ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความกดดันของผู้ก่อตั้งธุรกิจใหม่ยิ่งหนักกว่าเดิม คู่มือนี้จึงให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับการจัดการความเครียดด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งตอนนี้ยิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการมากขึ้นไปอีก
ก่อนที่ฉันจะมาเป็นนักจิตวิทยาคลินิก ฉันเคยเป็นนักกรีฑาดาวเด่นของโรงเรียนมัธยมในเมืองเล็กๆ มาก่อน งานที่ฉันชอบที่สุดคือวิ่งระยะสั้น ซึ่งแทบไม่มีอะไรซับซ้อนนอกจากการออกตัวให้ดี แค่เริ่มวิ่ง อย่าหยุด อย่าชะลอ ลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่การวิ่ง 400 เมตร (หนึ่งรอบสนาม ประมาณ 400 เมตร) เป็นอีกกีฬาหนึ่งที่ต่างออกไป เพราะคราวนี้ต้องมีแผน ต้องรู้ว่าช่วงไหนควรผ่อนแรง และช่วงไหนต้องเร่งสุดกำลัง
ครั้งแรกที่ฉันวิ่ง 400 เมตร คือฉันวิ่งเหมือนมีสิงโตไล่ตามหลังมา
แล้วสิ่งแปลกๆ ก็เกิดขึ้นประมาณ 75 เมตรก่อนถึงเส้นชัย เพราะท่าวิ่งเริ่มเสีย ขาที่เคยแข็งแรงเหมือนกลายเป็นของหนักที่ไร้แรง แขนแกว่งไปมาแบบบิดข้ามลำตัว ฉันหายใจแทบไม่ออก สุดท้ายก็วิ่งสะดุดเข้าเส้นชัย ก้มตัว แล้วก็อาเจียนออกมาเต็มลู่วิ่ง
การอ้วกต่อหน้าคนดูเต็มอัฒจันทร์ ไม่ใช่โมเมนต์ที่น่าภูมิใจเลย
ฉันเคยชินกับความเร็วและความเข้มข้นของการแข่งขันนะ แต่ไม่เคยชินกับการวิ่งเร็วขนาดนั้นนานๆ ฉันเลยได้บทเรียนโดยแลกกับการเจ็บตัวว่า ถ้าไม่มีแผนจัดจังหวะที่ดี ผลลัพธ์คือหายนะแน่นอน
เราควรหยุดมองธุรกิจเหมือนการวิ่งระยะสั้น ลุยให้เร็วได้นะ แต่ต้องไม่ทำให้ตัวเองพัง
ทำงานอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ทำงานหนัก
คุณต้องมีกลยุทธ์ในการรับมือกับความต้องการมหาศาลของการเริ่มต้นธุรกิจ
ฉันมั่นใจว่าคุณเคยทำงานหนักมาก่อน คุณรู้ว่าการหักโหมคืออะไร คุณรู้ว่าการทำงานยาวๆ แบบไม่หยุดพักเป็นยังไง คุณน่าจะเริ่มธุรกิจเพราะคุณมีประสบการณ์ในการโฟกัสกับปัญหาอย่างจริงจังจนหาทางออกได้ คุณเรียนรู้ที่จะเชี่ยวชาญในงานหรือสายที่คุณทำ และคุณก็รู้แล้วว่าคุณมีสินค้า หรือบริการที่คนต้องการจริงๆ
ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ คุณคือปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าธุรกิจจะสำเร็จหรือไม่ คุณคือศูนย์กลางที่ทุกอย่างหมุนรอบตัวคุณ ทั้งความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการสื่อสาร ระดับสมาธิ ความอดทน ความเชี่ยวชาญ ความสามารถในการแก้ปัญหา ทักษะการตัดสินใจ และเครือข่ายมืออาชีพ ซึ่งคุณต้องใช้ทั้งหมดนี้ แต่แค่มีมันยังไม่พอที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้
คุณมีแรงผลักดัน มีประสบการณ์ และมีความมุ่งมั่นในการแข่งขันสูง แต่สิ่งที่คุณต้องการเพิ่มคือ การฝึกและการโค้ชเรื่องจังหวะการทำงาน เหมือนที่ฉันเคยทำ
ความเครียด: ทั้งช่วยชีวิตและทำร้ายชีวิต
การเริ่มต้นทำธุรกิจนี่เครียดสุดๆ
ความรู้สึกเครียดถือเป็นเรื่องปกติ เพราะมันคือปฏิกิริยาธรรมชาติเมื่อเรากำลังทำสิ่งที่ทั้งยากและสำคัญมาก ทุกอย่างเดิมพันสูง การตัดสินใจต้องแม่นยำ การเลือกคนที่ไว้ใจได้ก็สำคัญสุดๆ ต้องสร้างฐานลูกค้า สื่อสารแบรนด์และคุณค่าให้ชัดเจน คุมงบประมาณ ขยายเครือข่าย หาคนมาช่วยงาน หรือจ้างพนักงานคนแรก ทุกเรื่องพวกนี้มักจะทำให้รู้สึกเครียดเพราะมันสำคัญจริงๆ ความเครียดกับแรงจูงใจมักจะมาคู่กัน สิ่งที่ทำให้เราเครียดก็คือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญมากที่สุด ความเครียดที่เรารู้สึกเป็นเหมือนสัญญาณเตือนในใจที่บอกว่า "อย่าลืมนะ ตั้งใจคิดให้รอบคอบ..."
จริงๆ แล้ว ความเครียดมักเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้เราตื่นตัวและพร้อมลุยตลอดเวลา
ร่างกายของเราถูกสร้างมาเพื่อรับมือกับความเครียด กลไกว่าจะ "สู้หรือหนี" จะทำงานทันที ลองนึกภาพว่าคุณเจอหมีในป่า คุณจะวิ่งหนี หรือคว้ากิ่งไม้สู้กับมัน ทันทีที่เห็นหมี หัวใจคุณจะเต้นแรงขึ้น หายใจเร็วขึ้น กล้ามเนื้อเกร็ง ระบบย่อยอาหารและการทำงานที่ไม่จำเป็นจะชะลอหรือหยุดไปเลย เลือดจะถูกส่งไปที่แขนขาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ ประสาทสัมผัสจะไวขึ้น ร่างกายพร้อมตอบสนองเต็มที่ ปฏิกิริยาความเครียดแบบนี้ สามารถช่วยให้คุณรอดชีวิตได้จริงๆ
เมื่อหมีในชีวิตจริงคือเดดไลน์ที่กระชั้นชิดมากๆ งานพรีเซนต์ที่ชี้เป็นชี้ตาย หรือการตัดสินใจยากๆ กลไกสู้หรือหนีตามธรรมชาติจะช่วยให้เราตอบสนองได้เร็วและเฉียบคมขึ้น ไม่ใช่เพราะเราฝืนความเครียด แต่เพราะร่างกายเรามีความสามารถโดยธรรมชาติที่จะรับมือกับมัน เราถึงทำงานได้ทันเดดไลน์ พรีเซนต์ได้เป๊ะ และตัดสินใจได้ถูกต้อง กฎของ Yerkes-Dodson มาจากงานวิจัยทางจิตวิทยาคลาสสิกหลายชุด ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับประสิทธิภาพ ผลลัพธ์โดยรวมคือ "ความเครียดในระดับที่พอดี" หรือจุดสมดุลที่เหมาะสม จะช่วยให้เราทำงานได้ดีที่สุด
ความเครียดมันช่วยเราได้นะ
แล้วทำไมคนถึงมองว่าความเครียดเป็นเรื่องที่แย่เสมอไปล่ะ
ความเครียดจะเปลี่ยนจากกลไกช่วยชีวิตไปเป็นกลไกทำร้ายชีวิต ก็ต่อเมื่อมันเปลี่ยนจากแบบเฉียบพลันไปเป็นแบบเรื้อรัง ความเครียดระยะสั้นที่มีเวลาจำกัด (อย่างการเจอหมี หรือการพรีเซนต์งานสำคัญ) ในทางจิตวิทยาเรียกว่า ความเครียดเฉียบพลัน (acute stress) ซึ่งมันช่วยให้เราทำงานได้ดีที่สุด ลุยปัญหาแบบตรงๆ วิ่งได้เร็วขึ้น โฟกัสดีขึ้น คิดสิ่งที่สร้างสรรค์ได้มากขึ้น และทำสิ่งที่ต้องทำได้อย่างแม่นยำ ร่างกายเราถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับความเครียดแบบเฉียบพลัน ระบบต่างๆ ในร่างกายจะทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับมัน ร่างกายรู้ว่าต้องทำอะไร และที่สำคัญกว่านั้น ร่างกายรู้ว่าต้องหยุดเมื่อถึงเวลา
การพรีเซนต์งาน การประชุมบอร์ด การตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น แล้วร่างกายเราก็พร้อมรับมือกับมัน เราก็ทำมันจนเสร็จ แล้วทุกอย่างก็จบ
เมื่อความเครียดหายไป ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะทำงาน หัวใจจะกลับมาเต้นตามปกติ กล้ามเนื้อคลายตัว เลือดไหลกลับไปเลี้ยงสมอง ระบบย่อยอาหารกลับมาทำงาน ชีวิตก็ดำเนินต่อไป
ความเครียดเฉียบพลันจะช่วยปกป้องเราตอนที่รู้สึกถึงภัยคุกคาม
แต่ถ้าเราต้องเจอความเครียดเฉียบพลันนานๆ จนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง จะกลายเป็นว่าเรากำลังบังคับร่างกายให้ทำสิ่งที่มันไม่ได้ถูกออกแบบมา ความเครียดเรื้อรังสามารถทำลายร่างกายเราได้จริงๆ และมีผลเสียต่อสุขภาพแบบรุนแรงและยาวนาน งานวิจัยพบว่าความเครียดเรื้อรังเชื่อมโยงกับแทบทุกโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน เบาหวาน ลำไส้แปรปรวน โรคโครห์น หอบหืด ไมเกรน ปัญหาทางเดินอาหาร โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง อัลไซเมอร์ มะเร็ง ฯลฯ ปัญหาที่เริ่มจาก "ซอฟต์แวร์" สามารถกลายเป็นปัญหา "ฮาร์ดแวร์" ได้เลย
นอกจากนี้ ความเครียดเรื้อรังยังทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์รุนแรงอีกด้วย ถ้าเราไม่จัดการกับมัน ความเครียดเรื้อรังจะกลายเป็นความวิตกกังวล การต่อสู้ภายในที่ยืดเยื้อกับความกลัวและความคิดลบที่ทำร้ายตัวเอง ความเครียดเรื้อรังไม่ช่วยให้ใครเป็นผู้ประกอบการ ผู้จัดการ หรือคู่ชีวิตที่ดีเลย คนที่เผชิญกับมันต้องพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมตัวเองและความเครียด ผลลัพธ์คือคนที่วิตกกังวลมักจะหุนหันพลันแล่น โมโหง่าย อารมณ์เสีย และตัดสินใจผิดพลาด บางคนอาจหาทางรับมือด้วยการดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด
ในฐานะเจ้าของธุรกิจ ความเครียดเรื้อรังคือความเสี่ยงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ต้องเจอความเครียดทั่วไปในชีวิตของมนุษย์ แต่ยังต้องแบกรับน้ำหนักของธุรกิจไว้บนบ่า มีเดดไลน์ตลอดเวลา มีการตัดสินใจที่ต้องทำ มีงานพรีเซนต์หรือประชุม มีลูกค้าหรือผู้รับเหมาที่ต้องรับมือ คุณไม่สามารถหนีความเครียดได้เลย โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นคนที่คนที่ต้องบริหารบริษัท ดังนั้นต้องหาวิธีจัดจังหวะให้ตัวเอง
การรับมือกับความเครียดเรื้อรัง
การรับมือกับความเครียดเรื้อรังคือการหาวิธีที่ช่วยให้วิ่งเร็วและวิ่งได้นาน โดยไม่ถึงขั้นล้มกลางทางต่อหน้าคนอื่น ไม่มีสูตรสำเร็จเดียวสำหรับการจัดการชีวิตของคุณ แต่ฉันจะให้คำแนะนำที่อิงจากงานวิจัย คุณต้องปรับให้เหมาะกับตัวเองเพื่อสร้างแผนจัดการความเครียดที่ใช้ได้จริง แม้จะต้องลองปรับ ลองผิดลองถูก ฉันรับรองว่ามันคุ้มค่าที่จะหากลยุทธ์ที่เหมาะกับคุณ พูดแบบไม่เว่อร์เลย สุขภาพของคุณและความยั่งยืนของธุรกิจอาจขึ้นอยู่กับมัน
รู้ทันสัญญาณความเครียดของตัวเอง
การมีความเครียดสะสมเรื้อรังก็เหมือนกับเรื่องกบในหม้อน้ำที่ค่อยๆ เดือด กบไม่ได้เดือดตายทันที แต่มันโดนเพิ่มความร้อนทีละนิดๆ จนสายเกินไป ความเครียดเรื้อรังก็เป็นแบบนั้น ผลเสียมันค่อยๆ แทรกเข้ามาโดยที่เราไม่ทันสังเกต โดยอาจเริ่มจากสมองที่คิดไม่หยุดจนตื่นกลางดึกตอนตีสามหลายคืนติดกัน พอพักผ่อนไม่พอ เราก็หงุดหงิดง่ายกับคนในบ้าน ปวดหัวแทบตลอดเวลา อาจเพราะกัดฟันแน่นหรือขบฟันตอนนอน ท้องก็เริ่มแปรปรวน ดื่มกาแฟมากขึ้นเพื่อให้ตื่น ดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้นเพื่อให้หลับ สมาธิเริ่มหาย ทำงานนานๆ ไม่ไหว การตัดสินใจเริ่มกลายเป็นแบบทันทีและหุนหันพลันแล่น แล้วเราก็ถามตัวเองว่า.น้ำมันร้อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
เคล็ดลับสำคัญในการจัดการความเครียดเรื้อรัง คือ ต้องจับให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทุกคนมีสัญญาณเตือนความเครียดของตัวเอง และร่างกายมักจะเป็นระบบเตือนภัยที่ดีที่สุดว่าความเครียดเริ่มส่งผลแล้ว สำหรับฉัน ถ้าเครียดสะสมมากๆ จะเริ่มนอนไม่หลับ บางคนอาจมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน (คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย) บางคนปวดไหล่ ปวดหัว หรือเจ็บตามร่างกาย สัญญาณเตือนของคุณอาจเป็นน้ำเสียงที่แข็งขึ้น หงุดหงิดง่าย หรืออารมณ์แปรปรวนมากกว่าปกติ บางคนเริ่มอยากกินของหวานหรือของเค็มมากขึ้น หรือหันไปดื่มไวน์หรือวิสกี้สักแก้ว (หรือสามแก้ว) เพื่อให้หลับตอนกลางคืน บางคนอาจหมดความสนใจเรื่องเซ็กซ์และความใกล้ชิดกับคนอื่น ในขณะที่บางคนกลับมีความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้นมาก บางด้านของบุคลิกภาพอาจเด่นชัดขึ้นเมื่อเครียด เช่น กลายเป็นคนวุ่นวายมากขึ้น (ทำของหาย มาสาย ลืมของ ลืมนัด) หรือในทางกลับกัน ด้าน "เป๊ะจัด" ของคุณอาจโผล่มาแรงกว่าเดิม เช่น หมกมุ่นกับตาราง Excel หรือทำเอกสารขั้นตอนแบบละเอียดสุดๆ คนที่เป็นอินโทรเวิร์ตอาจยิ่งเก็บตัวมากขึ้น ส่วนคนที่เป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ตอาจนั่งทำงานไม่ติดเลย ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเสียสมดุล หรือกลายเป็น "ตัวเองเวอร์เกินไป" นั่นก็เป็นสัญญาณดีๆ ว่าความเครียดกำลังเล่นงานคุณแล้ว
ความเครียดเรื้อรังที่สะสมจะส่งผลต่อร่างกายและชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีสัญญาณใดที่ใช้บอกได้เหมือนกันสำหรับทุกคน ลองหยุดคิดสักนิดเพื่อตรวจดูสัญญาณความเครียดของตัวเอง เวลาที่คุณเครียดมากๆ ในอดีต เคยมีส่วนไหนของร่างกายที่ปวด หรือระบบอวัยวะบางอย่างทำงานแย่ลงไหม หรือมีพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังมีปัญหาไหม
การรู้สัญญาณเตือนของตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ นั้นสำคัญมาก เพราะมันช่วยให้คุณรับมือได้ล่วงหน้าและป้องกันความเครียดเรื้อรังก่อนที่มันจะทำลายสุขภาพ ทำให้ธุรกิจพัง หรือกระทบความสัมพันธ์ของคุณ
แก้ปัญหาจุดที่ทำให้เครียด
อะไรคือสาเหตุของความเครียด ลองมองอย่างตรงไปตรงมาว่าอะไรคือตัวการหลักที่ทำให้คุณเครียด เริ่มจากเขียนลิสต์สิ่งที่ทำให้เครียดจากทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงาน บ้าน ครอบครัว และความสัมพันธ์ แล้วหาจุดที่เป็นปัญหาจริงๆ
บางครั้งเราแค่รู้สึกเครียด แต่ไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นต้นเหตุ การแยกสาเหตุออกมาเป็นข้อๆ จะช่วยให้เรามองเห็นภาพและแก้ปัญหาได้ทีละเรื่อง เพราะบางสาเหตุสามารถเปลี่ยนแปลงหรือหลีกเลี่ยงได้
ตัวอย่างเช่น คุณอาจเครียดมากทุกๆ ช่วงบ่าย เพราะต้องรีบคุยกับลูกค้าก่อนจะวิ่งออกไปรับลูกที่โรงเรียนตอนบ่ายสามครึ่ง วิธีแก้คืออาจต้องจัดหาคนดูแลลูกหลังเลิกเรียนสักสองวันต่อสัปดาห์ เพื่อให้คุณคุยกับลูกค้าได้โดยไม่รู้สึกกดดัน หรือถ้าคุณเครียดเพราะอีเมลรออยู่ในกล่องจดหมายเต็มไปหมด ให้ลองจ้างผู้ช่วยพาร์ทไทม์มาช่วยคัดกรองหรือจัดการอีเมลที่ไม่สำคัญแทน
สิ่งสำคัญคือการมองแต่ละจุดที่ทำให้เครียดอย่างเป็นระบบ แล้วถามตัวเองว่า "จุดนี้ฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง" จะทำยังไงให้สิ่งนี้หายไปหรือเบาลง
จากนั้น ลงมือปรับเปลี่ยนและเก็บข้อมูล ลองทำสิ่งที่ช่วยลดต้นตอของความเครียดได้มากที่สุด แล้วสังเกตอารมณ์ของตัวเองว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นช่วยลดความเครียดได้จริงไหม
เปลี่ยนจากความคิดแบบ ("ความเครียดมันเกิดขึ้นกับฉัน") ไปเป็น ("ฉันสามารถจัดการกับความเครียดบางส่วนได้") เมื่อคิดแบบนี้ ความเครียดจะไม่ใช่ตัวร้าย และคุณก็ไม่ใช่เหยื่อที่ไร้ทางสู้ คุณมีอำนาจควบคุมระดับความเครียดในขณะที่สร้างธุรกิจของตัวเองได้ ใช้ความเครียดให้เป็นประโยชน์ ให้มันเป็นแรงผลักดันในช่วงสั้นๆ ตอนที่ต้องการทำงานให้เต็มประสิทธิภาพ แล้วกลับมาสู่จุดสมดุลเพื่อเดินทางระยะยาวอย่างมั่นคง
จัดการความเครียดในช่วงเวลานั้น
ไม่ใช่ความเครียดทุกอย่างจะ "แก้ปัญหาได้" ตัวอย่างเช่น ปีที่ฉันเปิดบริษัทที่ปรึกษา พ่อถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และทั้งแม่กับน้องชายคนเล็กต้องนอน ICU หลายสัปดาห์เพราะปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่ไม่เกี่ยวกัน แถมฉันกับสามียังต้องรับหน้าที่ดูแลเด็กสองคนแบบฉุกเฉินเพราะพวกเขาต้องการบ้านที่ปลอดภัย ถึงไม่ได้เริ่มทำธุรกิจใหม่ แค่นี้ก็ถือเป็นปีที่หนักมากแล้ว แต่เพราะฉันกำลังเริ่มธุรกิจ ระดับความเครียดเลยพุ่งขึ้นสูงสุด และแทบไม่มีวิธีไหนที่จะช่วยฉันกำจัดความเครียดเหล่านี้ออกไปได้เลย มันเกิดขึ้นแล้ว และมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของฉันโดยสิ้นเชิง
แล้วจะทำยังไงกับความเครียดที่แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับตัวปัญหา (สาเหตุของความเครียด) ได้ ก็ต้องหันมาจัดการกับ ความเครียดเอง เพื่อให้คุณยังทำงานและใช้ชีวิตได้ดี คุณต้องมีระดับของความสงบและการควบคุมอารมณ์ที่ช่วยลดผลกระทบของความเครียดต่อร่างกายและจิตใจ ฉันเข้าใจว่าพูดง่ายแต่ทำยาก แต่มันก็เหมือนกับทักษะอื่นๆ การฝึกสร้างความสงบภายในท่ามกลางความเครียดหนักๆ ก็สามารถทำได้ ถ้าฝึกฝน
เมื่อคุณเริ่มรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจติดขัด หรือมือเริ่มเหงื่อออก ไม่ว่าจะมีสัญญาณเตือนแบบไหน นั่นคือสิ่งที่บ่งว่า ถึงเวลาที่ต้องพักแล้ว แม้จะเป็นการพักสั้นๆ ก็ตาม งานวิจัยใหม่ๆ ชี้ว่าเครื่องมือที่ดีที่สุดในการต้านความเครียดที่พุ่งสูง คือการหายใจเข้าลึกๆ แบบช้าๆ นี่คือสรุปแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย แต่เชื่อเถอะว่ามีงานวิจัยรองรับมากมาย ถ้าฉันจะให้เครื่องมือหนึ่งอย่างกับผู้ประกอบการใหม่ทุกคน ก็คือ ทักษะการหายใจเข้าลึกๆ แบบช้าๆ นี่แหละ
หากต้องการฝึกวิธีนี้ ให้วางมือหนึ่งข้างโดยหงายฝ่ามือทับบริเวณสะดือ หายใจเข้าช้าๆ ทางจมูก (ประมาณ 4–5 วินาที) สังเกตว่ามือของคุณยกขึ้นเมื่อท้อง "พอง" ด้วยออกซิเจน จากนั้นหายใจออกช้าๆ ทางจมูก (อีก 4–5 วินาที) แล้วดูว่ามือค่อยๆ จมเข้าหากระดูกสันหลังเมื่อท้อง "แฟบ" ทำแบบนี้สัก 4–5 ครั้ง โดยหายใจทางจมูกเข้าท้อง วิธีหายใจแบบนี้ง่ายมาก แต่ทรงพลังมาก เพราะมันส่งสัญญาณให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก หรือระบบ "สงบลง" ทำงาน และบอกให้ร่างกายรู้ว่าไม่มีภัยคุกคามเร่งด่วนที่ต้องตอบสนองด้วยความเครียด
คุณสามารถหายใจแบบนี้ได้แม้จะกำลังอยู่ระหว่างการสนทนา หรือระหว่างทำงาน ฉันเคยทำบนเวทีโดยไม่มีใครสังเกตเลย มันเป็นเครื่องมือที่เร็ว ง่าย และได้ผลมากสำหรับการจัดการความเครียด "ในช่วงเวลานั้น" นอกจากการฝึกหายใจช้าๆ และลึกแล้ว ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยลดความเครียดระหว่างวันทำงานได้ เช่น
- ยืดกล้ามเนื้อ 3–5 นาที โดยเน้นไหล่ คอ และกราม
- เปิดเพลงที่ช่วยผ่อนคลาย
- เปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน
- พักสักครู่แล้วโทรหาเพื่อนหรือคนในครอบครัว
- ลุกขึ้นเดินรอบตึก
- หลับตา 10 นาที
- นั่งสมาธิหรือสวดมนต์
- กินของว่างที่ดีต่อสุขภาพ หรือใช้เวลาสักครู่ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ
- ลุกไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็น
- ทาโลชั่นที่มีกลิ่นหอมบนมือ
- หยดน้ำมันหอมระเหยบนข้อมือ
ปฏิกิริยาความเครียดคือการเร่งสปีด ทำทุกอย่างให้เร็วเพื่อรับมือ แต่ถ้าคุณทำตรงข้ามชะลอความเร็วลง คุณจะต้านอารมณ์ที่อยู่เบื้องหลังปฏิกิริยานั้น และลดความเครียดได้ การเปลี่ยนแหล่งข้อมูลทางประสาทสัมผัสสักหนึ่งหรือหลายอย่าง (เช่น การมองเห็น เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัส) จะทำให้สมองได้รับข้อมูลใหม่ ถ้าข้อมูลใหม่นั้นช่วยผ่อนคลาย ก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก หรือระบบ "สงบลง" ทำงาน
ทักษะเหล่านี้สามารถฝึกใช้เป็นกลไกสงบสติในช่วงที่ความเครียดสูงได้ และยังสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ "ต้านความเครียด" ได้ การหายใจเข้าลึกๆ หรือทำสมาธิวันละไม่กี่นาที สามารถช่วยลดระดับความเครียดและความวิตกกังวลพื้นฐานได้อย่างมหัศจรรย์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสมาธิและการโฟกัส ปรับการนอนให้ดีขึ้น และลดภาวะซึมเศร้าได้ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งกับตัวคุณและธุรกิจของคุณ
ใช้ชีวิตแบบเข้าใจความเครียด
ปีแรกของการทำธุรกิจอาจเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตแบบที่ช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดได้อย่างดีและมีแบบแผน ประโยคนี้อาจสวนทางกับวัฒนธรรม "หักโหม" ของโลกสตาร์ทอัพ เพราะจริงๆ แล้ว ทำงานมากขึ้นไม่ได้แปลว่าทำงานดีขึ้นเสมอไป นิสัยที่คุณสร้างขึ้นในธุรกิจ (และทำมากขึ้นในชีวิตประจำวัน) จะติดตัวไปอีกหลายปี ดังนั้น ให้เลือกนิสัยที่ช่วยต้านความเครียดเรื้อรังก่อนที่มันจะสะสมมากขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณยั่งยืนในระยะยาว และทำให้ชีวิตสนุกขึ้นแม้ในช่วงปีแรกที่เข้มข้นที่สุด
คุณคือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตัวเองถ้าคุณลองใช้เวลาคิดทบทวนสักนิด คุณน่าจะพอมีไอเดียว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อใช้ชีวิตที่สามารถช่วยลดความเครียดได้มากที่สุด โชคดีที่นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันผลเสียจากความเครียดเรื้อรัง
ดูแลร่างกายของคุณ ความเสียหายจากความเครียดส่วนใหญ่เกิดจากผลสะสมของฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกาย การดูแลร่างกายจะช่วยเพิ่มความสามารถในการต้านความเครียด ซึ่งหมายถึง นอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และขยับร่างกาย (ให้หัวใจเต้นแรงขึ้น) อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งสามสิ่งนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการจัดการความเครียดและการทำงานของสมองอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะสมองจะทำงานได้ไม่ดีถ้าขาดการดูแลพื้นฐาน การกิน การนอน และการเคลื่อนไหวคือรากฐานของการดูแลตัวเองที่ทำให้ร่างกายมีพลัง ถ้าคุณไม่ดูแลร่างกาย จะเป็นเรื่องยากมากที่จะทำธุรกิจให้ออกมาดี
รักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นไว้ ถ้าคุณต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก สิ่งที่จะบอกได้ดีที่สุดว่าคุณจะรับมือได้ดีแค่ไหน คือ คุณภาพของความสัมพันธ์ที่มี เพราะความสัมพันธ์จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่มักเกิดจากความเครียดรุนแรง ดังนั้น อย่าละเลยความสัมพันธ์ในขณะที่คุณกำลังสร้างธุรกิจ เพราะถ้าคุณประสบความสำเร็จ คุณจะอยากมีคนร่วมฉลองด้วย และถ้าคุณล้มเหลว คุณจะต้องการคนที่รักและห่วงใยคอยพยุงให้คุณลุกขึ้นใหม่
เฉลิมฉลองความสำเร็จ. ช่วงปีแรกของการทำธุรกิจอาจรู้สึกเหมือนทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว แทบไม่มีช่วงเวลาที่รู้สึกว่า "ถึงจุดหมายแล้ว" และไม่มีวันที่ลิสต์งานจะเสร็จสมบูรณ์ มันยากที่จะรู้สึกว่า "ทำเสร็จแล้ว" แต่สมองของเราจะได้รับแรงกระตุ้นเชิงบวกเมื่อรู้สึกถึงความสำเร็จในการทำบางสิ่งให้เสร็จ การสร้างธุรกิจเป็นงานที่ยาวนานและเหนื่อย ดังนั้นการฉลองเมื่อทำเป้าหมายสำเร็จจึงสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้ารายแรกที่จ่ายเงิน ออเดอร์ใหญ่ครั้งแรก หรือโพสต์ที่เป็นไวรัลครั้งแรก อะไรก็ตามที่เป็นเป้าหมายเล็กๆ ในลิสต์งานของคุณ จงหาวิธีฉลองไปกับมัน ฉันมีเพื่อคนหนึ่งชื่อ Phil เขาได้เขียนลิสต์เป้าหมาย 5 ข้อที่อยากทำให้สำเร็จภายในปีนั้น แล้วเลือกไวน์พิเศษสำหรับแต่ละเป้าหมาย พร้อมติดโน้ตไว้บนขวด เช่น "ขายปลั๊กอิน WordPress" บนไวน์ Pinot Noir จาก Edna Valley และ "เปิดระบบอัตโนมัติสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน" บน Cabernet Sauvignon จาก Napa
นักธุรกิจที่โฟกัสงานสุดๆ อย่างเรา มักจะโฟกัสแต่สิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ ทำงานเสร็จหนึ่งอย่าง ก็รีบกระโดดไปทำอีกอย่างทันที แต่การจัดการความเครียดที่ดี ต้องมีการถ่วงสมดุลระหว่างลิสต์งานที่ไม่มีวันหมด กับการฉลองเล็กๆ ระหว่างทาง พยายามพูดความจริงกับตัวเองว่า "เราทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง" ให้มากพอๆ กับที่พูดถึงสิ่งที่ยังต้องทำ เพราะสมองเราต้องการเอ็นดอร์ฟิน เพื่อนและครอบครัวก็ต้องการโอกาสที่จะได้ฉลองให้กับเรา ทีมงานหรือหุ้นส่วนก็อยากเห็นเราฉลอง เพื่อที่พวกเขาจะรู้สึกสบายใจที่จะแตะมือไฮไฟว์กันบ้าง และที่สำคัญ เราเองก็ต้องได้รับการเตือนว่า "เราทำอะไรสำเร็จไปแล้วเยอะมาก"
หาเวลาสำหรับการผ่อนคลายการเริ่มต้นธุรกิจต้องใช้แรงเยอะมาก ทั้งความพยายาม สมาธิ และการทำงานหนักแบบจริงจัง แต่ต้องพยายามไม่มองข้ามสิ่งสำคัญอีกอย่าง นั่นคือ หาเวลาสำหรับการผ่อนคลาย กิจกรรมที่เรียกว่า "เล่นผ่อนคลาย" คือสิ่งที่เราทำเพราะมันทำให้เรามีความสุข การเล่นผ่อนคลายช่วยให้สมองและร่างกายได้พักจากความเข้มข้นและความเครียดของการทำงาน การผ่อนคลายควรเป็นกิจกรรมที่ทำแล้วอินและสนุกจริงๆ เช่น ยิงธนู เล่นฟุตบอล เล่นหมากรุก เล่นสโนว์บอร์ด ต่อเลโก้ ทำผ้าควิลท์ ปั่นจักรยาน เล่นดนตรี วาดภาพ เล่นกับลูก หรือซ่อมรถคลาสสิก การเล่นเกมหรือดูทีวี ดูหนัง ก็เป็นวิธีผ่อนคลายที่คนทำกันเยอะ แต่ไม่ใช่ตัวเลือกที่นิยมกันมาก เพราะมันค่อนข้างเฉื่อยทั้งทางสมองและร่างกาย การเล่นผ่อนคลายที่ดีที่สุดคือกิจกรรมที่ใช้ทั้งร่างกาย ความคิด และอารมณ์ ทำให้เราลืมเวลา และรู้สึกสนุกสุดๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้เราลืมความเครียดไปชั่วขณะ
การใช้ชีวิตที่จัดการความเครียดได้ดี คือการเลือกทำสิ่งที่ช่วยต้านความเครียดอย่างจริงจัง ทั้งทางอารมณ์และร่างกาย เราทำแบบนี้เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความเครียด ทำในช่วงที่รู้สึกเครียด และทำเพราะเรารู้ว่า สุขภาพของเราไม่ควรถูกเอาไปแลกกับการทำงานแบบหักโหม
ความเข้มข้นและความเร็วที่ไม่มีแผนที่ดี อาจทำให้คุณเครียดจนกินอะไรไม่ลง หรือหมดไฟและวิตกกังวลได้
การรับมือกับช่วงขึ้นและลง
ช่วงขึ้นและลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะผู้ประกอบการ คุณจะมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าทุกอย่างไปได้สวย คุณจะตื่นเต้นสุดๆ เมื่อธุรกิจกำลังพุ่งแรงจากความสำเร็จของสินค้าใหม่ การเติบโตของลูกค้า โอกาสในการสร้างพันธมิตร การได้รู้จักเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ การเซ็นสัญญาครั้งใหญ่ หรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น นั่นคือช่วงเวลาที่สุดยอดจริงๆ และในช่วงนั้น คุณแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะไปทำอย่างอื่น มันรู้สึกดีมากที่เห็นงานของคุณได้รับการยอมรับในโลกใบนี้ ความตื่นเต้นและความภูมิใจคือรางวัลของการทำงานหนัก และแรงส่งจากความสำเร็จเหล่านั้นทำให้คุณมีความหวังว่าธุรกิจจะเติบโต เจริญรุ่งเรือง และมอบไลฟ์สไตล์ที่ดี พร้อมโอกาสสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อโลก
แต่ก็จะมีอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน ช่วงเวลาที่คุณรู้สึกท้อแท้ อับอาย กลัว หรือโกรธ จะมีวันที่คุณอยากเลิกทำ วันที่มีคนหักหลังความไว้ใจ หรือวันที่ลูกค้าหยุดใช้บริการของคุณ จะมีวันที่คุณไม่แน่ใจว่าจะจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ไหม หรือจะประคับประคองธุรกิจให้รอดได้หรือเปล่า บางครั้งความรู้สึกตกต่ำเหล่านี้เกิดขึ้นแค่แวบเดียว แต่บางครั้งมันยืดเยื้อเป็นเดือนๆ และที่ทรมานคือช่วงเวลาเหล่านี้จะทดสอบความแข็งแกร่ง สติปัญญา และความอดทนของคุณ ซึ่งมันจะยากมากๆ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ช่วงขึ้น-ลงเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องปกติของการเริ่มทำธุรกิจ คุณไม่ได้อยู่คนเดียวในความผันผวนนี้ สิ่งที่เห็นในอินเทอร์เน็ตไม่ได้จริงทั้งหมด หลายคนขายคอร์สหรือกลยุทธ์ที่อ้างว่าสามารถช่วยทำให้คุณสร้างธุรกิจที่มีค่า 7 หลักได้ง่ายๆ ซึ่งจริงๆ ก็เหมือนขายน้ำมันงูที่อ้างว่าทำให้เป็นอมตะ หรือขายที่ดินติดทะเลในลาสเวกัส มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะ แต่ควรอยู่ในหมวดนิยายมากกว่า เพราะมันไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จ มันคือการทำงานหนัก การรับความเสี่ยง และการทุ่มเทเวลา พลังงาน ทรัพยากร และอารมณ์ มันจะไม่มีทางเป็นไปอย่างราบรื่น และจะไม่เกิดขึ้นในวันเดียว
คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิดว่าการเริ่มธุรกิจจะส่งผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์มากขนาดไหน เหล่าผู้ประกอบการใหม่ๆ มักเตรียมตัวเรื่องเวลาและเงิน คุณอาจทำแผนธุรกิจแล้ว ศึกษาเรื่องภาษีและการจดทะเบียน เตรียมเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่คุณต้องเตรียมเรื่องการลงทุนทางอารมณ์ด้วย
ในฐานะผู้ประกอบการ ธุรกิจคือส่วนขยายของตัวคุณ มันคือแหล่งรายได้ของคุณ มันคือกลไกที่จะทำให้คุณสามารถเลี้ยงดูลูก และเป็นตัวตัดสินว่า ปีนี้คุณจะได้ไปเที่ยวแคนคูนหรือไม่ ความมั่นคงของธุรกิจส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางการเงินของคุณ ซึ่งหมายความว่าสภาพอารมณ์ของคุณเชื่อมโยงกับช่วงขึ้นลงของธุรกิจ แต่ความสัมพันธ์นี้ลึกกว่าการหาเลี้ยงชีพ ธุรกิจเกิดจากความคิดของคุณ และสะท้อนวิธีแก้ปัญหาหรือมุมมองเฉพาะตัวของคุณ ธุรกิจคือผลลัพธ์ของทักษะและความเชี่ยวชาญของคุณ ธุรกิจนี้มีอยู่ก็เพราะคุณเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น ซึ่งไม่เหมือนกับงานประจำที่แค่เข้างานแล้วออกงาน การสร้างธุรกิจของตัวเองผูกพันกับตัวตนของคุณอย่างลึกซึ้ง
เมื่อคุณนำสิ่งใดออกสู่สาธารณะ มันเหมือนกับคุณทำให้ตัวเองเปราะบางขึ้นและเปิดเผยตัวเองต่อสายตาคนอื่น มันมีความเข้มข้นทางอารมณ์อยู่ในนั้น เมื่อคุณเป็นคนขับรถหรือคนถือบอล สายตาของโลกทุกคนบนโลกจะจับจ้องมาที่คุณ มันคือประสบการณ์ที่อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านสุดๆ ทั้งในทางดีและทางร้าย
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ความผิดพลาดทางธุรกิจนั้นยากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะมันมักเกิดขึ้นต่อหน้าคนอื่น และมันอาจมีความหมายใหญ่กว่าความผิดเล็กๆ อย่าง "อุ๊ย ลิงก์ผิด" คุณจะทำผิดพลาดในธุรกิจแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ผิด ส่งอีเมลผิด หรือจองตั๋วเครื่องบินผิดวัน และคำถามคือ คุณจะตกต่ำแค่ไหนเมื่อเจอเหตุการณ์เหล่านี้ คุณจะสลัดมันทิ้งได้ดีแค่ไหน ความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้คุณหลุดโฟกัสมากแค่ไหน
การสร้างขอบเขตที่ดีต่อสุขภาพ
คุณไม่ใช่ธุรกิจ และธุรกิจก็ไม่ใช่ลูกของคุณ
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้อ่านงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Human Brain Mapping ซึ่งเปรียบเทียบการสแกนสมอง (fMRI) ของคุณพ่อที่คิดถึงลูก กับผู้ประกอบการที่คิดถึงธุรกิจของตัวเอง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะสมองส่วนที่ทำงานมีความคล้ายกัน คนทั้งสองกลุ่มมีการกระตุ้นในส่วนที่ปล่อยโดพามีนออกมา ซึ่งนี่คือศูนย์กลางความรู้สึกดีในสมอง และเมื่อมันถูกกระตุ้น เราจะรู้สึกดี
เหมือนกับพ่อแม่ที่มองภาพลูกน้อย ผู้ประกอบการก็จะรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ เหมือนโดพามีนหลั่งออกมา เมื่อเห็นภาพบริษัทของตัวเอง ในระดับสมอง ผู้ประกอบการมีความสัมพันธ์แบบหวานชื่นและผูกพันกับบริษัทของตัวเอง
นอกจากนี้ สมองของผู้ประกอบการก็จะเหมือนกับสมองของคนเป็นพ่อ ที่แสดงการกดการทำงานของส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการประเมินทางสังคม หรือความสามารถในการอ่านและตีความเจตนาของคนอื่น (นี่คือส่วนของสมองที่ทำงานเมื่อคืนที่งานเลี้ยงค็อกเทล ตอนที่คุณกวาดตามองไปรอบๆ และประเมินโดยไม่รู้ตัวว่าคุณอยากคุยกับใคร)
เมื่อสมองส่วนนี้หยุดทำงานหรือถูกกด คนจะไม่สามารถเชื่อมโยงและสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างแม่นยำ ผู้ก่อตั้งในงานวิจัยนี้แทบไม่สามารถประเมินธุรกิจของตัวเองอย่างเป็นกลางในฐานะสิ่งที่แยกออกจากตัวตนได้ ธุรกิจจะถูกเข้ารหัสไว้ในสมองเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง (และเหมือนกับความรักแบบโรแมนติกหรือความรักของพ่อแม่ ที่เมื่อรักแล้วเหมือนทำให้ตาบอด)
ในอีกแง่หนึ่ง งานวิจัยนี้ช่วยอธิบายหลายอย่างเกี่ยวกับผู้ก่อตั้งให้ฉันเข้าใจ บางอย่างก็ดี ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นถึงการเสียสละ แรงผลักดัน และความบ้าคลั่งที่มาจากการเป็นผู้ก่อตั้ง ความรักแบบพ่อแม่ดึงเอาทั้งสิ่งที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดออกมาจากมนุษย์ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะอดทน เสียสละ และแข็งแกร่งได้มากแค่ไหนจนกระทั่งมีลูก และฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะเห็นแก่ตัว โมโหง่าย และบ้าขนาดไหนจนกระทั่งมีลูก
การเป็นผู้ก่อตั้งก็ไม่ต่างกัน บางครั้งคุณรู้สึกหมกมุ่นและไฟแรงสุดๆ บางครั้งคุณเต็มไปด้วยความหลงใหลและความคิดสร้างสรรค์ และบ่อยครั้งคุณก็ทำอะไรที่ดูไม่ค่อยมีเหตุผลนักเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโต และตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีหลักวิทยาศาสตร์รองรับเรื่องนี้อยู่
ในอีกด้านหนึ่ง ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อยกับผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสามารถผูกพันกับตัวตนของเราได้ลึกแค่ไหน เหมือนกับความสัมพันธ์ที่สำคัญอื่นๆ ในชีวิตมนุษย์ การผูกติดกันมากเกินไป ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินไป และอารมณ์ที่เชื่อมโยงกันมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้ การทุ่มหัวใจทั้งหมดให้กับธุรกิจถือว่าเสี่ยงต่อสภาพจิตใจอย่างมาก
ผู้ประกอบการอาจผูกพันทางอารมณ์กับธุรกิจมากจนถึงขั้นมองธุรกิจเหมือนเป็นคนอีกคนหนึ่ง แต่โชคร้ายสำหรับผู้ประกอบการ ธุรกิจไม่ใช่คนรักที่ดีเลย เพราะมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ เรียกร้องเยอะ ไม่ใช่ผู้ฟังที่ดี และที่สำคัญมันไม่มีวันช่วยเอาขยะไปทิ้ง
ธุรกิจสามารถเข้ามาครอบงำทุกอย่างได้ มันเอาเวลาของคุณ พลังงานของคุณ ความคิดของคุณ และอารมณ์ของคุณไปหมด และสิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับความหนักหน่วงที่อยู่กับคุณตลอดเวลาไม่ว่าคุณจะทำอะไร ถึงจุดนั้นมันง่ายมากที่จะเริ่มบอกตัวเองว่า "ฉันเอาอยู่ ฉันทำได้ดีแล้ว ฉันไม่ต้องการใครหรืออะไรทั้งนั้น" จากตรงนั้น มันจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่การปล่อยให้ตัวเองถูกงานกลืนกินมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานคุณจะตื่นขึ้นมาและคิดถึงแต่งาน ตอนอยู่กับเพื่อนหรือครอบครัวก็คิดถึงแต่งาน และแม้แต่ตอนเข้านอนก็ยังคิดถึงแต่งาน
นี่คือการตีความตัวตนผิดที่ เนื่องจากงาน สตาร์ทอัพ หรือไอเดียกลายเป็นทั้งสิ่งที่ผู้ก่อตั้งเป็นและสิ่งที่ผู้ก่อตั้งรัก แต่ธุรกิจของคุณไม่สามารถแบกรับน้ำหนักของการเป็นตัวตนของคุณได้ มันไม่มีวันเป็นคุณค่าทั้งหมดหรือจุดมุ่งหมายของคุณ และมันก็ไม่ใช่ช่องทางความรักที่ดี เพราะมันไม่มีวันรักคุณกลับ สตาร์ทอัพของคุณไม่มีไหล่ที่จะรับความหนักอึ้งนั้นๆ และมันก็ไม่จำเป็นต้องทำ ดังนั้น คุณต้องปล่อยวางความผูกพันทางอารมณ์ที่ผิดที่ผิดทางนี้ไป ถ้าคุณอยากมีสุขภาพจิตที่ดี แข็งแรง ทั้งเพื่อตัวเอง เพื่อธุรกิจ และเพื่อครอบครัวของคุณ
สิ่งสำคัญคือคุณต้องมีระยะห่างทางอารมณ์บ้าง การแยกตัวตนของคุณออกจากธุรกิจที่คุณกำลังสร้างจะช่วยได้ ช่วงขึ้นลงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ตัวตนของคุณ ชีวิตทางอารมณ์ และความสัมพันธ์ของคุณไม่จำเป็นต้องรับแรงกดดันทั้งหมดนั้น
วิธีนั่งรถไฟเหาะ
เราจะทำยังไงกับช่วงที่ขึ้นสูงสุดแล้วก็ลงต่ำสุดแบบสุดขั้วนี้ดี แล้วจะทำยังไงกับความผูกพันที่แน่นแฟ้นระหว่างธุรกิจกับตัวตนของเรา จะสร้างและทำให้ธุรกิจเติบโตโดยไม่ให้ใจพังได้ยังไง เรามาคุยกันเรื่องกลยุทธ์ที่ทำได้จริงกันดีกว่า
จดบันทึกช่วงขึ้นและลงหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน สามารถสรุปได้เป็นสองประโยคง่ายๆ นั่นคือ ทุกวันฉันจะเขียนว่า จุดสูงสุดของวันนี้คืออะไรและจุดต่ำสุดของวันนี้คืออะไร มันเป็นการเก็บข้อมูลที่เรียบง่ายมาก แต่ความทรงพลังของข้อมูลนี้ไม่ได้อยู่ที่ตอนเขียนในแต่ละวัน แม้ว่าการเขียนบันทึกจะมีประโยชน์ทางจิตใจเยอะมาก แต่สิ่งที่ทรงพลังจริงๆ เกิดขึ้นตอนที่คุณย้อนกลับไปอ่านประโยคเหล่านี้ที่สะสมมานาน ถ้าคุณมีข้อมูลแบบนี้สะสมไว้ 3 เดือน หรือ 3 ปี คุณจะเห็นรูปแบบที่ในชีวิตประจำวันคุณมองไม่ออก พอมีข้อมูลระยะยาว คุณจะรู้ว่าช่วงไหนคือ "จุดกลมกล่อม" ของชีวิต และจะเห็นด้วยว่าช่วงไหนที่ทำให้คุณหมดแรง เครียด และไม่มีความสุข
ข้อมูลนี้ช่วยคุณได้อะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรก คือมันช่วยให้คุณปรับชีวิตไปในทางที่มี "จุดกลมกล่อม" มากขึ้น ช่วงเวลาที่คุณรู้สึกมีความหมาย สนุก และอินกับมันจริงๆ เพราะนี่คือส่วนที่คุณมีโอกาสสร้างอิทธิพลและรักษาพลังงานได้ยาวนานที่สุด ส่วนการติดตามช่วงตกต่ำก็ให้ข้อมูลว่ามีอะไรที่คุณควรจ้างคนทำแทน ตัดออก หรือหลีกเลี่ยงไปเลย การเห็นข้อมูลสะสมจะทำให้คุณรู้ว่าพลังงานของคุณถูกใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่าในจุดไหนบ้าง อีกอย่างที่ข้อมูลนี้ช่วยได้คือ เมื่อคุณติดตามจุดสูงและต่ำไปเรื่อยๆ คุณจะเห็นพลังของ "เวลา" อย่างชัดเจน ทุกอย่างมันผ่านไปได้เสมอ ความผิดพลาด คำวิจารณ์ ช่วงตกต่ำ และความล้มเหลวไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป สุดท้ายมันจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกใหม่ๆ และประสบการณ์แห่งความสำเร็จและความสุข
นี่คือหนึ่งในทักษะที่ช่วยชีวิตคุณได้มากที่สุดในฐานะผู้ก่อตั้ง การรู้ว่าไม่ว่าตอนนี้มันจะตกต่ำแค่ไหน มันจะไม่อยู่แบบนี้ตลอดไป เดี๋ยวมันก็ผ่านไป สถานการณ์ก็จะเปลี่ยน รถไฟเหาะทุกขบวน ต่อให้หวาดเสียวแค่ไหน มันก็มีเวลาจำกัดเสมอ
กระจายพอร์ตโฟลิโอทางอารมณ์ของคุณคุณไม่สามารถทุ่มอารมณ์ทั้งหมดให้กับธุรกิจได้เพียงอย่างเดียว รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัวไว้ ให้ความรักมีพื้นที่ในชีวิต ปล่อยให้ตัวเองได้มีงานอดิเรก ได้ออกกำลังกาย ต่อต้านแรงดึงดูดที่ทำให้คุณอยาก "กิน นอน และหายใจเป็นเรื่องธุรกิจ" ตลอดเวลา เปิดโอกาสให้ตัวเองได้สัมผัสอารมณ์ขึ้นลงจากด้านอื่นๆ ของชีวิตด้วย เพราะเมื่อ "ประกอบการในตัวคุณ" อยู่ในช่วงขาลง ด้านอื่นๆ เช่น การเป็นพ่อแม่ แฟนฟุตบอลอิตาเลียน หรือคนรักคราฟต์เบียร์ จะช่วยสร้างสมดุลทางอารมณ์ให้คุณได้
รับเอาแนวคิดแบบเติบโตวิธีที่คุณเลือกมอง "ช่วงตกต่ำ" คือสิ่งที่แยกความต่างระหว่าง "แนวคิดแบบตายตัว" (Fixed Mindset) กับ "แนวคิดแบบเติบโต" (Growth Mindset) ศัพท์เหล่านี้มาจากทฤษฎีของศาสตราจารย์แครอล ดเว็ก (Dr. Carol Dweck) แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แนวคิดแบบตายตัวเชื่อว่า "ลักษณะ ความสามารถ และสติปัญญาของเราคงที่" — เราเป็นคนฉลาดหรือไม่ฉลาด เป็นผู้ประกอบการเก่งหรือไม่เก่ง และนั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ ส่วนแนวคิดแบบเติบโตเชื่อว่า "ทักษะและความสามารถของเราพัฒนาได้ตลอดเวลา" ทุกสิ่งที่เราทำได้ในวันนี้เป็นเพียง "ขีดจำกัดชั่วคราว" ของความรู้และประสบการณ์ในตอนนี้เท่านั้น
ผู้ประกอบการที่ทำงานด้วย กรอบความคิดแบบเติบโต จะมองความท้าทายเป็นโอกาส และเห็นความล้มเหลวเป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาที่ช่วยขยายขีดความสามารถเดิม ผู้ประกอบการที่เน้นการเติบโตจะมีความมั่นใจที่ผูกกับ "ความพยายามและการเรียนรู้" ไม่ใช่ผลลัพธ์ของโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทักษะหนึ่ง ความสำเร็จหนึ่ง อีเมลที่ส่งลิงก์ผิด หรือความล้มเหลวครั้งหนึ่ง ทั้งหมดคือจุดเริ่มต้นของการเติบโตที่เราสร้างขึ้นตลอดชีวิต
ผู้ประกอบการที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว จะเชื่อว่าถ้าวันนี้ไม่มีทักษะนั้น ก็แปลว่าไม่มี และจะไม่มีตลอด มุมมองแบบนี้จะไม่คิดถึงการเปลี่ยนแปลงตามเวลา ไม่เห็นคุณค่าของการลองผิด ลองถูก แล้วลองใหม่ ผู้ประกอบการที่มีกรอบความคิดแบบตายตัวจะมองแค่ "ตอนนี้" โดยไม่เห็นว่าทักษะต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติหรือด้วยความตั้งใจเมื่อเวลาผ่านไป เปลี่ยนช่วงตกต่ำให้เป็นช่วงเรียนรู้ และเปลี่ยนช่วงขึ้นสูงให้เป็นการเฉลิมฉลองให้สิ่งที่คุณได้เรียนมา เปิดใจลองสิ่งใหม่ๆ ทดลองไอเดียใหม่ๆ และผลักตัวเองให้ก้าวข้ามขอบเขตของสิ่งที่คุณรู้และทำได้ในตอนนี้
พักอย่างมีความหมาย.ถ้าคุณนั่งรถไฟเหาะนานเกินไป คุณจะทั้งเวียนหัว ปวดตัว และเสียสมดุล ร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรับความเข้มข้นหรือความเครียดรุนแรงต่อเนื่อง ถ้าคุณอยากทำให้การเป็นผู้ประกอบการเป็นไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน คุณต้องรู้จักพัก ใช่ครับ แม้แต่ในปีแรก ใช่ แม้ตอนที่ธุรกิจกำลังโต ยุ่งสุดๆ และรู้สึกว่าทุกอย่างถาโถมเข้ามา
มีการพักอยู่ 3 แบบที่ฉันคิดว่าสำคัญ
1. การพักจากเทคโนโลยี: ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่ยอมจ่ายเงินซื้อ iPhone สองเครื่อง เพื่อแยกเครื่องทำงานกับเครื่องส่วนตัวออกจากกัน เธอแยกทั้งรายชื่อผู้ติดต่อ อีเมลงาน และอีเมลส่วนตัวไว้คนละเครื่อง และพอเลิกงานตอนเย็น เธอจะเสียบมือถือเครื่องงานเข้าที่ชาร์จแล้วทิ้งไว้ที่ออฟฟิศ เหตุผลคือเธอรู้สึกว่าตัวเองถูกงานผูกมัดตลอดเวลา แม้ตอนกินข้าวกับครอบครัวหรือดูลูกแข่งบอลที่สนาม พอมีแจ้งเตือนอีเมลเด้งขึ้นมา เธอรู้สึกว่าต้องตอบทันที วิธีนี้อาจจะดูสุดโต่งสำหรับคุณ แต่การหาทางตัดการเข้าถึงงานตลอด 24 ชั่วโมงถือเป็นเรื่องดี อาจหมายถึงการทิ้งมือถือไว้ที่ออฟฟิศ เก็บใส่ลิ้นชักตอนที่ไม่ได้ทำงาน หรือปิดแจ้งเตือนก็ได้ ไม่ว่าคุณจะเลือกแบบไหน ให้ตั้งใจทำให้การสื่อสารเรื่องงานอยู่ในเวลางานเท่านั้น เพื่อที่คุณจะได้โฟกัสกับครอบครัว เพื่อน และกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับงานจริงๆ
2. การลาพักร้อน: การพักจากชีวิตประจำวันคือวิธีที่ดีที่สุดในการรีเซ็ตตัวเอง การหยุดพักสักหนึ่งสัปดาห์จะช่วยให้ร่างกายฟื้นจากความเครียดสะสม และยังทำให้คุณมองชีวิตและธุรกิจด้วยมุมมองใหม่ๆ เพิ่มแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้น ผลลัพธ์มักจะคุ้มค่าในทันที ใช่ คุณอาจหยุดไปหนึ่งหรือสองสัปดาห์ แต่เมื่อกลับมาพร้อมแรงบันดาลใจและความสดชื่น คุณจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าก่อนพักแน่นอน
ผู้ก่อตั้งแทบทุกคนที่ฉันคุยด้วยจะทำหน้าตกใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ และฉันเข้าใจนะ เพราะฉันเองก็มีธุรกิจ สามีฉันก็มีธุรกิจ ฉันรู้ดีว่าการก้าวออกไปพักทำให้ผู้ก่อตั้งรู้สึกกังวลแค่ไหน โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ยังไม่มีระบบหรือทีมมาช่วยรองรับ มันยากที่จะตัดขาด เพราะคุณคือส่วนสำคัญ (และแทนไม่ได้) ของธุรกิจ สำหรับฉันเอง แค่คิดว่าจะต้องออกไปพักและตัดขาดจากทุกอย่าง บางครั้งมันรู้สึกเครียดกว่าการอยู่บ้านแล้วทำงานต่อเสียอีก
คุณต้องไปพักร้อนอยู่ดี งานวิจัยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าคนที่ให้สมองและร่างกายได้พักจากความเร่งรีบ จะสามารถคิดสร้างสรรค์ได้ดีขึ้น แก้ปัญหาได้เก่งขึ้น และหลุดจากโหมด "ทำให้เสร็จไปวันๆ" ที่มักเกิดจากความเครียดสะสมมาหลายเดือน พอคุณถอยออกไปพักร้อน คุณจะได้พลังกลับมาเต็มที่ พร้อมลุย และตื่นเต้นกับไอเดียใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาตอนที่สมองได้พักจริงๆ
การไปพักร้อนยังช่วยให้คุณมีเวลาสนใจความสัมพันธ์และกิจกรรมที่มักถูกละเลยในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ การสร้างความทรงจำ การมีประสบการณ์ร่วมกัน หรือการได้คุยกันแบบไม่ต้องรีบ ล้วนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในเรื่องอิสรภาพ ความสัมพันธ์ และความสุข สิ่งที่ทำให้เราส่วนใหญ่เลือกเส้นทางผู้ประกอบการตั้งแต่แรก
ถือว่านี่คือใบอนุญาต ไม่สิ ใบสั่งยา ให้คุณไปพักร้อน ถ้าความคิดที่จะตัดขาดจากงานแบบสิ้นเชิงทำให้คุณเครียดจนแทบจะเป็นแพนิค ก็ไม่ต้องตัดขาดทั้งหมด เอามือถือไปด้วย เช็กอีเมลวันละไม่กี่ครั้งพอ หรือโทรเข้าประชุมสั้นๆ ก็ได้ ปรับให้เหมาะกับตัวคุณและสถานการณ์ของคุณ แต่ต้องทำให้มันเกิดขึ้นจริงนะ ไปเถอะ ออกไปพัก หาเวลาให้ได้ มันจะคุ้มค่ากับคุณในระยะยาว คุณหมอรับรอง
3. การถอยเพื่อตั้งหลัก: พักร้อนคือการ "พักออกจากงาน" ส่วนการถอยเพื่อตั้งหลักคือการ "พักเข้าไปในงาน" ลึกลงไป
ฉันเชื่อว่าผู้ประกอบการทุกคนควรจัดให้มีการถอยเพื่อตั้งหลัก 3 วัน อย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง การถอยเพื่อตั้งหลักคือเวลาที่คุณจะได้สะท้อน ปรับโฟกัส และมองภาพใหญ่ของธุรกิจ ซึ่งเป็นช่วงที่คุณตั้งเป้าหมาย ประเมินความคืบหน้า และตรวจสอบว่าธุรกิจของคุณยังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะมันง่ายมากที่ธุรกิจจะเดินไปบนเส้นทางที่เมื่อปีก่อนดูถูกต้อง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว หรือเส้นทางที่ค่อยๆ เบี่ยงออกจากเป้าหมาย หรือแม้แต่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่ต้องปรับเล็กน้อย การถอยเพื่อตั้งหลักที่เน้นการคิดทบทวนจะช่วยให้คุณตรวจสอบทิศทางและปรับธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นได้
การถอยเพื่อตั้งหลักสำหรับแต่ละคนอาจหมายถึงหลายแบบ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำให้คุณได้ความสงบ พื้นที่ และเวลาสำหรับคิด ทบทวน และเติบโต สำหรับฉัน ฉันจะเลือกห้องพักโรงแรมที่มองเห็นวิวทะเล พร้อมกระดาษม้วนใหญ่และกล่องปากกาเมจิก ส่วนเพื่อนผู้ก่อตั้งของฉันจะไปที่บ้านพักกลางป่าของครอบครัว แล้วเดินลึกเข้าไปในธรรมชาติบนเส้นทางเดินป่า เพื่อหาที่เงียบๆ สำหรับคิดและจดลงสมุด แนวทางทั่วไปของฉันคือ ไปที่ที่ไม่ใช่ชีวิตประจำวันของคุณ ปิดการติดต่อกับคนอื่นให้มากที่สุด ใช้เวลาอยู่คนเดียว ใช้เวลาคิดและเขียน และกลับออกมาพร้อมสิ่งที่ลงมือทำได้จริง
ฉันรู้ว่าการคิดว่าจะหยุดงานไปหลายวันเพื่อทำเพียงแค่คิดและทบทวนนั้นฟังดูน่ากลัวสำหรับใครหลายคน คุณอาจกำลังคิดถึงความยุ่งยากในการหยุดงาน หาคนมาดูร้านหรือคุมทีม ยกเลิกประชุม หรือเลื่อนงานต่างๆ และฉันเข้าใจ ชีวิตในธุรกิจมันทั้งหนักและเร็ว คุณอาจรู้สึกว่าคุณไม่มีเวลาสำหรับการถอยเพื่อออกไปตั้งหลัก แต่ฉันจะบอกว่าคุณไม่มีทางไม่ทำมันได้
การเป็นผู้ประกอบการคือวิธีใช้ชีวิตที่ให้รางวัลสูงมาก เพราะช่วงขึ้นสุดและลงสุดคือส่วนหนึ่งของมัน มันทำให้ชีวิตน่าตื่นเต้นและคุ้มค่า และก็ทำให้มันเจ็บปวดและบางครั้งก็หนักหน่วงเกินรับไหว
คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
คู่มือนี้เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงปฏิบัติที่จะช่วยดูแลสุขภาพจิตของคุณ แต่ "กลยุทธ์" ที่สำคัญที่สุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณเพียงลำพัง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณควรทำในฐานะผู้ประกอบการ คือการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์รอบตัวให้แข็งแกร่ง
หนึ่งในสิ่งที่ฉันได้ยินจากผู้ก่อตั้งธุรกิจบ่อยที่สุดคือ คนรอบตัว "ไม่เข้าใจ" คู่สมรส เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมห้องสมัยมหาวิทยาลัย พี่น้อง หรือพ่อแม่ ไม่เข้าใจแรงกดดันและความท้าทายของการเป็นผู้ประกอบการ
"ไม่มีใครเข้าใจว่าการบริหารธุรกิจของฉันมันเป็นยังไง"
"ไม่มีใครเข้าใจชีวิตประจำวันของฉัน และถ้าจะเล่าให้ฟังก็คงต้องใช้เวลานานมาก"
"ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของฉันในตอนนี้ได้เลย"
"คนอื่นไม่มีแรงกดดันและความรับผิดชอบที่หนักเหมือนฉัน"
สมองของคุณกำลังหลอกคุณอยู่ เพราะทุกคน—จริงๆ แล้วคือทุกคนบนโลกเคยรู้สึกหงุดหงิด เราทุกคนเคยเศร้า เคยไม่แน่ใจหรือกลัว ทุกคนเคยหมดไฟหรือรู้สึกไม่อยากทำอะไร เราทุกคนเคยสงสัยในตัวเองหรือขาดความมั่นใจ และเราทุกคนก็เคยสัมผัสความสุขจากความสำเร็จ หรือความตื่นเต้นเวลาที่ทุกอย่างลงตัวพอดี
คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
ฉันจะย้ำอีกครั้ง: คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
มันง่ายมากที่เราจะติดนิสัยที่คิดว่าตัวเราเองอยู่คนเดียวและแยกตัวออกจากคนอื่นเมื่อเราเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจ แต่การเอาชนะความคิดแบบนั้นมันก็ง่ายเหมือนกัน แค่เริ่มติดนิสัยตอบว่า "ใช่" กับคนอื่น "ใช่ ฉันไปดื่มกาแฟและคุยเล่นได้" "ใช่ ฉันอยากเล่าเรื่องในแต่ละวันของฉันให้ฟัง แล้วดูว่าคุณมีความคิดเห็นยังไง" "ใช่ ผมอยากได้คำแนะนำ" ใช่ ใช่ ใช่
พูดให้น้อย ฟังให้มาก โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการในชีวิตคุณ ฟังความเจ็บปวด ความหงุดหงิด และความกลัวของเขา ฟังความสุขและช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง การฟังอย่างตั้งใจจะช่วยสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสถานการณ์ของคุณกับของเขา ไม่ว่าคุณอยากเชื่อมโยงกับสามีที่เป็นคุณพ่ออยู่บ้าน ภรรยาที่ทำงานเป็นหมอในห้องฉุกเฉิน ลูกสาววัยรุ่น หรือพ่อที่เกษียณแล้วและหมกมุ่นกับการตีกอล์ฟ คุณจะหาจุดเชื่อมโยงและความเข้าใจได้ ถ้าคุณฟังอย่างจริงจัง
การฟังไม่ใช่วิธีที่จะทำตัวเป็นซูเปอร์ฮีโร่แล้วแก้ปัญหาให้ทุกคนได้ เพราะคุณเองก็มีความต้องการเหมือนกัน การฟังคือวิธีที่จะช่วยให้คนอื่นช่วยคุณได้ ลองช่วยให้ครอบครัวและเพื่อนเข้าใจชีวิตของคุณในฐานะผู้ประกอบการ ด้วยการฟังอารมณ์และความกังวลที่เหมือนกันในเรื่องราวของพวกเขา เราทุกคนเป็นมนุษย์ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการเชื่อมโยงกับคนอื่นคือผ่านอารมณ์ที่จริงและความเป็นมนุษย์นี่แหละ
ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีร่วมกัน
ความเป็นอยู่ที่ดีของเราขึ้นอยู่กับการมีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและลึกซึ้ง ร่างกายต้องการการสัมผัสทางกาย จิตใจต้องการการสื่อสาร หัวใจจะมีความสุขเมื่อมีคนรักเรา และสมองจะเติบโตเมื่อเราได้ช่วยเหลือคนอื่น เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการสังคม ความสัมพันธ์นำมาซึ่งความสบายใจและเพื่อนคู่คิด คนรอบตัวเราสามารถเป็นกระดานเสียงเวลาที่เราต้องแก้ปัญหา เป็นทางหนีเมื่อเราต้องการพัก เป็นตัวเชื่อมเมื่อเรารู้สึกห่างเหิน เป็นเสียงหัวเราะเมื่อเราต้องการมุมมองใหม่ๆ และเป็นรากฐานที่เราสร้างธุรกิจขึ้นมา
การจะประสบความสำเร็จทั้งในธุรกิจและชีวิต รวมถึงการมีสุขภาพดีนั้นเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีความสัมพันธ์ที่มีความหมายและลึกซึ้ง สิ่งแรกที่เราลงทุนนั้นคือ "คน" และต้องมาก่อนงานอื่นทั้งหมด (และคุณเองก็ถือว่าเป็น "คน" ด้วยนะ)
สุดท้าย ฉันอยากฝากไว้ว่าการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตนั้นเป็นเรื่องสำคัญ นักบำบัดหรือนักให้คำปรึกษาถูกฝึกมาเพื่อจับสัญญาณของรูปแบบพฤติกรรมที่อาจเป็นปัญหา และช่วยป้องกันไม่ให้คุณเข้าสู่วงจรที่เป็นลบหรือความสัมพันธ์พังทลาย หลายคนมีวิธีจัดการความเครียดที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดเรื่องแย่ที่สุด ล้มเหลว รู้สึกโดดเดี่ยวสุดๆ ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า มีความคิดทำร้ายตัวเอง ผ่านการหย่าร้าง หรือเจอปัญหาล้มละลาย คุณจะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยประกอบชิ้นส่วนชีวิตกลับมาใหม่ หากต้องการเคล็ดลับเฉพาะผู้ประกอบการเกี่ยวกับเหตุผลและวิธีเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ลองฟังพอดแคสต์เอพพิโสดนี้
ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะหากลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อทำให้การเป็นผู้ประกอบการเป็นวิถีชีวิตที่ยั่งยืน มีความหมาย น่าพอใจ และสร้างรายได้ดี ถ้าคุณคิดว่าต้องการใครสักคนไว้คุยด้วยจริง ลองติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตในพื้นที่ หรือติดต่อเราได้เลย