Equity for employees

Understand the mechanics, decisions, and trade-offs related to issuing equity to employees.

ภาพอวาตาร์ของ Yin Wu
Yin Wu

Yin Wu has built four companies, one of which she sold to Microsoft. She now leads Pulley, which has helped thousands of companies manage their cap table and equity.

  1. บทแนะนำ
  2. แผนการถือหุ้นคืออะไร
    1. แผนการถือหุ้นของพนักงานควรมีขนาดเท่าใด
    2. ควรจัดการกับแผนการถือหุ้นของพนักงานอย่างไรเมื่อพนักงานลาออกหรือถูกเลิกจ้าง
    3. พนักงานควรได้รับสิทธิ์ในหุ้นของตนอย่างไรและเมื่อใด
  3. สตาร์ทอัพสามารถมอบหุ้นด้วยวิธีใดบ้าง
    1. ข้อควรทราบเกี่ยวกับสิทธิ์ซื้อหุ้น
    2. ISO และ NSO แตกต่างกันอย่างไร
    3. การใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดคืออะไร
  4. บทสรุปเกี่ยวกับหุ้นของพนักงาน

หุ้น คือหน่วยของความเป็นเจ้าของบริษัทของคุณ โดยมี 2 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และอำนาจควบคุม ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจคือผลประโยชน์ทางการเงินเมื่อธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ ส่วนอำนาจควบคุมคืออิทธิพลที่ผู้ถือหุ้นมีต่อทิศทางในอนาคตของบริษัท

โดยทั่วไปแล้ว บริษัทจะมอบหุ้นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3 ประเภท ได้แก่ ผู้ก่อตั้ง พนักงาน และนักลงทุน Stripe Atlas ได้เขียนคู่มือว่าด้วยหุ้นสำหรับผู้ก่อตั้งไว้แล้ว ส่วนคู่มือนี้จะเน้นที่หุ้นสำหรับพนักงานเป็นหลัก

คู่มือนี้เกี่ยวข้องกับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพมากที่สุด หุ้นเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการให้รางวัลแก่พนักงานกลุ่มแรกๆ ที่กล้าเสี่ยงมาทำงานกับคุณ (การสรรหา) และช่วยสร้างแรงจูงใจในระยะยาว (การรักษาพนักงาน) การสรรหาและการรักษาพนักงานคือ 2 เป้าหมายหลักของการให้หุ้นแก่พนักงาน และเป็นสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกเสมอเมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับหุ้นของพนักงาน

เมื่ออ่านคู่มือนี้จบ คุณจะเข้าใจสิ่งต่อไปนี้

  • ความหมายของแผนการถือหุ้นและวิธีกำหนดขนาดของแผน

  • วิธีจัดการกรณีพนักงานลาออกหรือถูกเลิกจ้างภายใต้แผนการถือหุ้นของคุณ

  • เป้าหมาย 3 ประการของการได้รับสิทธิ์ และวิธีสร้างแผนการถือหุ้นเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเหล่านั้น

  • วิธีต่างๆ ในการมอบหุ้น รวมถึงข้อดีและข้อเสีย

  • ความแตกต่างระหว่าง ISO และ NSO พร้อมข้อผิดพลาดที่พบบ่อยซึ่งควรหลีกเลี่ยง

  • คําแนะนำจาก Pulley ที่อ้างอิงจากการช่วยบริษัทหลายพันแห่งจัดการตารางแสดงสัดส่วนการถือหุ้นและหุ้นของบริษัท

Pulley เป็นผู้ให้บริการโซลูชันตารางแสดงสัดส่วนการถือหุ้นอันดับต้นๆ โดย Stripe เป็นทั้งพาร์ทเนอร์และผู้ลงทุนใน Pulley ผู้เชี่ยวชาญจาก Pulley ได้มีส่วนช่วยให้คำปรึกษาในคู่มือนี้ (ดูข้อจำกัดความรับผิดชอบ) และผู้ใช้ Atlas สามารถเข้าถึงคำแนะนำแบบเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมได้โดยตรงจาก Pulley

แผนการถือหุ้นคืออะไร

แผนการถือหุ้นคือส่วนหนึ่งของบริษัทที่คุณตั้งใจจะสงวนไว้ให้พนักงาน ในช่วงที่มูลค่าของบริษัทของคุณยังต่ำอยู่หลังจากจัดตั้งได้ไม่นาน คุณมักจะให้คำมั่นกับพนักงานกลุ่มแรกว่าจะให้ถือหุ้นในสัดส่วนหนึ่งของบริษัท (เช่น 1%) ให้ลองมองค่าตอบแทนในรูปแบบหุ้นว่าเป็นทรัพยากรที่คุณจะใช้เพื่อตอบแทนหรือดึงดูดคนเก่งให้มาร่วมงาน การจ้างงานด้วยค่าตอบแทนในรูปแบบหุ้นมีความยากอยู่ เนื่องจากหุ้นเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด และคุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าพนักงานคนใดจะกลายเป็นกำลังหลักในอนาคต ดังนั้นจึงควรใช้หุ้นตอบแทนผลงาน ไม่ใช่ตอบแทนเรซูเม่

แม้ว่าแต่ละบริษัทจะมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว สตาร์ทอัพที่ยังไม่ได้ระดมทุนหรือเพิ่งระดมทุนรอบแรกมักจะมีเกณฑ์มาตรฐานดังนี้

  • หุ้น 1-3% สำหรับผู้บริหารหลัก (เช่น รองประธานฝ่ายขายหรือรองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์)

  • หุ้น 0.5-1% สำหรับพนักงานกลุ่มแรกในสายงานเชิงเทคนิค (ฝ่ายออกแบบ ฝ่ายวิศวกรรม)

  • หุ้น 0-0.5% สำหรับพนักงานกลุ่มแรกในบทบาทเชิงพาณิชย์ (ฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ)

หากไม่มีแผนการถือหุ้นที่กำหนดจำนวนหุ้นทั้งหมดที่สงวนไว้สำหรับพนักงาน สัดส่วนหุ้นของพนักงานกลุ่มแรกๆ จะผันผวน เช่น

  • ผู้ก่อตั้ง A: 4 ล้านหุ้น

  • ผู้ก่อตั้ง B: 4 ล้านหุ้น

  • พนักงาน 1: 1% = ประมาณ 80,000 หุ้น

หากคุณมอบหุ้น 1% ให้กับพนักงาน 1 คุณอาจคิดว่าคุณต้องให้ 80,000 หุ้น โดยคำนวณจากจำนวนหุ้นรวมของผู้ก่อตั้ง ซึ่งแสดงถึงความเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมดจนกระทั่งมีการจ้างงานครั้งนี้ แต่นั่นจะทำให้มีจำนวนหุ้นทั้งหมดเป็น 8,080,000 หุ้น และพนักงานจะเป็นเจ้าของหุ้นต่ำกว่า 1% เล็กน้อย และเมื่อมีพนักงานใหม่แต่ละรายเพิ่มเข้ามา สัดส่วนการเป็นเจ้าของของพนักงาน 1 จะลดลงเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ข้อเสนอ 1% ของคุณกลายเป็นคำสัญญาที่ไม่เป็นจริง

แต่ถ้าคุณกำหนดแผนและสงวนหุ้น 10% ของบริษัทไว้สำหรับพนักงานโดยทั่วไป การคำนวณจะเป็นดังนี้

  • ผู้ก่อตั้ง A: 4.5 ล้านหุ้น

  • ผู้ก่อตั้ง B: 4.5 ล้านหุ้น

  • พนักงาน: 10% = 1 ล้านหุ้น

ตอนนี้ บริษัทของคุณมีหุ้นรวมทั้งหมด 10 ล้านหุ้น โดยมีพูลหุ้นสำหรับพนักงาน 1 ล้านหุ้น หากคุณมอบหุ้นให้กับพนักงาน 1 จำนวน 100,000 หุ้น สัดส่วนความเป็นเจ้าของจะเท่ากับ 10% ของพูลหุ้นสำหรับพนักงาน หรือ 1% ของบริษัท โดยสัดส่วนนี้จะไม่ลดลงเมื่อมีการจ้างพนักงานเพิ่ม ทำให้คุณรักษาคำมั่นสัญญาที่เสนอได้จริง

เมื่อคุณจัดทำแผนการถือหุ้นของพนักงาน มี 2 เรื่องหลักๆ ที่คุณจะต้องตัดสินใจให้ถูกต้อง ได้แก่ ขนาดของแผนและสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพนักงานลาออก

แผนการถือหุ้นของพนักงานควรมีขนาดเท่าใด

โดยทั่วไป สตาร์ทอัพจะจัดสรรแผนการถือหุ้นของพนักงานเอาไว้ราว 10-20% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท และการตัดสินใจกำหนดขนาดของแผนภายในช่วงสัดส่วนดังกล่าวขึ้นอยู่กับความต้องการในการจ้างงานของคุณโดยเฉพาะ ผู้ก่อตั้งมักจะได้รับคำแนะนำให้เลือกจำนวนเท่าใดก็ได้ตามใจตัวเอง แต่การพิจารณาตัวเลขอย่างรอบคอบ และดูว่าตัวเลขนี้จะส่งผลต่อตารางแสดงสัดส่วนการถือหุ้นของคุณอย่างไร จะช่วยให้คุณไม่ต้องปวดหัวกับการบริหาร

ตรรกะทั่วไปคือ ยิ่งคุณต้องการฐานพนักงานที่มีทักษะมากเท่าใด คุณก็ควรสงวนหุ้นเอาไว้มากขึ้นเท่านั้น หากสตาร์ทอัพของคุณกำลังสร้างยานอวกาศ (ยานจริงๆ ที่ไม่ใช่ 🚀 ) คุณอาจต้องการนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรด้านยานอวกาศที่มีจำนวนน้อยนิดในตลาด และแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องการค่าตอบแทนที่สูง

ที่ Pulley เราไม่เคยเห็นพนักงานรุ่นแรกที่ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งได้รับหุ้นเกิน 5% ของบริษัท ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถหรือมีความสำคัญเพียงใดก็ตาม และเราก็ไม่เคยเห็นพนักงานตำแหน่งสำคัญ (เช่น นักออกแบบคนแรก หรือวิศวกรด้านยานอวกาศ) ในบริษัทระยะเริ่มก่อตั้งที่ได้รับหุ้นน้อยกว่า 0.3%

ในฐานะบริษัทเกิดใหม่ คุณไม่สามารถจ่ายเงินเดือนสูงเท่ากับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ได้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถแข่งขันในกระบวนการจ้างงานได้ คุณจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบของหุ้น

ในทางกลับกัน ในระยะเริ่มต้น คุณอาจยังไม่มีเวลาหรือทรัพยากรเพียงพอในการสร้างแผนการจ้างงานที่สมบูรณ์ หรือแม้แต่จะประเมินได้อย่างเหมาะสมว่าพนักงานหลักบางตำแหน่งจะคาดหวังหุ้นในสัดส่วนเท่าใด ต่อไปนี้คือเกณฑ์มาตรฐานบางส่วนที่ Pulley รวบรวมไว้เกี่ยวกับขนาดของแผนการถือหุ้น โดยจำแนกตามอุตสาหกรรม

Equity plan sizes by industry

โปรดจำไว้ว่าสิ่งที่คุณควรตั้งเป้าไว้คือ การสำรองแผนการถือหุ้นไว้ให้เพียงพอสำหรับการระดมทุนรอบถัดไป เมื่อคุณระดมเงินจากนักลงทุน พวกเขาจะเจรจาว่าแผนการถือหุ้นของพนักงานควรมีขนาดเท่าใดหลังจากที่ลงทุนเรียบร้อยแล้ว กรณีนี้คล้ายกับตอนที่คุณสร้างแผนการถือหุ้นของพนักงานหลังจากจัดตั้งบริษัทใหม่ๆ ที่การมอบหุ้นให้แก่พนักงานจะทำให้สัดส่วนหุ้นของคนอื่นๆ ในบริษัทลดลง นักลงทุนย่อมต้องการถือหุ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะพยายามรักษาสมดุลระหว่างการช่วยให้คุณมีความได้เปรียบในการจ้างงาน กับการไม่ทำให้สัดส่วนการลงทุนของพวกเขาลดลง

ควรจัดการกับแผนการถือหุ้นของพนักงานอย่างไรเมื่อพนักงานลาออกหรือถูกเลิกจ้าง

การตัดสินใจต่อไปที่คุณต้องทำในแผนการถือหุ้นของพนักงาน คือการตั้งกฎขึ้นมาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพนักงานลาออกจากบริษัท ด้วยอัตราการลาออกที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่สมส่วนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เรื่องนี้จึงกลายเป็นการตัดสินใจที่สำคัญยิ่งกว่าเดิม

เงื่อนไขทางกฎหมายสำหรับกฎเหล่านี้เรียกว่า "ระยะเวลาการใช้สิทธิ์หลังเลิกจ้าง" และตลอดหลายปีที่ผ่านมา สตาร์ทอัพและทนายความมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสิ่งที่ถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด วัตถุประสงค์ของการกำหนดระยะเวลาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น 90 วันหรือ 10 ปี คือเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานมีเวลารวบรวมเงินสดที่จำเป็นสำหรับการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น หากพนักงานที่ลาออกไม่ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด สิทธิ์นั้นก็จะถูกริบกลับคืนพูลหุ้น เพื่อให้พนักงานคนอื่นๆ นำหุ้นไปใช้ต่อได้

ท้ายที่สุดแล้ว ประเด็นนี้คือเรื่องของความเป็นธรรม บริษัทควรให้เวลาพนักงานมากแค่ไหนในการรวบรวมเงินเพื่อใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น โดยในขณะเดียวกันก็ไม่ควรให้เวลามากเกินไปจนพนักงานสามารถรอดูได้ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยปกติแล้ว ระยะเวลานี้จะอยู่ที่ 30-90 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของ IRS ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะทางภาษีของสิทธิ์ซื้อหุ้นบางประเภทหลังสิ้นสุดการจ้างงานครบ 90 วัน

ในช่วงหลังมานี้ สตาร์ทอัพมีแนวทางที่แตกต่างกันไป 3 รูปแบบ ได้แก่ (1) ใช้กรอบเวลา 30-90 วันแบบดั้งเดิม (2) ขยายเป็นกรอบเวลา 10 ปี และ (3) ใช้กรอบเวลาที่เปลี่ยนแปลงได้ตามระยะเวลาในการทำงานของพนักงาน ตัวอย่างเช่น บางบริษัทให้ระยะเวลาใช้สิทธิ์เพิ่มหนึ่งเดือนสำหรับทุกเดือนที่ทำงาน Coinbase และ Pinterest ให้กรอบเวลาใช้สิทธินานถึง 7 ปีสำหรับพนักงานที่ทำงานเกิน 2 ปีขึ้นไป

กรอบเวลาที่สั้นบังคับให้พนักงานต้องมีเงินสดอยู่ในมือเพื่อใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นแทบจะทันทีหลังจากลาออก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นมีค่าใช้จ่ายสูงแค่ไหน พนักงานบางคนมีเงินสดไม่มากพอที่จะซื้อหุ้นภายในเวลาเพียง 30 หรือ 90 วัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาความไม่เป็นธรรมได้ สิ่งนี้สามารถสร้างปัญหาความเป็นธรรมได้ พนักงานบางคนอาจมีฐานะดี (และมีสภาพคล่องทางการเงิน) หรืออาจขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือเพื่อนฝูงได้ แต่บางคนอาจเพิ่งเริ่มต้นอาชีพในสายเทคโนโลยี และไม่มีเงินหลักหมื่นดอลลาร์อยู่ในบัญชีธนาคาร

ในทางกลับกัน การให้กรอบเวลานานถึง 10 ปี หมายความว่าพนักงานสามารถถือสิทธิ์ซื้อหุ้นไว้และรอดูผลลัพธ์ของบริษัทได้นานถึง 10 ปี แม้ว่าพนักงานจะมีเวลาเหลือเฟือในการรวบรวมเงินเพื่อใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น แต่สิทธิประโยชน์นี้มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายของพนักงานคนอื่นๆ แบบจำลองแสดงให้เห็นว่าการให้กรอบเวลา 10 ปีจะทำให้การลดสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้น 80% สำหรับพนักงานที่ยังอยู่ เพราะในขณะที่อดีตพนักงานยังถือสิทธิ์ซื้อหุ้นอยู่ บริษัทจำเป็นต้องขยายขนาดพูลหุ้นเพื่อสงวนหุ้นไว้ให้กับพนักงานใหม่ การปรับเปลี่ยนนี้แก้ปัญหาความเป็นธรรมในบางมิติได้ก็จริง แต่กลับเป็นการให้อภิสิทธิ์มากเกินไปแก่พนักงานที่ลาออกไปแล้วแทน

กรอบเวลาที่แปรผัน ซึ่งระยะเวลาในการใช้สิทธิ์จะขยายออกไปตามระยะเวลาการทำงานในบริษัท มีความถดถอยน้อยกว่ากรอบเวลา 10 ปี แต่ก็ยังคงสร้างปัญหาในลักษณะเดียวกัน โดยจะยังคงมีพนักงานบางคนที่สามารถถือสิทธิ์ซื้อหุ้นเอาไว้เป็นเวลานานเกินสมควร ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจผูกระยะเวลาใช้สิทธิ์เข้ากับระบบการรับสิทธิ์ โดยให้พนักงานได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มหนึ่งเดือนสำหรับทุกเดือนที่ทำงาน ในกรณีนี้ พนักงานที่ลาออกหลังจากทำงานครบหนึ่งปีจะสามารถรอได้อีกหนึ่งปีก่อนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างนานในการรอดูเพื่อรับประโยชน์จากการเติบโตของสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น

เมื่อหลายปีก่อน บริษัทมหาชนขนาดใหญ่อย่าง Coinbase, Pinterestและ Square ได้เปลี่ยนนโยบายจากกรอบเวลาแบบดั้งเดิม 90 วัน มาเป็นระบบที่เริ่มจาก 90 วัน แต่ขยายเป็น 7 ปีเมื่อพนักงานทำงานครบ 2 ปี แม้บริษัทเหล่านี้จะเป็นผู้กำหนดแนวทางให้บริษัทเทคโนโลยีระยะหลังใช้เป็นแบบอย่างในการจัดการสิทธิ์ซื้อหุ้น แต่ในปัจจุบัน ประเด็นนี้แทบไม่สำคัญแล้ว เพราะบริษัทเหล่านี้แทบไม่ได้ออกสิทธิ์ซื้อหุ้นอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาเสนอหน่วยหุ้นแบบจำกัดแทน ซึ่งเป็นประเภทของการมอบหุ้นที่นิยมใช้ในบริษัทในระยะหลัง (โดยทั่วไปคือ Series C, D และหลังจากนั้น)

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีทางออกเดียวที่ใช้ได้กับทุกคนสำหรับช่วงเวลาการใช้สิทธิ์หลังยุติการจ้างงาน เพราะสถานะทางการเงินของพนักงานแต่ละคนแตกต่างกัน ทางออกที่ง่ายที่สุดคือการใช้กรอบเวลา 30-90 วันกับพนักงานทุกคน และอนุญาตให้ยกเว้นเป็นกรณีเฉพาะ ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหาร หากพนักงานต้องการเวลารวบรวมเงินมาใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นมากกว่านี้

เป้าหมายของคุณควรเป็นการรักษาความเป็นธรรมอยู่เสมอ พนักงานที่ลาออกไปแล้วไม่ควรได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษเหนือพนักงานที่ยังอยู่ สำหรับ Coinbase, Pinterest และ Square ความเป็นธรรมหมายถึงการให้รางวัลแก่พนักงานที่ทำงานมาอย่างน้อย 2 ปี สำหรับสตาร์ทอัพระดับกลางที่มีพนักงานจำนวนมากและมีเงินเดือนค่อนข้างต่ำ (เช่น บริษัทด้านบริการที่มีพนักงานระดับต้นจำนวนมาก) ความเป็นธรรมอาจหมายถึงการให้เวลาในการใช้สิทธิ์เพิ่มหนึ่งเดือนสำหรับทุกเดือนที่ทำงาน และสำหรับสตาร์ทอัพที่เพิ่งก่อตั้งได้ประมาณหนึ่งปี ความเป็นธรรมอาจหมายถึงการจำกัดกรอบเวลาให้แคบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพนักงานที่ยังทำงานอยู่

กรอบเวลา 30-90 วันที่เสนอพร้อมความยืดหยุ่นในการขยายเวลาอาจสร้างความยุ่งยากในการบริหารจัดการเล็กน้อย เนื่องจากการขยายเวลามักจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหาร แต่ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือทางออกที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ในสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น เพราะ (1) พนักงานปัจจุบันสามารถสบายใจได้ว่า อดีตพนักงานที่ยังถือสิทธิ์ซื้อหุ้นจะไม่ทำให้สัดส่วนหุ้นของตนลดลง (2) อดีตพนักงานต้องตัดสินใจว่าจะใช้สิทธิ์หรือไม่ โดยสามารถขอยกเว้นได้เฉพาะกรณีที่มีปัญหาทางการเงิน และ (3) คุณในฐานะผู้ก่อตั้งสามารถเสริมสร้างความเชื่อมั่นทั่วทั้งองค์กร

พนักงานควรได้รับสิทธิ์ในหุ้นของตนอย่างไรและเมื่อใด

การตัดสินใจครั้งสำคัญลำดับถัดไปเมื่อบริษัทมอบหุ้นให้พนักงานคือเรื่องของการได้รับสิทธิ์ หรือการกำหนดว่าพนักงานจะได้รับสิทธิ์ในหุ้นของตนภายใต้ระบบใดเมื่อเวลาผ่านไป

เป้าหมาย 3 ประการของการได้รับสิทธิ์มีดังนี้

  • เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในการจ้างงาน

  • รักษาความเป็นธรรมเมื่อพนักงานลาออกก่อนกำหนด

  • สร้างแรงจูงใจและรักษาผู้มีความสามารถให้อยู่กับบริษัท

การให้สิทธิ์เพื่อการแข่งขัน

การมีระบบการให้สิทธิ์ในหุ้นเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันด้านการจ้างงาน บริษัทที่ให้สิทธิ์ในหุ้นแก่พนักงานตั้งแต่เนิ่นๆ จะสร้างแรงจูงใจให้คนอยากมาทำงานมากขึ้น เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่พนักงานจะลาออกหรือถูกไล่ออกก่อนที่จะมีสิทธิ์ในหุ้นที่ได้รับ

ตัวอย่างเช่น บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Lyft ได้เปลี่ยนมาใช้กำหนดการให้สิทธิ์หนึ่งปีเพื่อเร่งการจ่ายผลตอบแทนหุ้นให้พนักงานเร็วขึ้น แม้ว่านี่จะเป็นจุดขายที่น่าสนใจสำหรับบริษัทมหาชน เพราะสามารถเสนอสภาพคล่องที่ได้รับเร็วขึ้นให้กับผู้สมัครงาน แต่การเร่งการให้สิทธิ์เร็วขึ้นก็มีข้อเสียเช่นกัน การเร่งการให้สิทธิ์สำหรับพนักงานโดยทั่วไปมักหมายถึงจำนวนหุ้นที่ให้ต่อคนจะน้อยลง และจะเพิ่มภาระด้านการบริหารจัดการอย่างมาก แทนที่จะให้หุ้นจำนวนมากที่ค่อยๆ ให้สิทธิ์ในช่วงเวลา 4 ปี บริษัทที่เลือกใช้กำหนดการให้สิทธิ์แบบ 1 ปีจะต้องตัดสินใจและออกหุ้นให้ใหม่ทุกปีในจำนวนที่น้อยกว่า

ในระยะเริ่มต้น การทำระบบการให้สิทธิ์ที่ซับซ้อนเกินถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย เพราะผู้ก่อตั้งต้องเป็นคนอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงเลือกใช้วิธีที่ไม่เป็นมาตรฐานในระหว่างการรับสมัคร การใช้กฎนี้มีข้อยกเว้นสำหรับบทบาทผู้บริหารระดับสูง หากคุณกำลังรับตำแหน่งในระดับ C-suite เช่น COO, CFO หรือผู้ร่วมก่อตั้ง การใช้เวลาเสนอกำหนดเวลาให้สิทธิ์ที่เหมาะกับผู้สมัครอาจเป็นวิธีที่คุ้มค่า ให้คิดว่าการใช้เวลาส่วนนี้เป็นแบบปรับตามความสำคัญ คือใช้เวลาและพลังมากขึ้น (รวมถึงวิเคราะห์การให้สิทธิ์โดยละเอียด) กับผู้สมัครที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ

สำหรับพนักงานส่วนใหญ่ของสตาร์ทอัพหลายแห่ง การใช้มาตรฐานร่วมกันหรือทำตามแนวทางทั่วไปจะเป็นประโยชน์มากกว่า อย่าลืมว่าการให้หุ้นตอบแทนจะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ที่ได้รับเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหุ้นทำงานอย่างไร และทำไมจึงมีคุณค่าต่อค่าตอบแทนของพวกเขา โดยทั่วไปแล้ว พนักงานสตาร์ทอัพจะคุ้นเคยกับระบบการให้สิทธิ์ในหุ้น 4 ปีที่มีระยะเวลารอ 1 ปีอยู่แล้ว และการลดความซับซ้อนหรือความไม่แน่นอนในการทำความเข้าใจโครงสร้างค่าตอบแทน จะช่วยให้พนักงานเห็นคุณค่าที่แท้จริงของหุ้นที่บริษัทมอบให้

พนักงานที่ลาออกก่อนกำหนด

อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการให้สิทธิ์ในหุ้นคือการกำหนดวิธีปฏิบัติต่อพนักงานที่ลาออกเร็ว การปล่อยให้พนักงานได้รับผลประโยชน์จากการทำงานของทุกคนในบริษัททั้งที่ตนทำงานเพียง 2 เดือน ถือว่าไม่ยุติธรรมต่อคนอื่นๆ ในทีมของคุณ

สถานการณ์แบบนี้ทำให้มีการกำหนด "การรอ" ได้รับสิทธิ์ขึ้นมา ซึ่งหมายความว่าพนักงานจะยังไม่ได้สิทธิ์ในหุ้นใดๆ จนกว่าจะทำงานครบระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปคือ 1 ปี สำหรับกำหนดเวลาให้สิทธิ์ระยะเวลา 4 ปี หมายความว่าพนักงานจะได้รับสิทธิ์ในหุ้น 25% เมื่อทำงานครบ 1 ปี

สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ใช้ระบบรอ 1 ปีเหมือนกันแทบทุกแห่ง และพนักงานในตลาดแรงงานก็เข้าใจดีว่าการได้รับหุ้นของสตาร์ทอัพนั้นมาพร้อมกับข้อผูกพันนี้ แต่ในบางกรณี เช่น พนักงานระดับสูงที่ตัดสินใจลาออกไปสร้างบริษัทของตัวเองหลังทำงานมา 11 เดือน คุณสามารถใช้ดุลยพินิจให้ได้รับสิทธิ์เร็วกว่าปกติเพื่อให้บุคคลดังกล่าวได้รับสิทธิ์ของตนได้แล้วแต่กรณี

คุณควรใช้ดุลยพินิจในฐานะผู้นำของบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ การมอบหุ้นนั้นมีความยืดหยุ่นมาก ให้เริ่มจากมาตรฐานทั่วไปก่อน แล้วค่อยใช้ดุลยพินิจของคุณอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับพนักงานแต่ละคน นี่คือข้อได้เปรียบเฉพาะตัวของบริษัทระยะเริ่มต้นในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น การพูดคุยในเรื่องนี้จะเปลี่ยนไปตามความต้องการของบริษัทและพนักงาน แต่สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นให้ถูกต้องตั้งแต่แรกในเรื่องค่าตอบแทนในรูปแบบหุ้น

สร้างแรงจูงใจและรักษาผู้มีความสามารถให้อยู่กับบริษัท

การให้สิทธิ์ได้รับการออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้พนักงานมุ่งมั่นทำงานอย่างต่อเนื่องด้วย การให้สิทธิ์แบบดั้งเดิมที่ใช้ระยะเวลา 4 ปีจะให้พนักงานได้รับสิทธิ์ในหุ้นของตน 25% ต่อปี ซึ่งเท่ากับให้แรงจูงใจในระดับเท่ากันตลอดสี่ปี แต่กำหนดเวลาแบบดั้งเดิมนี้มีข้อโต้แย้งคือ ในช่วงปีที่ 3-4 ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานมีความรู้และศักยภาพสูงสุด กลับไม่มีแรงจูงใจเพิ่มเติมให้ทำงานหนักขึ้นกว่าช่วงสองปีแรก

เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทต่างๆ เช่น Amazon และ Snapchat จึงเริ่มใช้กำหนดเวลาให้สิทธิ์แบบถ่วงน้ำหนัก ซึ่งหมายความว่าพนักงานจะได้รับสิทธิ์ในหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้นในช่วงปีหลังๆ ตัวอย่างเช่น

Sample back-weighted vesting schedule

แม้ว่าวิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาในการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานได้ดี แต่ยังไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นกลยุทธ์สรรหาบุคลากร ตามกำหนดเวลาให้สิทธิ์แบบดั้งเดิม 4 ปี พนักงานจะได้รับสิทธิ์ในหุ้นของตน 50% ในปีที่สอง ในขณะที่กำหนดเวลาให้สิทธิ์แบบถ่วงน้ำหนัก พนักงานจะได้รับสิทธิ์เพียง 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน

สำหรับสตาร์ทอัพหน้าใหม่ แผนนี้เป็นปัจจัยลบที่ทำให้สรรหาบุคลากรได้ยากขึ้น เพราะไม่มีหลักประกันว่าสตาร์ทอัพจะไม่ถูกขายก่อนครบระยะเวลาให้สิทธิ์ ซึ่งในกรณีนั้น พนักงานจะเสียที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ไปทันที ซึ่งต่างจากบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Amazon หรือ Snapchat ที่ไม่มีความเสี่ยงนี้ เพราะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีหุ้นสภาพคล่องสูง

วิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหานี้ในระยะเริ่มต้น คือการมอบหุ้นแก่พนักงานที่มีศักยภาพสูงหรือมีผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ให้มอบหุ้นแก่พนักงานแถวหน้าทุกๆ 6 ถึง 12 เดือนแทนที่จะให้ครั้งเดียวตอนรับเข้าทำงาน เพื่อให้พนักงานกลุ่มนี้ได้สิทธิ์ในหุ้นหลายก้อนพร้อมกัน วิธีนี้ช่วยให้พนักงานที่มีผลงานดีได้รับหุ้นเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ขณะเดียวกันก็ช่วยให้บริษัทคงความสามารถในการแข่งขันในการจ้างงาน

กำหนดเวลาให้สิทธิ์นี้ยังเป็นคำตอบที่ได้ผลที่สุด เพราะในช่วงสรรหา คุณไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าพนักงานคนใดจะกลายเป็นคุณเก่งที่สุด และการให้รางวัลตามผลงานก็เป็นแรงจูงใจที่ดีกว่าการให้รางวัลกับคนที่เพียงแค่สัมภาษณ์เก่งหรือมีเรซูเม่สวย

สตาร์ทอัพสามารถมอบหุ้นด้วยวิธีใดบ้าง

บริษัทเกิดใหม่สามารถมอบหุ้นได้ 2 วิธี คือ มอบหุ้น หรือมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น หุ้นคือความเป็นเจ้าของโดยตรงในบริษัท ในขณะที่สิทธิ์ซื้อหุ้นให้ทางเลือกแก่พนักงานในการซื้อหุ้นในบริษัท

ทั้งสองกรณี พนักงานจะได้รับหุ้นเมื่อเวลาผ่านไป โดยขึ้นอยู่กับกำหนดเวลาให้สิทธิ์ในหุ้นที่กำหนดไว้ ซึ่งในกรณีของหุ้น จะถือว่าพนักงานเป็นเจ้าของหุ้นทันทีเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี แต่ในกรณีของสิทธิ์ซื้อหุ้น พนักงานจะยังไม่ต้องเสียภาษีใดๆ จนกว่าจะตัดสินใจใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น

ความแตกต่างในทางปฏิบัติสำหรับพนักงานคือ ในกรณีของหุ้น พนักงานจะต้องจ่ายภาษีสำหรับหุ้นนั้นเมื่อได้รับสิทธิ์ ในขณะที่สิทธิ์ซื้อหุ้นไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนล่วงหน้าใดๆ และให้พนักงานเลือกเองว่าจะลงทุนในบริษัทหรือไม่โดยการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น

หุ้นมาพร้อมกับความยุ่งยากในการบริหารจัดการสองประการ ประการแรกจะต้องช่วยพนักงานยื่นแบบฟอร์ม 83(b) กับ IRS ซึ่งเป็นแบบฟอร์มที่ช่วยลดภาระภาษีของพนักงานโดยอนุญาตให้จ่ายภาษีล่วงหน้าในอัตราที่คาดว่าจะต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการเสียภาษีตามมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ภาระในการบริหารจัดการประการที่สองคือการซื้อหุ้นคืนจากพนักงาน เมื่อพนักงานคนดังกล่าวออกจากบริษัทก่อนที่จะได้รับสิทธิ์

แบบฟอร์ม 83(b) นั้นซับซ้อนแต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้พนักงานประหยัดภาษีได้เป็นจำนวนมาก โดยทั่วไป เหตุผลหลักที่การมอบหุ้นคุ้มค่ากว่าการมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น ก็เพราะมีการยื่นแบบฟอร์ม 83(b) แต่ถ้าหากไม่ยื่นแบบฟอร์มภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับหุ้น ผลลัพธ์ทางภาษีจะแย่กว่าการให้สิทธิ์ซื้อหุ้น สมมติว่าพนักงานได้รับหุ้นจำนวน 48,000 หุ้น โดยแต่ละหุ้นมีมูลค่า $1 หากยื่นแบบฟอร์ม 83(b) พนักงานจะต้องจ่ายภาษีสำหรับหุ้น $48,000 ในวันที่ยื่น ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ $16,000 หากไม่ได้ยื่นแบบฟอร์ม 83(b) พนักงานจะต้องจ่ายภาษีทุกครั้งที่ได้รับสิทธิ์ในหุ้น โดยคิดตามราคาหุ้น ณ เวลาที่ได้รับสิทธิ์ แม้ว่าหุ้นในวันนี้จะมีมูลค่า $1 ดอลลาร์ ก็อาจมีมูลค่า $5 ดอลลาร์ในอีกหนึ่งปีต่อมา และ $10 ดอลลาร์ในอีกสองปีต่อมา พนักงานจะต้องจ่ายภาษีตามราคาเมื่อได้รับสิทธิ์ในหุ้นนั้น ซึ่งหมายความว่าราคาหุ้นยิ่งสูง ภาษีก็จะยิ่งเพิ่มตามไปด้วย

นอกจากนี้ เมื่อพนักงานลาออก สิทธิ์ซื้อหุ้นที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ แต่หากบริษัทมอบหุ้นโดยตรง บริษัทจะต้องซื้อหุ้นคืนจากพนักงานที่ลาออก ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็เพิ่มภาระด้านเอกสารและการบริหารจัดการที่สตาร์ทอัพอาจไม่ต้องเผชิญหากเลือกที่จะให้สิทธิ์ซื้อหุ้นแทน

แนวทางง่ายๆ ในการตัดสินว่าตัวเลือกใดเหมาะสำหรับพนักงานที่สุด คือให้พิจารณาว่าหุ้นนั้นจะมีราคาซื้อแพงแค่ไหน เมื่อราคาต่อหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดแล้ว มีมูลค่ามากกว่า $5,000-$10,000 บริษัทส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นแทนการมอบหุ้นโดยตรง ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากที่คุณระดมทุนรอบแรกไปแล้ว

ข้อควรทราบเกี่ยวกับสิทธิ์ซื้อหุ้น

แม้ว่าสิทธิ์ซื้อหุ้นโดยทั่วไปจะจัดการง่ายกว่าหุ้น แต่มีสองประเด็นที่ผู้ก่อตั้งมักจะเลือกให้พนักงานของตนได้ไม่ดีนัก คือ (1) การเลือกประเภทของสิทธิ์ซื้อหุ้นที่จะทำให้พนักงานได้ผลลัพธ์ทางภาษีที่ดีที่สุด และประเด็นต่อมาที่เกี่ยวข้องคือ (2) การอนุญาตว่าจะให้พนักงานใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์หรือไม่

ทั้งสองประเด็นนี้ต้องมีการทำความเข้าใจว่าโดยทั่วไปแล้ว สิทธิ์ซื้อหุ้นจะถูกเก็บภาษีอย่างไร เมื่อพนักงานใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น (โดยมีข้อยกเว้นที่จะกล่าวถึงด้านล่าง) พนักงานจะถูกเก็บภาษีจากส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นปัจจุบันของบริษัทกับราคาที่พนักงานจ่ายเพื่อซื้อหุ้นของตน

ตัวอย่างเช่น หากพนักงานใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น 1,000 สิทธิ์ในราคา $1 ต่อสิทธิ์ (รวมเป็น $1,000) และราคาหุ้นปัจจุบันคือ $10 (ทำให้หุ้นมีมูลค่า $10,000) พนักงานจะถูกเก็บภาษีจาก $9,000 ในอัตราภาษีเงินได้ปกติของตน

นอกจากนี้ เมื่อบริษัทถูกขายหรือเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และพนักงานขายหุ้นของตน พนักงานจะถูกเก็บภาษีอีกครั้งจากกำไรที่ได้จากการลงทุนเป็นเจ้าของหุ้นนี้ ตามตัวอย่างข้างต้น หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $100 และพนักงานขายหุ้น พนักงานจะต้องเสียภาษีจากส่วนต่างราคาที่ได้ครอบครองหุ้น ($10) กับราคาที่ขายออก ($100) หากพนักงานถือหุ้นมานานเกินหนึ่งปี ก็จะถูกเก็บภาษีในอัตรากำไรจากการลงทุนในระยะยาวที่บังคับใช้ แต่ถ้าหากถือหุ้นเป็นเวลาน้อยกว่านั้น ก็จะต้องเสียในอัตราภาษีเงินได้ปกติ

ISO และ NSO แตกต่างกันอย่างไร

เมื่อให้สิทธิ์ซื้อหุ้น บริษัทต้องตัดสินใจว่าจะให้เป็น “สิทธิ์ซื้อหุ้นที่เป็นสิ่งจูงใจ” (ISO) หรือ “สิทธิ์ซื้อหุ้นที่ไม่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ” (NSO) โดย NSO เป็นสิทธิ์ซื้อหุ้นแบบดั้งเดิมและจะถูกเก็บภาษีตามที่อธิบายไว้ข้างต้น

ประโยชน์ของ ISO และ NSO คือทั้งคู่มีสิทธิ์ได้รับการเก็บภาษีในอัตรากำไรจากการลงทุนระยะยาวหากพนักงานถือหุ้นเป็นเวลาหนึ่งปี และเป็นเวลาสองปีนับจากวันที่ได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้น ISO มีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องเสียภาษีเมื่อใช้สิทธิ์ ส่วน NSO จะถูกเก็บภาษีในอัตราภาษีเงินได้ปกติจากส่วนต่างระหว่างราคาที่ใช้สิทธิ์กับมูลค่าตลาดที่เป็นธรรม (FMV) ของหุ้น ณ เวลานั้น

เนื่องจาก ISO มีข้อดีมาก IRS จึงกำหนดขีดจำกัดจำนวน ISO ที่พนักงานสามารถรับได้ ซึ่งจะต้องเท่ากับ $100,000 ของมูลค่าสิทธิ์ซื้อหุ้นที่สามารถใช้สิทธิ์ได้ภายในปีเดียว หากมีการละเมิดกฎนี้ จำนวน ISO ส่วนเกินจะถูกถือว่าเป็น NSO โดยอัตโนมัติเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี

ผู้ก่อตั้งมักทำผิดพลาดลักษณะนี้กับผู้บริหารยุคแรกเริ่ม โดยการให้สิทธิ์ซื้อหุ้นด้วยกำหนดเวลาให้สิทธิ์ที่ละเมิดกฎ $100,000 โดยไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากผู้ก่อตั้งต้องการให้สิทธิ์ซื้อหุ้นมูลค่า $300,000 แก่พนักงานยุคแรกเริ่ม ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ในหุ้นภายในสี่ปี พนักงานอาจคิดว่า นี่คือการได้รับสิทธิ์ที่กินเวลาสี่ปี ก็น่าจะเท่ากับว่ามีหุ้นเพียง $75,000 ที่ใช้สิทธิ์ได้ต่อปี ดังนั้นจึงไม่เกินเพดานของกฎ $100,000 ฟังแล้วดูเหมือนถูกต้อง แต่ในความเป็นจริงมักไม่เป็นเช่นนั้น ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้

  • 1 มกราคม: ผู้บริหารได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้น 300,000 หุ้นในราคาใช้สิทธิ์ $1 ต่อหุ้น พร้อมกำหนดเวลารับสิทธิ์ใน 4 ปีและรอ 1 ปี

  • 1 มกราคมในปีถัดไป: ได้รับสิทธิ์และสามารถใช้สิทธิ์ 25% แรกของหุ้นของผู้บริหารหรือ 75,000 สิทธิ์ได้ (รวม $75,000)

  • ในวันแรกของทุกเดือนหลังจากนั้น: จะได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้น 6,250 หุ้นและสามารถใช้สิทธิ์ได้ (รวม $6,250 ในแต่ละเดือน)

  • 1 พฤษภาคมของปีนั้น: จะได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้น 100,000 หุ้นและสามารถใช้สิทธิ์ได้สำหรับปีภาษีนั้น ซึ่งหมายความว่าสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มเติมใดๆ ที่มอบให้ในปีภาษีนั้นจะถูกจัดประเภทเป็น NSO แทนที่จะเป็น ISO โดยอัตโนมัติ

จังหวะเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะ IRS ทำงานโดยอิงตามปีภาษีและพนักงานที่ได้รับสิทธิ์ในหุ้นจำนวนมากอาจละเมิดกฎโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ผู้ก่อตั้งจะมีเจตนาดีก็ตาม ปัญหานี้จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเปิดให้มี “การใช้สิทธิ์ก่อนกำหนด”

การใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดคืออะไร

ตามธรรมเนียมแล้ว พนักงานสตาร์ทอัพสามารถใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นที่ได้รับสิทธิ์แล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สตาร์ทอัพหลายแห่งอนุญาตให้พนักงานใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ได้ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “การใช้สิทธิ์ก่อนกำหนด”

เมื่อมองเผินๆ การใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดอาจดูเหมือนชัยชนะสำหรับพนักงาน ยิ่งพนักงานใช้สิทธิ์เร็วเท่าใด หุ้นของพวกเขาก็จะเข้าเกณฑ์ภาษีกำไรจากการลงทุนได้เร็วขึ้น และส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นกับราคาใช้สิทธิ์จะยิ่งน้อย ทำให้ต้องจ่ายภาษีน้อยลง

หากพนักงานใช้สิทธิ์ NSO เมื่อราคาหุ้นเท่ากับราคาใช้สิทธิ์ ก็จะไม่ต้องจ่ายภาษีเลย ซึ่งให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับ ISO แต่จะได้ประโยชน์ก็ก็ต่อเมื่อพนักงานใช้สิทธิ์อย่างรวดเร็ว

ปัญหาของกลยุทธ์นี้คือ เป็นกลยุทธ์ที่บังคับให้พนักงานต้องเสี่ยงนำเงินก้อนใหญ่ไปจ่ายตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงเวลาที่ทำงานที่บริษัทเพื่อแลกกับประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งที่ในตอนนั้นยังไม่มีข้อมูลใดๆ บ่งชี้ว่าบริษัทมีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จหรือไม่นอกจากนี้ การที่บริษัทอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นได้ทั้งหมดตั้งแต่วันแรก อาจทำให้สิทธิ์การซื้อหุ้นที่มูลค่าเกิน $100,000 (แม้ว่าจะได้รับสิทธิ์ในระยะเวลาสี่ปี) ละเมิดกฎ ISO โดยอัตโนมัติ และส่วนที่เกินจะถูกจัดเป็น NSO แทน

การใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดเหมาะสำหรับพนักงานที่เชื่อมั่นในบริษัท และมีเงินทุนมากพอที่จะใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นโดยไม่เดือดร้อน แต่ไม่เหมาะสำหรับพนักงานที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือมีสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำ หากพนักงานเชื่อมั่นในบริษัทของตน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดเพื่อให้มีแรงจูงใจที่จะทำงานหนักให้กับบริษัท เพราะเขาเชื่ออยู่แล้วว่าบริษัทจะเติบโตก้าวหน้าได้จริง

แนวทางแก้ไขที่แนะนำคือ ให้ปรับการใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดให้เหมาะสมเป็นรายบุคคล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางภาษีที่ดีที่สุดสำหรับพนักงานแต่ละคน พนักงานที่เพิ่งจบการศึกษาและยังมีภาระหนี้การศึกษา อาจไม่สามารถใช้สิทธิ์ในหุ้นมูลค่า $100,000 ได้ทันที และอาจได้รับประโยชน์มากกว่า หากใช้กำหนดการให้สิทธิ์และการใช้สิทธิ์แบบปกติในช่วง 4 ปี ผู้บริหารระดับสูงที่มีเงินสดเหลือใช้ อาจต้องการมีส่วนร่วมเต็มที่และเลือกใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นทั้งหมดโดยเร็วเพื่อให้ได้ผลทางภาษีที่ดีที่สุด หรือในทางกลับกัน แม้จะมีเงินเพียงพอ แต่ก็อาจจะยังไม่พร้อมที่จะนำเงินมาใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นในตอนนี้ และต้องการรักษาผลประโยชน์ของ ISO ไว้มากกว่า

บทสรุปเกี่ยวกับหุ้นของพนักงาน

การจ่ายค่าตอบแทนด้วยหุ้นอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับผู้ก่อตั้ง เพราะมีความซับซ้อนทั้งในแง่กฎหมายและภาษี ซึ่งผู้ก่อตั้งต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะสามารถอธิบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ผู้ก่อตั้งต้องให้ความรู้ทั้งแก่ตนเองและพนักงาน เพราะพนักงานแทบจะไม่มีวันเข้าใจโครงสร้างกลไกของหุ้นได้ลึกเท่าผู้ก่อตั้ง แต่ในกรณีที่บริษัทประสบความสำเร็จ พนักงานเหล่านั้นก็จะต้องพึ่งพาผู้ก่อตั้งอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้

เป้าหมายของระบบค่าตอบแทนในรูปแบบหุ้น คือการทำให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และเกิดความยุติธรรมอย่างแท้จริง ค่าตอบแทนเป็นเงินสดนั้นสามารถคาดเดาได้ง่าย เพราะเป็นตัวเลขที่เข้าใจจัดการได้ง่าย แต่ค่าตอบแทนในรูปแบบหุ้นกลับเป็นเรื่องที่เข้าใจยากและคลุมเครือ พนักงานต้องประเมินเองว่าหุ้นเหล่านี้มีมูลค่าจริงเท่าใดหลังหักภาษีแล้ว ซึ่งเป็นการคำนวณที่ซับซ้อนและมักเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในกรณีของหุ้น วิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ก่อตั้งคือ จะต้องรับประกันว่าพนักงานจะไม่ถูกโกงหรือเสียสิทธิ์ในค่าตอบแทนที่เคยสัญญาไว้ ให้ปฏิบัติต่อพนักงานของคุณอย่างถูกต้อง แล้วพวกเขาจะทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับคุณ

จากประสบการณ์ที่เราได้ช่วยบริษัทหลายพันแห่งวางแผนการถือหุ้น นี่คือชุดคำแนะนำที่สรุปอย่างกระชับสำหรับสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น ตั้งแต่ช่วงก่อตั้งบริษัทไปจนถึงรอบระดมทุน Series A แนวทางเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อบริษัทของคุณเติบโตขึ้น แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่มอบเครื่องมือสำคัญให้คุณใช้ตัดสินใจให้กับพนักงานรุ่นแรกๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สำคัญที่สุดของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง

ก่อนการระดมทุน

  • มอบหุ้นให้กับพนักงานและให้พนักงานยื่นแบบฟอร์ม 83 (b) ภายในกรอบเวลา 30 วัน

  • ใช้กำหนดเวลารับสิทธิ์ 4 ปีแบบดั้งเดิม พร้อมระยะเวลารอ 1 ปี เนื่องจากการใช้เวลาและพลังงานไปกับการคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ ไม่ใช่ภารกิจสำคัญในขั้นตอนนี้

หลังการระดมทุน

  • ให้สิทธิ์ซื้อหุ้น

  • ใช้กำหนดเวลารับสิทธิ์ 4 ปีแบบดั้งเดิม พร้อมระยะเวลารอ 1 ปี เพื่อรักษาความยุติธรรม และลดข้อสงสัยจากผู้สมัครงานในขั้นตอนการรับสมัคร

  • สำหรับพนักงานที่ได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นมูลค่าเกิน $100,000:

    • ให้ถามพนักงานว่าต้องการใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดหรือไม่
    • หากพนักงานตอบตกลง ให้มอบ NSO และตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานใช้สิทธิ์จริง
    • หากพนักงานปฏิเสธ ให้มอบ ISO และทำงานร่วมกับที่ปรึกษาเพื่อปรับกำหนดเวลาให้สิทธิ์หรือการใช้สิทธิ์ให้เป็นไปตามกฎ $100,000
  • สำหรับพนักงานที่ได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นมูลค่าน้อยกว่า $100,000:

    • ให้ถามพนักงานว่าต้องการใช้สิทธิ์ก่อนกำหนดหรือไม่
    • หากพนักงานตอบตกลง ให้มอบ NSO และตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานใช้สิทธิ์จริง
    • หากพนักงานปฏิเสธ ให้มอบ ISO

สตาร์ทอัพส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จด้วยการทำตามสูตรนี้ แต่คุณจะพบว่าบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งพยายามขยายขอบเขตของรูปแบบแพ็กเกจหุ้น เช่น เสนอสินเชื่อเชื่อมโยงกับหุ้นแทนสิทธิ์ซื้อหุ้น หรือใช้กำหนดเวลารอเพียง 1 ปี ขอให้ยึดมั่นในแนวทางของคุณเอง นวัตกรรมส่วนใหญ่ในวงการนี้มักเริ่มเมื่อบริษัทอยู่ในระยะท้ายๆ หรือเป็นบริษัทมหาชนแล้ว เพราะบริษัทเหล่านี้มีทรัพยากรมากพอที่จะรองรับต้นทุนด้านการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น เมื่อบริษัทของคุณเติบโตขึ้น คุณจะอยู่ในจุดที่สามารถสร้างสรรค์และมองการณ์ไกลได้มากขึ้นเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนของพนักงาน

ใช้คู่มือนี้เพื่อช่วยวางรากฐานให้กับทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตั้งแต่เนิ่นๆ และใช้เป็นกรอบคิดในการชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนทางการเงินและภาระด้านการบริหารจัดการที่คุณต้องตัดสินใจให้กับพนักงานของคุณเมื่อบริษัทขยายตัว หากคุณต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมและลงมือปฏิบัติจริง ขอแนะนำให้ลองใช้ Pulley คุณสามารถ กำหนดเวลากับผู้เชี่ยวชาญด้านตารางแสดงสัดส่วนการถือหุ้นของเราได้ หากคุณต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีจัดการหุ้นของพนักงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

คู่มือนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์และไม่ถือเป็นการให้คำแนะนำด้านกฎหมายหรือภาษี คำแนะนำ การไกล่เกลี่ย หรือการให้คำปรึกษาภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม คู่มือนี้และการที่คุณใช้คู่มือนี้ไม่ได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบทนายความกับลูกความกับ Stripe หรือกับ Pulley โดยคู่มือนี้เป็นเพียงความคิดของผู้เขียนเท่านั้น และไม่ได้รับรองและสะท้อนถึงความเชื่อของ Stripe เสมอไป ทั้งนี้ Stripe ไม่รับประกันหรือรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในคู่มือนี้ คุณควรขอคำแนะนำจากทนายความผู้เชี่ยวชาญหรือนักบัญชีที่มีใบอนุญาตดำเนินงานในเขตอำนาจศาลของคุณสำหรับปัญหาที่คุณพบเจอโดยเฉพาะ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Payments

Payments

รับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกด้วยโซลูชันการชำระเงินที่สร้างมาสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Stripe Docs เกี่ยวกับ Payments

ค้นหาคู่มือเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ Payments API ของ Stripe