คุณคิดว่าการชำระเงินสามารถขับเคลื่อนความแตกต่างของแบรนด์ได้หรือไม่
การชำระเงินเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างความแตกต่างได้จริงค่ะ การมีประสบการณ์การชำระเงินที่ราบรื่น ไม่มีสะดุด และแทบจะมองไม่เห็น สามารถนำมาซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขัน และสร้างการเติบโตของรายได้อย่างเป็นรูปธรรม ฉันคิดว่าในท้ายที่สุด ไม่แน่ใจว่าจะเป็น 10 ปี 20 ปี หรือเมื่อไหร่ก็ตาม มันจะกลายเป็นว่า "ถ้าคุณยังมีความยุ่งยากติดขัดในระบบการชำระเงิน คุณก็จะเป็นฝ่ายแพ้"
แนวโน้มในการทำให้ประสบการณ์ของผู้บริโภคเร็วขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นนี้ใช้ได้กับธุรกิจ B2B ด้วยหรือไม่
ฉันมักจะคิดว่าธุรกิจแบบ B2B ก็คือผู้บริโภคในตอนท้ายสุดนั่นเอง ลองนึกถึงคนกลุ่มที่เคยชินกับการชำระเงินแบบคลิกเดียวจบ หรือความรวดเร็วในการชำระเงิน แล้วพวกเขากลายมาเป็นนักบัญชีหรือผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจที่ต้องเคลื่อนย้ายเงิน ความคาดหวังก็จะเริ่มเปลี่ยนไป อาจจะช้าลง แต่ก็จะกลายเป็นคำถามที่ว่า "ทำไมธุรกิจของฉันถึงทำได้ไม่เร็วแบบนั้นบ้างนะ"
และเราเห็นว่า การควบคุมกระแสเงินสดมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจในขณะนี้ เมื่อการชำระเงินสำเร็จภายในไม่กี่ชั่วโมง หรือภายในหนึ่งวัน ก็ยังถือว่าใช้ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องใช้เวลาสองวันถึงจะสำเร็จ พวกเขาจะเริ่มโทรหาเราและตื่นตระหนกทันที ผู้คนยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อให้การชำระเงินสำเร็จทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก พวกเขายินดีที่จะขอเงินกู้ขนาดเล็กและอื่นๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อควบคุมกระแสเงินสดและทำความเข้าใจว่าเงินสดจะเข้าและออกเมื่อใด
ฉันมักจะคิดว่าธุรกิจแบบ B2B ก็คือผู้บริโภคในตอนท้ายสุดนั่นเอง ลองนึกถึงคนกลุ่มที่เคยชินกับการชำระเงินแบบคลิกเดียวจบ หรือความรวดเร็วในการชำระเงิน แล้วพวกเขากลายมาเป็นนักบัญชีหรือผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจที่ต้องเคลื่อนย้ายเงิน ความคาดหวังก็จะเริ่มเปลี่ยนไป Shirley Hsu รองประธานและผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการชำระเงินของ FreshBooks
คุณช่วยยกตัวอย่างธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์เป็นพิเศษจากความเร็วในลักษณะนี้ได้ไหม
เราเพิ่งเปิดตัว Instant Payouts กับ Stripe และเรามีลูกค้าที่เป็นธุรกิจจัดเลี้ยงรายใหญ่รายหนึ่ง พวกเขายินดีที่จะจ่ายค่าบริการ Instant Payouts เพราะด้วยความเร็วระดับนั้น พวกเขาสามารถนำเงินที่ได้รับจากการชำระค่าอาหารไปซื้อวัตถุดิบเพื่อทำตามออเดอร์ให้เสร็จเรียบร้อยได้เลย หากระยะเวลาการชำระเงินนานกว่านั้น ธุรกิจจัดเลี้ยงขนาดเล็กอาจต้องจ่ายเงินหลายพันดอลลาร์เพื่อซื้อวัตถุดิบ และก็ต้องหวังว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะได้รับเงินจริงๆ เมื่ออีเวนต์จบลง นั่นคือความเสี่ยงที่พวกเขาต้องแบกรับ และเป็นการจัดการกระแสเงินสดที่ไม่ราบรื่นนัก
คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในโลกที่คาดหวังว่าเงินจะเคลื่อนย้ายในทันที
เรื่องนี้มันเป็นปัญหาที่ต้องต่อสู้กันอยู่ตลอดเลย แต่ก่อน ฉันคงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับการสูญเสียจากการฉ้อโกง แล้วก็พูดว่า “ไม่นะ เราจะสูญเสียไม่ได้เด็ดขาด การสูญเสียทุกอย่างมันแย่หมด!” ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่จริงเสมอไป ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับว่า “คุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน และลูกค้าของคุณจะได้รับประสบการณ์แบบไหน” ต่างหาก และฉันคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้คือการทำให้ทุกฝ่ายในองค์กรมีความเห็นตรงกันเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เราต้องกล้าที่จะพูดออกมาเลยว่า “เรายินดีที่จะให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นถึงแม้ว่าจะต้องมีการสูญเสียที่สูงหน่อย หรือเราขอประสบการณ์ลูกค้าในระดับกลางโดยสูญเสียในระดับกลาง หรือยอมให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แลกกับการสูญเสียที่ต่ำที่สุด”
การรักษาความสมดุลในการบริหารจัดการความเสี่ยงนี้เป็นเรื่องที่ AI สามารถช่วยได้หรือไม่
ได้ค่ะ ยิ่งมี AI เข้ามาช่วย เรายิ่งสามารถเจาะลึกไปได้มากกว่าเดิม เราสามารถแบ่งกลุ่มฐานลูกค้า หรือประเภทลูกค้าที่เรากำลังดึงดูดอยู่ได้ แล้วค่อยมากำหนดว่า ระดับความเชื่อถือ ที่เรายินดีจะให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่มนั้นควรเป็นอย่างไร ตอนนี้เรากำลังทำงานร่วมกับ Scale AI เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม Supply Chain Intelligence (ระบบอัจฉริยะด้านห่วงโซ่อุปทาน) สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะเลย เพื่อประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในทั้งเครือข่ายซัพพลายเออร์และลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้ AI ตรวจจับได้ไหมว่า ซัพพลายเออร์รายนี้มีความเสี่ยงไหม หรือ AI ตรวจจับได้ไหมว่า มีความเสี่ยงด้านการชำระเงินจากลูกค้าไหม เราต้องการช่วยให้ธุรกิจเหล่านั้นสามารถจัดการกระแสเงินทุนของตัวเองได้ และในขณะเดียวกัน เราเองก็สามารถประเมินความเสี่ยงโดยรวมของลูกค้าได้ดีขึ้นด้วย เพื่อตัดสินใจว่าเราจะประเมินและควบคุมความเสี่ยงหรือไม่
แต่ก่อน ฉันคงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับการสูญเสียจากการฉ้อโกง แล้วก็พูดว่า “ไม่นะ เราจะสูญเสียไม่ได้เด็ดขาด การสูญเสียทุกอย่างมันแย่หมด!” ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่จริงเสมอไป ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับว่า “คุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน และลูกค้าของคุณจะได้รับประสบการณ์แบบไหน” ต่างหาก และฉันคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้คือการทำให้ทุกฝ่ายในองค์กรมีความเห็นตรงกันเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
FreshBooks เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ และฉันคิดว่าคุณต้องทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการเติบโตขนาดนั้น คุณจะให้คำแนะนำอะไรกับธุรกิจที่อยู่ในตำแหน่งที่คล้ายคลึงกัน
ฉันคิดว่ามีความเข้าใจผิดบางอย่างที่ว่า เมื่อธุรกิจขยายไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะมีมาตรการที่เราสามารถนำมาใช้ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงธุรกิจให้ดีขึ้นได้แทบจะโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น ล่าสุดเราได้เปลี่ยนไปใช้โมเดล Interchange Plus Cost (โมเดลที่คิดค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนบวกต้นทุน) เราเคยคิดว่านี่จะเป็นสูตรสำเร็จที่จะช่วยเพิ่มกำไรได้ทันทีทันใด แต่ความจริงแล้วมันเป็นเหมือนการวิ่งมาราธอนมากกว่าการวิ่งระยะสั้น คุณจำเป็นต้องมีบุคลากรที่รู้จริงเกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิธีการสร้างผลกำไร วิธีการแบ่งส่วนค่าธรรมเนียม Interchange Scheme และค่าใช้จ่ายสำหรับเครือข่าย รวมถึงวิธีการติดตามความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด มันไม่ใช่สถานการณ์ที่สามารถ “ตั้งค่าแล้วปล่อยผ่าน” ได้เลย
ดังนั้น ตอนนี้เราจึงมีทีมงานที่คอยตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งในส่วนของต้นทุนการทำธุรกรรม ค่าธรรมเนียมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม และภาระในการปฏิบัติงาน นี่ไม่ใช่งานที่ง่ายเลยค่ะ แต่การที่เราลงมือทำอย่างจริงจัง ก็ทำให้เราสามารถเพิ่มอัตรากำไรได้ถึง 50% ถึง 75% เลยทีเดียว
ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมจากซีรีส์ Payments Unscripted ของเรา
สำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมจากผู้นำในบริษัทต่างๆ เช่น FreshBooks, Anthropic, Visa และ Klarna โปรดอ่านคำแนะนำของเราในหัวข้อ การเพิ่มรายรับในมุมมองใหม่: บทเรียนที่ใช้ได้จริงจากผู้นำในอุตสาหกรรม 10 ราย