชำระเงินของ Hair Flair บนแพลตฟอร์ม และอนุมัติสินเชื่อในวันถัดไป เงินทุนจะพร้อมใช้งานในบัญชีการเงินของ Hair Flair ที่พวกเขามีผ่าน The Brush โดยไม่ต้องส่งเอกสารเพิ่มเติม

และ Hair Flair สามารถใช้เงินทุนส่วนเกินนั้นกับบัตรธุรกิจที่พวกเขามีผ่าน The Brush ได้อย่างง่ายดาย บัตรนี้เชื่อมโยงกับบัญชีการเงิน และสามารถเข้าถึงเงินทุนทั้งหมด (ทั้งที่ได้มาและที่ยืมมา) ได้ในที่เดียว เงินทุนพร้อมใช้งานทันที พวกเขาจึงสามารถใช้บัตรได้ทันทีที่ลูกค้าชำระค่าบริการ พวกเขาสามารถใช้บัตรชำระค่าอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ และหากแพลตฟอร์มตัดสินใจทำเช่นนั้น พวกเขาก็จะได้รับคะแนนสะสมเมื่อใช้จ่าย (เช่น รับเงินคืนจากการซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับร้านเสริมสวย หรือรับ The Brush ฟรีหนึ่งเดือน)

และสุดท้าย เจ้าของร้าน Hair Flair ประหยัดเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละเดือนในการกระทบยอดการเงิน ด้วยกิจกรรมทางการเงินทั้งหมด (การชำระเงินของลูกค้า เงินกู้ และค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ) รวมอยู่ในที่เดียวบนแพลตฟอร์มของ The Brush เจ้าของร้านสามารถเข้าถึงรายงานทางการเงินที่อัปเดตได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเครื่องมือและระบบต่างๆ นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ต้องกังวลเรื่องการลืมโอนเงินหรือการชำระเงินกู้ที่ค้างชำระ The Brush คือศูนย์รวมบริการครบวงจรของ Hair Flair สำหรับธุรกิจทั้งหมดของพวกเขา

new business flow

Shopify เป็นบริษัทพาณิชย์ชั้นนำระดับโลกที่มอบเครื่องมือที่เชื่อถือได้สำหรับการเริ่มต้น ขยายตลาด ทำการตลาด และบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกทุกขนาด การจัดการบริการทางการเงินถือเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ แต่บริการทางการเงินส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าของธุรกิจอิสระ Shopify Balance มอบวิธีการที่รวดเร็ว ง่ายดาย และผสานการทำงานสำหรับผู้ค้า Shopify ในการจัดการเงินทุน ชำระใบเรียกเก็บเงิน และติดตามค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยให้พวกเขาเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้ง่ายขึ้นและควบคุมการเงินได้ดีขึ้น

การเงินแบบผสานรวมในตัวมีประโยชน์อย่างไร

ด้วยระบบการเงินแบบผสานรวมในตัว แพลตฟอร์มอย่าง The Brush สามารถแก้ปัญหาหลักของธุรกิจให้กับ
ลูกค้าอย่าง Hair Flair เพื่อสร้างประสบการณ์โดยรวมที่ดีขึ้น แต่การผสานรวมบริการทางการเงินไม่เพียงช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นเท่านั้น แพลตฟอร์มก็เห็นประโยชน์ที่แท้จริงเช่นกัน

  • เพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า (LTV): มีสองวิธีหลักในการเพิ่ม LTV ได้แก่ การกระตุ้นให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณมากขึ้น หรือให้พวกเขาใช้งานเป็นระยะเวลานานขึ้น การรองรับบริการทางการเงินสามารถช่วยได้ทั้งในด้านต่างๆ โดยการสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์สําหรับลูกค้าซึ่งมีฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากมายในที่เดียว ตัวอย่างเช่น ลูกค้าของ Stripe กว่า 80% ที่ยอมรับเงินกู้ผ่าน Stripe Capital จะรับเงินกู้จาก Stripe Capital เพิ่มเป็นครั้งที่สอง ทําให้ Capital สามารถนําเงินไปลงทุนในการหาลูกค้าให้กับผู้กู้ครั้งแรกได้มากขึ้น

  • ลดอัตราการเลิกใช้บริการ: การประมวลผลการชําระเงิน การมีบัญชี การใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต และการเข้าถึงเงินทุนเป็นส่วนสําคัญของการดําเนินธุรกิจ การผสานบริการทางการเงินเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์จะทําให้ลูกค้ามีเหตุผลสําคัญที่จะใช้ซอฟต์แวร์ต่อไป ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการเลิกใช้บริการได้อย่างเป็นธรรมชาติ

  • สร้างช่องทางรายรับใหม่: การเงินแบบผสานรวมในตัวมีศักยภาพที่จะเป็นส่วนสําคัญของรายรับสําหรับแพลตฟอร์ม อันที่จริงแล้ว มีการประเมินว่าบริษัท SaaS สามารถเพิ่มรายรับ 2–5 เท่าได้โดยการเพิ่มบริการทางการเงิน คุณสามารถสร้างรายได้จากการหักยอดรายรับจากธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคาร (ค่าธรรมเนียมที่มาพร้อมกับธุรกรรมบัตร) การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชําระเงิน หรือการช่วยให้พาร์ทเนอร์ธนาคารมอบบริการทางการเงินแก่ลูกค้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริการทางการเงินที่คุณเปิดใช้

  • ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและความพึงพอใจโดยรวม: การผสานบริการทางการเงินไว้ในซอฟต์แวร์ช่วยประหยัดเวลา พลังงาน และทรัพยากรสําหรับลูกค้า พวกเขาสามารถทําทุกอย่างได้ในที่เดียวแทนที่จะต้องสลับไปมาระหว่างระบบที่แตกต่างกันและสํารวจข้อกําหนดด้านการธนาคารที่ซับซ้อน สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมความภักดีของลูกค้า ทําให้ลูกค้ามีความสุขมากขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณต่อไปและแนะนําต่อให้ผู้อื่น

วิธีเริ่มใช้งานการเงินแบบผสานรวมในตัว

ก่อนที่จะเริ่มเพิ่มบริการทางการเงินลงในแพลตฟอร์ม คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณรู้ว่าบริการใดเหมาะสมที่สุดที่จะเสนอให้กับลูกค้า ไม่มีวิธีที่ใช้ได้กับธุรกิจทุกแห่ง ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มต้นจากการชําระเงินแบบผสานรวมในตัว แต่บริการที่นําเสนอผ่านผู้ให้บริการทางการเงินแบบผสานรวมในตัวนั้นแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น Lightspeed Capital ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการค้าขนาดใหญ่เริ่มต้นด้วยการชําระเงินที่จุดขายและการชําระเงินออนไลน์ที่ผสานรวมในตัว และอีกสองปีต่อมาก็เริ่มให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อ เราขอแนะนําให้คุณทําการวิจัยผู้ใช้เพื่อทําความเข้าใจปัญหาของลูกค้าและพิจารณาว่าบริการทางการเงินใดสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด (หากคุณเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ Stripe อยู่ในปัจจุบัน โปรดติดต่อ Stripe เพื่อดูว่าสามารถช่วยเหลือคุณได้หรือไม่)

ต่อไปนี้คือ 5 สิ่งที่คุณควรมองหาในผู้ให้บริการทางการเงินแบบผสานรวมในตัว

1. รวมบริการชําระเงิน

ตัวเลือกที่ง่ายที่สุดคือการใช้โซลูชันเดียวที่มีทั้งการชําระเงินและบริการทางการเงินแบบผสานรวมในตัว วิธีนี้ช่วยลดความซับซ้อนที่จําเป็นในการเข้าสู่ตลาดและขยายข้อเสนอของคุณได้อย่างมาก ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายภายในได้ เนื่องจากทุกอย่างอยู่ในระบบเดียว คุณจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดการเงินทุนที่ซับซ้อน และลูกค้าจะต้องแชร์ข้อมูลเพียงครั้งเดียวในระหว่างกระบวนการเริ่มต้นใช้งานเพื่อเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์หลักของคุณต่อไปได้ในขณะที่ผู้ให้บริการของคุณจัดการงานที่จําเป็นเพื่อแก้ปัญหาทางการเงินของลูกค้า

full baas flow

วิธีนี้ยังมอบคุณค่าสูงสุดให้กับลูกค้าของคุณด้วย การเข้าถึงบริการชําระเงิน บัญชีทางการเงิน และบัตรผ่านผู้ให้บริการรายเดียวจะช่วยให้คุณจ่ายเงินให้กับกิจการที่มีเจ้าของคนเดียวหรือผู้รับเหมาบนแพลตฟอร์มของคุณได้อย่างง่ายดาย โดยใช้เงินที่ลูกค้าของคุณได้รับจากการขาย เจ้าของกิจการที่มีเจ้าของคนเดียวหรือผู้รับเหมาจะมีสิทธิ์เข้าถึงเงินทุนเหล่านั้นได้ภายในไม่กี่วินาทีผ่านบัญชีการเงินและบัตร ในขณะที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม

2. รองรับบริการทางการเงินที่หลากหลาย

เมื่อคุณเริ่มให้บริการทางการเงินแบบผสานรวมแก่ลูกค้าเป็นครั้งแรก คุณจะเริ่มต้นด้วยบริการเดียวเท่านั้น เช่น บัตร เมื่อความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น คุณควรให้สิทธิ์เข้าถึงบริการเพิ่มเติม เช่น บัญชีการเงิน บริการทางการเงินต่างๆ เหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการจัดการกับเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึง การจัดเก็บ การใช้จ่าย และการย้ายเงิน ดังนั้นระบบของคุณจะต้องสามารถพูดคุยกันและส่งข้อมูลที่สําคัญของลูกค้าได้ แทนที่จะปรับขนาดข้อเสนอทางการเงินแบบผสานรวมในตัวโดยใช้โซลูชันหลายจุด ให้มองหาระบบเดียวที่รองรับบริการทางการเงินที่หลากหลายในขณะที่คุณขยายธุรกิจ

3. ความสามารถในการเข้าสู่ตลาดและปรับใช้ซ้ําได้อย่างรวดเร็ว

คุณควรทดสอบความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์/ตลาดเพื่อดูว่ามีความต้องการบริการทางการเงินที่คุณต้องการรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ของคุณหรือไม่ คุณต้องการความสามารถในการทําซ้ําหรือขยายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของลูกค้า

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณเพิ่มการชําระเงินในโซลูชันหลัก เพื่อช่วยให้ลูกค้ารับเงินบนแพลตฟอร์มของคุณได้ คุณเห็นความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ลูกค้าบอกคุณว่าพวกเขาต้องการความสามารถในการชําระค่าใช้จ่ายทางธุรกิจอย่างง่ายดายด้วยรายรับของพวกเขาเอง ดังนั้นคุณจึงต้องการทดสอบการเสนอบัตรให้กับลูกค้าของคุณ โซลูชันที่ดีที่สุดจะช่วยให้คุณเพิ่มความสามารถต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและทดสอบก่อนที่จะเปิดตัวในวงกว้างยิ่งขึ้น

4. ความสะดวกในการผสานการทำงาน

ผู้ให้บริการที่ดีที่สุดจะช่วยให้คุณเริ่มต้นใช้งานได้ง่ายที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาในการเชื่อมต่อระบบ แต่คุณควรจะสามารถเข้าถึง API ที่เป็นมิตรกับนักพัฒนาและสร้างต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบสําเร็จรูปได้ ด้วยวิธีนี้ คุณจะมีเวลามุ่งเน้นไปวิธีที่ธุรกิจหลักและระบบการเงินแบบผสานรวมในตัวสามารถทํางานร่วมกันได้ แทนที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

5. การจัดการการปฏิบัติตามข้อกําหนดและกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ

บริการที่นําเสนอผ่านผู้ให้บริการเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแล ส่งผลให้มีรายการการปฏิบัติตามข้อกําหนดและข้อกําหนดทางกฎหมายมากมายที่คุณต้องจัดการและดูแล ตัวอย่างเช่น การเสนอบัตรใช้จ่ายหมายถึงการจัดการการยืนยันผู้ใช้ การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกําหนดของ PCI การทําความเข้าใจข้อกําหนดของ KYC และการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดการฉ้อโกง

ผู้ให้บริการของคุณควรช่วยจัดการข้อกําหนดด้านการปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับในนามของคุณได้อย่างมาก ซึ่งจะช่วยลดจํานวนทรัพยากรภายในที่คุณต้องใช้ในการดูแลรักษาด้วยตนเอง สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในระหว่างกระบวนการเริ่มต้นใช้งาน โดยผู้ให้บริการของคุณจะช่วยปฏิบัติตามข้อกําหนดตั้งแต่แรก ดังนั้นลูกค้าควรต้องป้อนข้อมูลเพียงครั้งเดียวเมื่อเริ่มเข้าร่วมแพลตฟอร์มของคุณ ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าถึงบริการทางการเงินกี่อย่างก็ตาม

Stripe จะช่วยได้อย่างไร

Stripe เป็นวิธีที่ง่ายและยืดหยุ่นที่สุดสําหรับแพลตฟอร์มในการสร้างและเปิดตัวฟีเจอร์ทางการเงินแบบผสานรวมในตัวที่ปรับขนาดได้และมีฟีเจอร์ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการชําระเงิน การจัดหาเงินทุน บัตร หรือบัญชีการเงิน API ของ Stripe และโซลูชันการชําระเงินที่มีประสิทธิภาพของเราช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทคไปจนถึงแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว สามารถผสานรวมบริการทางการเงินลงในซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ได้โดยตรง บริษัทอย่าง Shopify, Housecall Pro และ GlossGenius เป็นพาร์ทเนอร์กับ Stripe เพื่อแก้ปัญหาสําคัญๆ ให้กับลูกค้าและสร้างกระแสรายได้เพิ่มเติมให้กับธุรกิจ

ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นของเรามี API ที่เป็นส่วนประกอบสําคัญสําหรับแพลตฟอร์มในการผสมผสานในรูปแบบต่างๆ โดยขึ้นอยู่กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการและสิ่งที่เหมาะสมกับธุรกิจของแพลตฟอร์ม

  • โซลูชันการชําระเงิน: Stripe Connect ช่วยให้คุณสามารถผสานรวมการชําระเงินกับหลายฝ่ายและให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย เช่น การเก็บเงินจากลูกค้าและการเบิกจ่ายให้กับบุคคลที่สาม แพลตฟอร์มมีรายรับจากการเก็บค่าธรรมเนียมสําหรับบริการที่จัดหาให้

  • การจัดหาเงินทุนของธุรกิจ: Stripe Capital มอบการจัดหาเงินทุนที่รวดเร็วและยืดหยุ่น เพื่อช่วยให้ลูกค้านําไปขยายธุรกิจได้ ธุรกิจขนาดเล็กจํานวนมากต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้สินเชื่อที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการยากที่จะประเมินและควบคุมความเสี่ยงของธุรกิจ Stripe ขจัดอุปสรรคดังกล่าวด้วยโปรแกรมการจัดหาเงินทุนแบบครบวงจรผ่านการผสานการทํางานเพียงครั้งเดียว

  • บัตรของธุรกิจ: Stripe Issuing ช่วยให้คุณสร้างและออกบัตรจริงและบัตรดิจิทัลได้ทันทีด้วยการสร้างแบรนด์ของคุณ ลูกค้าใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการสําหรับธุรกิจ และเข้าถึงเงินทุนที่ได้รับจากการขายได้รวดเร็วขึ้น คุณจะได้รับข้อมูลเชิงลึกว่าลูกค้าใช้จ่ายเงินอย่างไร ในขณะที่ Stripe จะจัดการการผลิตบัตร การดําเนินการตามคําสั่งซื้อ และการจัดส่ง แพลตฟอร์มจะได้รับส่วนแบ่งจากธุรกรรมผ่านบัตรระหว่างธนาคารที่เรียกเก็บทุกครั้งที่มีการใช้บัตร

  • บัญชีการเงิน: API ของ Stripe Treasury สร้างบัญชีที่มีสิทธิ์รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (FDIC) สําหรับลูกค้าของคุณ ซึ่งสามารถรับรางวัล โอนเงินผ่านธนาคารในประเทศหรือ ACH และรองรับการฝากเช็คได้ (พร้อมใช้งานเร็วๆ นี้) Stripe จะจัดการเรื่องการเจรจาล่วงหน้ากับเครือข่ายธนาคาร ผสาน KYC ไว้ในผลิตภัณฑ์ของคุณ คุณจึงไม่จําเป็นต้องสร้างโปรแกรมKYC ที่มีค่าใช้จ่ายสูง และให้คําแนะนําเกี่ยวกับข้อกําหนดการปฏิบัติตามข้อกําหนดที่เหลือแก่คุณ แพลตฟอร์มส่วนใหญ่สร้าง Stripe Treasury และ Stripe Issuing ร่วมกันเพื่อให้ลูกค้ามีวิธีจัดเก็บ ใช้จ่าย และจัดการเงิน

ติดต่อทีมของเราเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่แพลตฟอร์มของคุณใช้ Stripe สร้างแหล่งเงินกู้ ออกบัตร หรือสร้างบัญชีทางการเงิน

บัตรที่มอบให้ผ่าน Stripe Issuing ออกโดยธนาคารที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Stripe ซึ่งได้รับใบอนุญาตจาก Visa และ Mastercard บัตรเครดิตเพื่อการพาณิชย์ Visa และ Mastercard ออกโดย Celtic Bank และ Cross River Bank ซึ่งเป็นสมาชิกของสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (FDIC) บัตรเติมเงินเพื่อการพาณิชย์ของ Visa และ Mastercard ออกโดย Sutton Bank และ Evolve Bank & Trust ซึ่งเป็นสมาชิกของสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (FDIC) ฟีเจอร์บางอย่างของโปรแกรมบัตรจะขึ้นอยู่กับการอนุมัติของธนาคาร

Stripe Treasury ให้บริการในสหรัฐอเมริกาโดย Stripe Payments Company ซึ่งเป็นผู้ให้บริการส่งเงินที่ได้รับอนุญาต และเก็บเงินทุนไว้ที่ธนาคารพาร์ทเนอร์ของ Stripe ที่เป็นสมาชิกของสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ (FDIC) บัตรและผลิตภัณฑ์เครดิตอื่นๆ จัดหาให้โดย Celtic Bank และให้บริการโดย Stripe, Inc. และ Stripe Servicing, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Stripe

Stripe Capital เสนอประเภทการจัดหาเงินทุนที่รวมถึงเงินกู้และการเบิกเงินสดล่วงหน้าสําหรับผู้ค้า คําขอการจัดหาเงินทุนทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบขั้นสุดท้ายก่อนอนุมัติ เงินกู้ Stripe Capital ออกโดย Celtic Bank และให้บริการโดย Stripe YouLend ให้บริการเบิกเงินสดล่วงหน้าแก่ผู้ค้า Stripe Capital

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Connect

Connect

ใช้งานจริงภายในไม่กี่สัปดาห์แทนที่จะต้องเสียเวลาหลายไตรมาส สร้างธุรกิจการชำระเงินที่สร้างผลกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Connect

ดูวิธีกำหนดเส้นทางการชำระเงินระหว่างหลายฝ่าย