Equity for founders

Understand the mechanics of issuing equity to founders in your company, and avoid mistakes that will be expensive to correct later.

ภาพอวาตาร์ของ Patrick McKenzie
Patrick McKenzie

Patrick has built four software companies that did business internationally. He now works on Atlas at Stripe.

  1. บทแนะนำ
  2. หุ้นคืออะไร
  3. คุณจะได้รับหุ้นได้อย่างไร
  4. การรับสิทธิ์ในหุ้นคืออะไร
  5. เหตุใดบริษัทจึงเลือกมอบหุ้นสิทธิ์ในหุ้นให้กับผู้ก่อตั้ง
  6. จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้ก่อตั้งออกจากบริษัทก่อนที่จะได้สิทธิ์ในหุ้นครบจำนวน
  7. การเร่งกำหนดเวลาคืออะไร
  8. เหตุใดบริษัทจึงไม่ออกหุ้นที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดทันที
  9. การเลือกยื่นภาษีแบบ 83(b) คืออะไร
  10. แล้วข้อกําหนดด้านภาษีและหลักทรัพย์ล่ะ
  11. หุ้นธุรกิจขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ (QSBS) คืออะไร
  12. Stripe Atlas ช่วยเรื่องหุ้นของผู้ก่อตั้งได้อย่างไร
  13. พูดคุยกับนักกฎหมาย

หุ้นคือการเป็นเจ้าของผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจากธุรกิจและเป็นตัวว้ดอิทธิพลต่อการดําเนินธุรกิจ ผู้ก่อตั้งและพนักงานธุรกิจสตาร์ทอัพควรเข้าใจว่าหุ้นทํางานอย่างไร เนื่องจากเป็นส่วนสําคัญในการจัดสรรอํานาจในการลงคะแนนเสียงภายในบริษัทและโครงสร้างผลตอบแทนทั่วทั้งระบบนิเวศสตาร์ทอัพ หากไม่เข้าใจว่าหุ้นทํางานอย่างไร นั่นหมายความว่าคุณทำงานให้กับคนที่เข้าใจโดยปริยาย

เมื่ออ่านคู่มือนี้จบ คุณจะเข้าใจสิ่งต่อไปนี้

  • วิธีซื้อหุ้นในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทก่อตั้งใหม่
  • การมอบสิทธิ์ในหุ้นเป็นอย่างไรแล้วบริษัทของคุณควรทำโปรแกรมนี้หรือไม่
  • เหตุใดการมอบสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาจึงสําคัญต่อการเสนอให้หุ้น
  • ทําไมการเลือกยื่นภาษีแบบ 83(b) จึงสำคัญต่อผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพ

มีหลายด้านที่คุณใช้ความสร้างสรรค์กับบริษัทของคุณได้ แต่แนวปฏิบัติทางกฎหมายเป็นด้านที่ไม่ค่อยคุ้มค่าที่จะเสี่ยงสักเท่าไหร่ คุณจึงควรทำตามสิ่งที่นักกฎหมายธุรกิจสตาร์ทอัพของคุณแนะนำให้ทำ เพราะรายละเอียดและจังหวะเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก

ผู้ก่อตั้งที่เริ่มสร้างบริษัทโดยใช้ Stripe Atlas จะออกหุ้นโดยอัตโนมัติขณะจัดตั้งบริษัทด้วยข้อกำหนดมาตรฐานที่บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนักลงทุนรายใหญ่ใช้

คู่มือนี้เหมาะสำหรับผู้ผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพที่เพิ่งจัดตั้งบริษัท โดยเราจะอธิบายการจัดการหุ้นสําหรับนักลงทุนและพนักงานในธุรกิจสตาร์ทอัพ

Orrick ซึ่งเป็นบริษัทกฎหมายด้านเทคโนโลยีระดับโลกเป็นพาร์ทเนอร์ ด้านกฎหมายของ Stripe Atlas โดยผู้เชี่ยวชาญของ Orrick ได้แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญไว้ในหัวข้อนี้ (ดูที่ข้อความปฏิเสธความรับผิดที่ด้านท้ายของคู่มือนี้) และผู้ใช้ Atlas สามารถเข้าถึงคู่มือแนะนำด้านกฎหมายของ Atlas ฉบับละเอียดที่เขียนโดย Orrick ได้

หุ้นคืออะไร

ตราสารทุนมีหลายรูปแบบ โดยที่นิยมที่สุดคือหุ้น ซึ่งเป็นหน่วยที่เป็นตัวแทนส่วนของบริษัท

บริษัทจะอนุมัติหุ้นจำนวนหนึ่งในตอนที่จัดตั้งบริษัท (และอาจอนุมัติหุ้นเพิ่มเติมเป็นครั้งคราวหลังจากนั้น) และออกหุ้นเหล่านั้นเป็นระยะเพื่อแลกกับเงิน แรงงาน หรือสิ่งที่มีค่าอื่นๆ

แม้ว่าจะขัดกับความรู้สึก แต่ผู้ก่อตั้งบริษัทอาจไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทโดยอัตโนมัติ แต่จะซื้อหุ้นของตน (ซึ่งมักเรียกว่า "หุ้นผู้ก่อตั้ง") จากบริษัทไม่นานหลังจากจัดตั้งบริษัท เนื่องจากทันทีหลังจากที่จัดตั้งบริษัทแทบจะไม่มีมูลค่าทันที หุ้นจึงมีราคาต่ำมาก โดยกำหนดราคาไว้ต่ำ (“มูลค่าพาร์”) ซึ่งอาจมีราคา 0.000001 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ตราบใดที่ผู้ก่อตั้งซื้อหุ้นก่อนที่มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้น ผู้ก่อตั้งก็จะสามารถซื้อหุ้นเหล่านั้นในราคาพาร์โดยทั้งผู้ก่อตั้งและบริษัทไม่ต้องเสียภาษี การซื้อหุ้นตอนที่เห็นได้ชัดว่าหุ้นยังอยู่ในราคาพาร์ทันทีหลังจากที่จัดตั้งบริษัทเป็นผลประโยชน์ของผู้ก่อตั้ง

จากนั้นผู้ก่อตั้งและพนักงานในอนาคตจะทํางานที่จำเป็นต้องทำอย่างหนักเพื่อสร้างธุรกิจ นอกเหนือจากการสร้างมูลค่าในโลกและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เป้าหมายหนึ่งขององค์กรคือการทําให้ธุรกิจมีมูลค่ามากขึ้น ผลที่ตามมาคือหุ้นของบริษัทมีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งมอบผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญแก่ผู้ก่อตั้งและพนักงาน

ในที่สุดหากธุรกิจประสบความสําเร็จ ก็อาจมีผู้เข้าซื้อกิจการ (โดยมีค่าตอบแทนให้กับเจ้าของหุ้นแต่ละรายซึ่งโดยทั่วไปจะคิดตามสัดส่วนของกรรมสิทธิ์ในบริษัท) หรืออาจมีการขายหุ้นต่อสาธารณะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่า เหตุการณ์สร้างสภาพคล่อง เพราะปกติหุ้นในบริษัทเอกชนนั้น ไม่มีสภาพคล่อง กล่าวคือไม่สามารถแปลงเป็นเงินได้ง่าย

หุ้นจะได้รับการบันทึกไว้ใน ตารางโครงสร้างทุน (หรือ ตารางทุน) ซึ่งเป็นสเปรดชีตที่แสดงว่าใครมีหุ้นของบริษัทเท่าใด โดยตารางจะมีรายชื่อผู้ก่อตั้ง นักลงทุน พนักงาน ที่ปรึกษา และอดีตผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ถือหุ้นในบริษัท

เนื่องจากโดยปกติการมอบสิทธิ์ในหุ้นจะมีการทำสัญญา จึงมีเงื่อนไขที่กำหนดไว้ (เช่น การมอบสิทธิ์ในหุ้น ดังที่อธิบายไว้ด้านล่าง) ซึ่งส่งผลต่อคุณอย่างมีนัยสำคัญ

คุณจะได้รับหุ้นได้อย่างไร

คุณจะได้รับหุ้นโดยซื้อจากคนที่ขายหุ้นตามข้อกำหนดที่ยอมรับร่วมกัน

ในกรณีพิเศษที่ผู้ขายเป็นบริษัทที่คุณเพิ่งจัดตั้ง คุณอาจมีอิสระที่จะกำหนดเงื่อนไข หากมีการซื้อหุ้นตอนจัดตั้งบริษัทหรือทันทีหลังจากจัดตั้งบริษัท คุณมักจะซื้อหุ้นได้ตามมูลค่าพาร์ ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับมูลค่าในอนาคตของหุ้นที่ประสบความสำเร็จ

บริษัทมักจะกำหนดเงื่อนไขบางอย่างเพื่อตอบแทนการขายหุ้นให้กับคุณและผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นๆ ข้อหนึ่งคือ การมอบทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งโดยทั่วไปเป็นสัญญาที่ระบุว่าทรัพย์สินทางปัญญาใดๆ ที่คุณสร้างขึ้นระหว่างการทํางานกับบริษัท และทรัพย์สินทางปัญญาใดๆ ที่คุณได้สร้างขึ้นแล้วซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับบริษัทเป็นทรัพย์สินของบริษัท ไม่ใช่ของคุณ การมอบทรัพย์สินทางปัญญาที่สร้างขึ้นระหว่างการจ้างงานของคุณมักจะเรียกว่าข้อตกลงการรักษาความลับและการมอบสิทธิ์ในผลงานที่คิดค้น (CIIAA) โดย Stripe Atlas มีเทมเพลตข้อตกลงการซื้อหุ้นสามัญที่มีเนื้อหาเรื่องการมอบทรัพย์สินทางปัญญา (เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นก่อนบริษัท) และ CIIA สําหรับทรัพย์สินทางปัญญาที่สร้างขึ้นระหว่างการทำงานกับบริษัท

ธุรกิจสตาร์ทอัพมักจะกําหนดให้การมอบทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเงื่อนไขในการซื้อหุ้นใดๆ จากบริษัท ทั้งนี้เป็นเพราะการมอบทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเอกสารให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสําหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ หากไม่เช่นนั้นเมื่อมีการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับบริษัทของคุณ ก็อาจมีฉากย่อยที่เล่าว่าการแก้ปัญหานี้มีค่าใข้จ่ายมากมายแค่ไหน เนื่องจากผู้ก่อตั้งและพนักงานของธุรกิจสตาร์ทอัพมักต้องการได้รับหุ้นของตนเอง ดังนั้นการกำหนดให้ลงนามมอบทรัพย์สินทางปัญญาจะทำให้บริษัทสามารถเก็บรวบรวมลายมือชื่อที่จำเป็นเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินทางปัญญา และกระบวนการนี้ยังหมายความว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทมีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีประเด็นด้านทรัพย์สินทางปัญญาค้างอยู่ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับบริษัทในภายหลัง

คุณควรต้องทําสิ่งนี้และพิสูจน์ได้อย่างง่ายดายว่าคุณได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว นักลงทุนและสถาบันที่จะเข้าซื้อกิจการย่อมไม่อยากเสี่ยงทำงานกับบริษัทที่ไม่มีความชัดเจนเรื่องการมอบทรัพย์สินทางปัญญา บริษัทที่อาจต้องเผชิญกับการฟ้องร้องที่มีค่าใช้จ่ายสูงในการดำเนินธุรกิจอีกหลายปีหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว หากคุณไม่มีหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาที่บันทึกไว้อย่างดี เมื่อนักลงทุนและสถานบันที่สนใจตรวจสอบเอกสารของคุณระหว่างกระบวนการตรวจสอบสถานะบริษัท (การสืบสวนคุณและบริษัทของคุณก่อนทำธุรกรรมร่วมกัน) การแก้ไขปัญหาด้านเอกสารจะทําให้คุณเสียค่าใช้จ่ายจํานวนมาก เครียด หรืออาจล้มข้อตกลงทั้งหมดลง อย่าปล่อยให้เกิดเรื่องนี้กับคุณ จัดการให้มีการลงนามในเอกสารสัญญาที่นักกฎหมายส่งให้คุณ จัดเก็บให้เป็นระเบียบเพื่อให้เรียกใช้ได้ง่ายตลอดเวลา

โดยทั่วไปแล้ว หุ้นไม่ใช่สิ่งที่ให้เปล่า แต่เป็นการแลกเปลี่ยน และควรบันทึกเป็นเอกสารไว้ด้วยว่าการแลกเปลี่ยนมูลค่ากับหุ้นเกิดขึ้นจริง (เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางภาษีที่ไม่พึงประสงค์) สําหรับผู้ก่อตั้งบริษัทที่ซื้อหุ้นตอนที่จัดตั้งบริษัท โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินตามจำนวนที่ตั้งไว้ (มูลค่าพาร์คูณจำนวนหุ้นที่ได้รับ) กับหุ้น หรือการโอนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่จัดตั้งบริษัท (ผู้ก่อตั้งที่ใช้ Stripe Atlas เพื่อออกหุ้นจะซื้อหุ้นโดยใช้เงินและทรัพย์สินทางปัญญาผสมกัน)

การรับสิทธิ์ในหุ้นคืออะไร

กรรมสิทธิ์ในธุรกิจสตาร์ทอัพสําหรับทั้งผู้ก่อตั้งและพนักงานจะ รับได้ตามระยะเวลา โดยไม่ได้รับในทันทีเมื่อเริ่มงานกับบริษัท แต่จะสะสมตาม ตารางการได้รับสิทธิ์ที่ตกลงไว้ล่วงหน้า

มีเหตุผลหลายประการที่ธุรกิจสตาร์ทอัพเลือกที่จะออกหุ้นโดยกำหนดเงื่อนไขการรับสิทธิ์ ส่วนใหญ่ทำเพื่อให้เกิดแรงจูงใจที่สอดคล้องกันระหว่างบริษัท บุคคลที่ได้รับหุ้น และเจ้าของบริษัทคนอื่นๆ อีกเหตุผลคือมูลค่าเป็นสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพื่อสร้างขึ้น ดังนั้นสิทธิ์การเป็นเจ้าของของบริษัทก็ควรได้รับตามระยะเวลา ไม่ใช่ทันที มิฉะนั้นก็อาจมีคนที่จากบริษัทไปพร้อมกับกรรมสิทธิ์จำนวนมากโดยไม่ได้สร้างมูลค่าถึงระดับดังกล่าว

ลองนึกถึงบริษัทที่มีผู้ก่อตั้งสามคน หนึ่งในนั้นลาออกไปหลังจากผ่านไปสามเดือน (ซึ่งมักจะเกิดบ่อยๆ) อีกสองคนที่เหลือทำงานต่อไปอีก 6 ปี และสร้างธุรกิจจนบริษัทประสบความสําเร็จอย่างมากและสามารถขายได้ เป็นเรื่องที่ยุติธรรมแล้วหรือที่ผู้ก่อตั้งทั้งสามคนจะได้รับเงินเท่ากันจากการขายธุรกิจ ไม่ใช่เลย ชัดเจนว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้ก่อตั้งที่ยังอยู่กับบริษัท และที่จริงก็ไม่ยุติธรรมถึงขนาดที่ความไม่ยุติธรรมที่เห็นอยู่เบื้องหน้าอาจทําให้บริษัทจบสิ้นทันทีที่ผู้ก่อตั้งคนแรกลาออกไป

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด บริษัทย่อมอยากจะคงอยู่ต่อไป ลูกค้าย่อมอยากจะได้รับบริการต่อไป พนักงานก็ต้องการที่จะยังคงมีงาน ผู้ก่อตั้งที่เหลือก็ย่อมต้องการที่จะยังคงมีส่วนในบริษัทอย่างเท่าเทียม และผู้ก่อตั้งที่ออกจากบริษัทไปก็ย่อมไม่ต้องการที่จะเห็นว่างานที่ทำมาต้องสูญเปล่า ดังนั้นการมอบสิทธิ์ในหุ้นตามเงื่อนไขจึงอาจช่วยไม่ให้บริษัทล่มสลายได้

การมอบสิทธิ์ในหุ้นเป็นสิทธิตามสัญญาระหว่างบริษัทกับบุคคล และสามารถกําหนดเงื่อนไขได้เช่นเดียวกับข้อตกลงทางสัญญาอื่นๆ

โดยมักจะดําเนินการในสองส่วนสําหรับผู้ก่อตั้ง ได้แก่ การมอบหุ้นให้แก่ผู้ก่อตั้งแต่แรกในทันทีโดยระบุเงื่อนไขระยะเวลาที่บริษัทสามารถซื้อหุ้นบางส่วนหรือทั้งหมดคืนในราคาที่ผู้ก่อตั้งจ่ายค่าหุ้นเหล่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปความเสี่ยงที่ผู้ก่อตั้งจะสูญเสียหุ้นบางส่วนไปจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปตาม ตารางการรับสิทธิ์ในหุ้น จนถึงจุดที่ไม่มีหุ้นใดมีความเสี่ยงดังกล่าว ณ จุดนั้นจะถือว่าบุคคลดังกล่าว “ได้รับสิทธิ์เต็มจำนวน”

สําหรับผู้ก่อตั้ง บริษัทในซิลิคอนแวลลีย์มักจะใช้ตารางการรับสิทธิ์ในหุ้นที่หุ้นส่วนหนึ่งจะมีกำหนดรับสิทธิ์หลังจากพ้นช่วงเวลาที่กำหนดโดยส่วนที่เหลือจะรับสิทธิ์ในจำนวนที่เท่ากันในระยะเวลาที่นานขึ้น การรับสิทธิ์ในหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยมาตรฐานมักกำหนดตารางเวลา "การรับสิทธิ์ในหุ้น 4 ปี รอ 1 ปี" (ซึ่งเป็นเงื่อนไขตั้งต้นสําหรับการใช้ Stripe Atlas ออกหุ้นสำหรับผู้ก่อตั้งเช่นกัน)

ระยะเวลาที่กำหนดดังกล่าวเรียกว่า ระยะเวลารอ ซึ่งจะไม่มีการรับสิทธิ์ในหุ้นจนกว่าจะถึง วันที่ครบกำหนดรอ ซึ่งเป็นเวลาที่มีการรับสิทธิ์ในหุ้นจำนวนมาก โดยทั่วไปแล้วสัดส่วนของหุ้นที่ได้รับสิทธิ์จะเท่ากับสัดส่วนระยะเวลารอต่อระยะเวลาการรับสิทธิ์ในหุ้นทั้งหมด ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขระยะเวลารับสิทธิ์ในหุ้น 4 ปี รอ 1 ปี พนักงานจะได้รับสิทธิ์ในหุ้น 25% หลังจากทำงานครบปีแรก

โดยทั่วไปแล้วบริษัทจะมอบสิทธิ์ในหุ้นที่เหลือเพิ่มขึ้นทุกเดือนเป็นจำนวนเท่าๆ กันจนสิ้นสุดระยะเวลาการมอบสิทธิ์ในหุ้นให้พนักงาน สำหรับเงื่อนไขการมอบสิทธิ์ 4 ปี รอ 1 ปี ส่วนหุ้นส่วนที่เหลืออีก 75% จะแบ่งเป็นการมอบสิทธิ์ในหุ้นให้ 36 งวดในจำนวนเท่าๆ กันตลอดเวลาอีกสามปีต่อมา

บริษัทบางแห่งใช้ตารางการมอบสิทธิ์ในหุ้นที่ต่างออกไป เช่น การขยายระยะเวลาการมอบสิทธิ์ในหุ้นเป็น 5 หรือ 6 ปี หรือกำหนดจำนวนหุ้นที่ให้ต่อเดือนแบบถ่วงไว้ช่วงท้าย (เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ทำงานอยู่กับบริษัทเป็นระยะเวลานาน) คุณควรอ่านข้อตกลงทางกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยทั่วไปแล้วเงื่อนไขการมอบสิทธิ์ในหุ้น รวมทั้งในกรณีที่มักไม่เกิดขึ้นได้ง่ายควรจะต้องตกลงกันไว้ล่วงหน้า เพราะการแก้ไขข้อผิดพลาดหลังจากที่ตกลงตารางเวลากันแล้วอาจส่งผลกระทบสูงมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ก่อตั้งมีปัญหาซึ่งมักเกิดได้บ่อยเมื่อผู้ก่อตั้งแยกทางกันโดยมีเงินจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง

เหตุใดบริษัทจึงเลือกมอบหุ้นสิทธิ์ในหุ้นให้กับผู้ก่อตั้ง

ผู้ก่อตั้งอาจลังเลที่จะยอมรับการให้สิทธิ์ในหุ้นเนื่องจากเป็นกลไกที่ตนอาจต้องเสียกรรมสิทธิ์ในบริษัทของตนเอง ในขณะที่นักลงทุนและผู้ร่วมก่อตั้งที่เชี่ยวชาญมักจะกําหนดเป็นเงื่อนไขในการทำธุรกิจกับคุณ

การมอบสิทธิ์ในหุ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่มีผู้ก่อตั้งหลายคน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ก่อตั้งอาจเข้มข้นมากเพราะธุรกิจสตาร์ทอัพก็เข้มข้น บริษัทของคุณจะเติบโตในทิศทางใหม่ที่คาดเดาไม่ได้ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งผู้ก่อตั้งอาจพบว่าตัวเองเติบโตในรูปแบบที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของบริษัท แม้แต่คนที่เป็นเพื่อนสนิทกันบางครั้งก็ต้องแยกกันระหว่างที่ธุรกิจดำเนินไป การมอบสิทธิ์ในหุ้นทำให้มีโครงสร้างที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าที่เป็นระเบียบเพื่อตัดสินใจว่าการแยกทางจะเกิดขึ้นอย่างไร หากไม่มีโปรแกรมมอบสิทธิ์ในหุ้น การโต้แย้งกันเรื่องกรรมสิทธิ์และอำนาจควบคุมหลังจากผู้ก่อตั้งคนหนึ่งจากไปอาจทำให้บริษัทแตกแยก ทำให้ทุกคน (บริษัท ผู้ก่อตั้งที่เหลืออยู่ และผู้ก่อตั้งที่จากไป) อยู่ในสภาพที่แย่กว่าการที่บริษัทได้แบ่งผลประโยชน์ตามรูปแบบที่ตัดสินใจไว้แล้วในข้อตกลงการมอบสิทธิ์ในหุ้น

การมอบสิทธิ์ในหุ้นยังเป็นประโยชน์กับผู้ก่อตั้งแบบตัวคนเดียวด้วย นักลงทุนอาจกำหนดข้อนี้เป็นเงื่อนไขในการลงทุน (แม้ว่าคุณจะเจรจากำหนดรายละเอียดที่แน่นอนในนั้นได้ก็ตาม) นอกจากนี้คุณยังสามารถแสดงให้พนักงานในอนาคตเห็นได้ด้วยว่าคุณมีความยุติธรรมในการจัดสรรหุ้นให้กับพวกเขาภายใต้โปรแกรมการมอบสิทธิ์ในหุ้น ซึ่งบ่งบอกว่าคุณยินดีที่จะทำเช่นนั้นด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ ข้อตกลงการมอบสิทธิ์ในหุ้นยังช่วยปกป้องผลประโยชน์ของผู้ก่อตั้งและบริษัทจากคนที่ต้องการชิงตำแหน่งบริหารจากผู้ก่อตั้ง (มักเกิดขึ้นโดยที่บริษัทไม่ได้เจตนาให้เป็นเช่นนั้น) คุณอาจมีความไว้วางใจอย่างเต็มที่ว่าผู้ร่วมก่อตั้งจะทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทตลอดเวลา แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นหากว่ากำลังจะเกิดเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ตำแหน่งสำคัญนั้นก็อาจตกอยู่ในมือของทายาทหรือนักกฎหมายของพวกเขาแทน ซึ่งบุคคลใหม่ก็อาจไม่ได้ให้การสนับสนุนผลประโยชน์หรือความมุ่งหวังเดิมของผู้ก่อตั้งดั้งเดิมโดยอัตโนมัติ ดังนั้นโปรแกรมมอบสิทธิ์ในหุ้นจะช่วยให้อนาคตของบริษัทคุณ สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่เข้ามาใหม่ในกรณีที่มีผู้ที่เข้ามาอยู่ในตารางโครงสร้างทุนของบริษัทโดยไม่คาดคิด

คุณมีพลังงานจำกัดในการพูดคุยเรื่องหนักๆ กับผู้ร่วมก่อตั้ง ซึ่งการเตรียมแผนสำรองไว้เพื่อทุกกรณีที่อาจเกิดความล้มเหลวอาจทำให้คุณต้องพูดคุยเรื่องหนักๆ มากมายหลายเรื่อง เงื่อนไขมาตรฐานของ Silicon Valley จัดทำโดยครอบคลุมเรื่องการเสียชีวิต การหย่า การฟ้องร้อง และการแตกหักอย่างรุนแรงของผู้ก่อตั้งซึ่งบางครั้งเกี่ยวข้องกับเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ดี แล้วเราจะเสียเวลาคิดใหม่ไปทำไม ดังนั้นขอแนะนำอย่างยิ่งให้ใช้เงื่อนไขการมอบสิทธิ์ในหุ้นตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เพื่อที่คุณจะได้ใช้เวลากับโครงการที่ทําให้บริษัทของคุณประสบความสําเร็จมากขึ้น

จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้ก่อตั้งออกจากบริษัทก่อนที่จะได้สิทธิ์ในหุ้นครบจำนวน

ในกรณีนี้ส่วนใหญ่บริษัทจะเลือกใช้สิทธิ์ซื้อคืนที่เหลือกับหุ้นที่ยังไม่มีการรับสิทธิ์ซึ่งผู้ก่อตั้งที่ออกจากบริษัทได้ซื้อไว้ โดยจะทําตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจรวมถึงการแจ้งความจำนงซื้อหุ้นที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ให้ผู้ก่อตั้งรายนั้นทราบเป็นลายลักษณ์อักษร และชําระคืนตามราคาที่ผู้ก่อตั้งรายนั้นได้จ่ายค่าหุ้นเหล่านั้นไป

โปรดทราบว่าจํานวนเงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้นหรือสิทธิ์ในการซื้อหุ้นไม่ใช่มูลค่าปัจจุบัน แต่เป็นราคาที่มีการจ่ายค่าหุ้นไว้ในตอนแรก โดยการซื้อคืนไม่ส่งผลให้เกิดผลกําไรหรือขาดทุน ซึ่งหมายความว่าสำหรับผู้ก่อตั้งที่ออกจากบริษัทก่อนที่จะได้รับสิทธิ์ในหุ้นเต็มจํานวน หากมีการซื้อคืนหุ้น พวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนในราคาหุ้นที่ตั้งต้นเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น หากผู้ก่อตั้งมีกรรมสิทธิ์ในหุ้น 4 ล้านหุ้นโดยซื้อในมูลค่าพาร์ด้วยมูลค่าการซื้อที่ 0.00001 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น โดยรับสิทธิ์ไปแล้วเพียง 25% เท่านั้น บริษัทก็จะซื้อคืน 3 ล้านหุ้นในราคา 30 ดอลลาร์สหรัฐ

บริษัทควรจะมั่นใจว่าได้ชำระค่าหุ้นที่ซื้อกลับมาแล้วจริงๆ แม้ว่าจํานวนเงินเหล่านี้มักถูกมองข้ามได้ง่าย เพราะย่อมไม่มีใครอยากจะต้องมาพบในขณะตรวจสอบสถานะกิจการก่อนเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกว่าบริษัทขาดหุ้นไป 3 ล้านหุ้นที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ เพียงเพราะมีคนลืมเขียนเช็คมูลค่า 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อ 6 ปีก่อน

การเร่งกำหนดเวลาคืออะไร

นอกจากสัญญาจะสามารถกำหนดระยะเวลาการมอบสิทธิ์ในหุ้นได้แล้ว ยังสามารถกำหนดเกณฑ์การมอบสิทธิ์ให้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ได้ด้วย ซึ่งเรียกว่าการเร่งกำหนดเวลา

รูปแบบที่พบบ่อยที่สุดในหมู่ผู้ประกอบการที่ล้ำหน้าก็คือการมอบสิทธิ์ในหุ้นที่ยังไม่ได้มอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ซึ่งเรียกว่าทริกเกอร์

การเร่งการกำหนดเวลามี 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

การเร่งกำหนดเวลาแบบทริกเกอร์ครั้งเดียว: ผู้ก่อตั้งมอบสิทธิ์ในหุ้นบางส่วนที่ยังไม่ได้มอบหลังจากเหตุการณ์ครั้งเดียว โดยทั่วไปแล้วเหตุการณ์ที่ทริกเกอร์มักเป็นเหตุการณ์ที่มีการเปลี่ยนการควบคุม เช่น การเข้าซื้อกิจการ

การเร่งกำหนดเวลาแบบสองทริกเกอร์: ผู้ก่อตั้งจะมอบสิทธิ์ในหุ้นจำนวนหนึ่ง (โดยทั่วไปแล้วคือ 100%) ของหุ้นที่ยังไม่ได้มอบสิทธิ์ให้หลังจากเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์ โดยทั่วไปแล้วเหตุการณ์แรกคือการเปลี่ยนแปลงการควบคุม (เช่น การเข้าซื้อกิจการ) และเหตุการณ์ที่สองคือการเลิกจ้างผู้ก่อตั้งโดยเจ้าของบริษัทรายใหม่ (หรือ "การเลิกจ้างโดยอ้อม" ซึ่งเกิดจากการที่เจ้าของรายใหม่ทำให้ผู้ก่อตั้งไม่สามารถทํางานในตําแหน่งใหม่ได้)

การเร่งกำหนดเวลาทั้งสองรูปแบบช่วยปกป้องผลประโยชน์ของผู้ก่อตั้งในกรณีที่มีการเข้าซื้อกิจการ โดยมีเหตุผลหลายประการ เหตุผลหนึ่งคือการมอบอํานาจในการจ้างงานให้แก่เจ้าของรายใหม่ไม่ควรเป็นการมอบอํานาจในการควบคุมผลประโยชน์ที่เกิดจากคุณค่าที่ต้นได้สร้างไว้ในบริษัทที่ถูกเข้าซื้อกิจการ

ผู้ก่อตั้งและพนักงานมักจะนิยมใช้การเร่งกำหนดเวลาแบบทริกเกอร์ครั้งเดียวมากกว่าแบบสองทริกเกอร์ เนื่องจากเร่งกำหนดเวลาเป็นสิ่งที่ต้องการ และการเข้าเงื่อนไขทริกเกอร์ครั้งเดียวเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าแบบสองทริกเกอร์ แต่โดยทั่วไปแล้ว VC ในซิลิคอนแวลลีย์จะนิยมการเร่งกำหนดเวลาแบบสองทริกเกอร์มากกว่าแบบทริกเกอร์ครั้งเดียว การเร่งกำหนดเวลาแบบทริกเกอร์ครั้งเดียวไม่ใช่มาตรฐานที่ใช้ในซิลิคอนแวลลีย์ แม้ว่าบริษัทบางแห่งจะใช้วิธีนี้ก็ตาม

รายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าเหตุการณ์ที่เป็นทริกเกอร์คืออะไรเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งกำหนดอยู่ในเงื่อนไขในสัญญาซื้อหุ้น จึงควรตรวจสอบเอกสารดังกล่าวโดยละเอียดและขอคำแนะนำทางกฎหมาย

เหตุผลที่ยอดเยี่ยมข้อหนึ่งในการเร่งกำหนดเวลาแบบสองทริกเกอร์ให้กับผู้ก่อตั้ง คือการส่งสัญญาณว่าจะมอบเงื่อนไขนี้ให้กับพนักงานระดับสูงซึ่งมีความเสี่ยงที่จะต้องจากบริษัทไปโดยไม่สมัครใจเมื่อเกิดการเข้าซื้อกิจการ และมีความสามารถในการขอเงื่อนไขที่น่าพอใจจากผู้เข้าซื้อกิจการอย่างจำกัดมากหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ก่อตั้ง

เหตุใดบริษัทจึงไม่ออกหุ้นที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดทันที

โดยทั่วไปแล้ว บริษัทจะอนุมัติหุ้นจํานวนหนึ่งเมื่อจัดตั้งบริษัทแต่จะออกหุ้นเพียงบางส่วนเท่านั้นในตอนแรก โดยแบ่งออกให้ผู้ก่อตั้งตามข้อตกลงร่วมกัน เช่น บริษัทอาจอนุมัติหุ้นจำนวน 10 ล้านหุ้น แต่ออกหุ้นเพียง 8 ล้านหุ้น โดยแบ่งให้ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสองคนเท่าๆ กัน

ส่วนอีก 2 ล้านหุ้นจะถูกสำรองไว้เพื่อคนอื่นรับในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพนักงาน แล้วทําไมคุณจึงต้องอนุมัติหุ้นที่ตั้งใจจะมอบให้พนักงานล่วงหน้า นั่นเป็นเพราะการอนุมัติ หุ้นต้องผ่านขั้นตอนเอกสารที่น่าเบื่อและมีค่าใช้จ่ายสูง รวมทั้งต้องมีการยื่นเอกสารต่อรัฐ แต่การออกหุ้น ที่อนุมัติแล้วทำได้ค่อนข้างง่าย การอนุมัติหุ้นมากกว่าที่วางแผนจะออกไว้ล่วงหน้ามักจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดเรื่องปวดหัวไปได้ในระยะยาว หากคุณไม่จําเป็นต้องใช้หุ้นที่อนุมัติแต่ไม่ได้ออกก็ไม่เป็นไร เพราะหุ้นที่ยังไม่ได้ออกไม่ได้ทําให้สัดส่วนความเป็นเจ้าของของผู้ถือหุ้นรายใดในบริษัทลดลง (ในทางตรงข้าม การออกหุ้นที่คุณยังไม่ได้อนุมัติถือเป็นหนทางสู่ความยุ่งยากทางกฎหมายครั้งใหญ่ที่ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง)

คุณอาจสงสัยว่าสัดส่วนที่ลดลงคืออะไร โดยพื้นฐานแล้วเมื่อจํานวนหุ้นในบริษัทเพิ่มขึ้น หุ้นแต่ละหุ้นจะมีสัดส่วนในมูลค่าทางเศรษฐกิจของบริษัทลดลง ถ้าคุณมีหุ้น 4 ล้านหุ้นจาก 8 ล้านหุ้น ณ ตอนที่ก่อตั้งบริษัท แต่จําเป็นต้องอนุมัติและออกหุ้น 2 ล้านหุ้นให้แก่พนักงานและออกหุ้น 30 ล้านหุ้นให้แก่นักลงทุน คุณจะถือครองเพียง 10% ของบริษัท ไม่ใช่ 50% เหมือนตอนเริ่มต้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิบเปอร์เซ็นต์ของธุรกิจที่ประสบความสําเร็จอย่างมากย่อมมีมูลค่าเป็นเงินมากกว่า 50% ของความฝัน แต่คุณควรทราบว่าการถือครองสัดส่วนที่ลดลงเกิดขึ้นกับคุณและเจ้าของบริษัทรายอื่นๆ ทุกครั้งที่คุณออกหุ้นให้ใคร

ลองพิจารณาตัวอย่างกรณีของบริษัทที่มีหุ้นที่อนุมัติแล้ว 10 ล้านหุ้น โดย 8 ล้านหุ้นออกให้ผู้ร่วมก่อตั้ง 2 คนเท่าๆ กัน ผู้ก่อตั้งแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ 50% ของบริษัท ณ ปัจจุบัน แต่ได้แสดงเจตนาว่าทั้งสองยินยอมให้สัดส่วนหุ้นลดลงเหลือคนละ 40% ในกรณีที่มีการออกหุ้นทั้งหมด (ซึ่งน่าจะออกให้แก่พนักงาน)

การออกหุ้นใหม่แต่ละครั้ง เช่น เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินลงทุนจะลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของของผู้ก่อตั้ง (และเจ้าของบริษัทคนอื่นๆ) สัดส่วนหุ้นที่ลดลงไม่ใช่สิ่งที่แย่ แต่เป็นต้นทุน ซึ่งบางครั้งการจ่ายต้นทุนเพื่อแลกกับสิ่งต่างๆ (เช่น การมีส่วนร่วมของพนักงานหรือเงินจากนักลงทุน) ด้วยความหวังว่าจะสรางมูลค่าที่สูงกว่าต้นทุนที่จ่ายไปก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์

การเลือกยื่นภาษีแบบ 83(b) คืออะไร

คุณอาจสงสัยว่าภาษีหุ้นของผู้ก่อตั้งมีการเก็บอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าควรปรึกษากับที่ปรึกษาเฉพาะทาง

หากคุณซื้อทรัพย์สิน (เช่น หุ้น) ในราคาต่ํากว่ามูลค่าตลาดที่เป็นธรรม คุณจะต้องเสียภาษี รายได้จากส่วนต่างระหว่างมูลค่าตลาดที่เป็นธรรมกับราคาที่คุณจ่ายไปจริง สําหรับเหตุผลหนึ่งที่ผู้ก่อตั้งมักจะซื้อหุ้นของตนทันทีหลังจากจัดตั้งบริษัทคือ เพื่อให้สามารถซื้อหุ้นได้เมื่อมูลค่าตลาดที่เป็นธรรมเป็นมูลค่าคงค้าง พวกเขาสามารถจ่ายค่าหุ้นจํานวนมากล่วงหน้าได้ (ในราคาที่เป็นค่า) และไม่มีรายได้จากการซื้อ โดยในที่สุด พวกเขาจะต้องเสียภาษี รายได้หากขายหุ้นโดยมีผลกําไร แต่ก็อาจเป็นปีในอนาคต

โดยทั่วไปแล้วหุ้นในโครงการมอบสิทธิ์มีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกคืน กล่าวคือมักจะถูกซื้อคืนในราคาตั้งหากผู้ก่อตั้งออกจากบริษัท โดยกฎหมายภาษีของสหรัฐอเมริกาจะถือว่าผู้ก่อตั้งได้รับหุ้น (จากมุมมองภาษี ไม่ใช่มุมมองกฎหมาย) เมื่อความเสี่ยงดังกล่าวหมดไป กล่าวคือเมื่อ "ได้รับมอบสิทธิ์ในหุ้น" ซึ่งหมายความว่าจะมีการคำนวณ “ส่วนต่าง” ระหว่างมูลค่าตลาดที่เป็นธรรมของหุ้นและราคาที่ชําระ ทุกครั้งที่มีการมอบสิทธิ์ในหุ้น หากหุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นก่อนที่จะมีการรับมอบสิทธิ์ ผู้ถือหุ้นอาจได้รับผลกําไรที่บันทึกไว้จากส่วนต่างระหว่างมูลค่าพาร์และมูลค่าตลาดที่เป็นธรรมของหุ้น ซึ่งผู้ก่อตั้งรายนี้ก็จะต้องจ่ายภาษีจากรายได้ที่ถือว่าได้จากส่วนต่างนี้แม้ว่าจะยังไม่สามารถขายหุ้นได้ก็ตาม

โครงสร้างการคำนวณแบบนี้อาจจะโหดขึ้นอีก ยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่าย เช่น ผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่งมีสิทธิ์ 4 ล้านหุ้นในบริษัทมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีการออกหุ้นทั้งหมด 10 ล้านหุ้น โดยผู้ร่วมก่อตั้งรายนี้จะรับสิทธิ์ในหุ้น 1 ล้านหุ้นต่อปี หรือประมาณ 83,000 หุ้นต่อเดือน แต่ละหุ้นมีมูลค่า 2 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น ผู้ร่วมก่อตั้งรายนี้จะถูกมองว่าได้รับรายได้ประมาณ 180,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งเงินนี้ไม่ใช่เงินสดเพราะยังไม่มีตลาดสําหรับหุ้นเหล่านั้น แต่ IRS ก็กำหนดให้ต้องชำระภาษีเสมือนว่าผู้ก่อตั้งรายนี้ได้รับเงินสดแล้วเดือนละ 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ (และในทํานองเดียวกัน บริษัทก็ต้องเสียภาษีเงินเดือนจากยอดดังกล่าว)

ยื่นภาษีแบบ 83(b): หากคุณยื่นเอกสารที่เหมาะสมกับ IRS ภายใน 30 วันหลังจากได้รับหุ้น กฎหมายภาษีของสหรัฐอเมริกาจะถือว่าคุณได้รับหุ้นทั้งหมดของคุณ เมื่อชําระค่าหุ้นแล้ว ดังนั้นส่วนต่างระหว่างมูลค่าตลาดที่เป็นธรรมกับราคาที่ซื้อหุ้นจะคํานวณและเรียกเก็บภาษีล่วงหน้า (เมื่อหุ้นยังคงมีมูลค่าต่ำ) แทนที่จะเป็นมูลค่าในตอนที่รับสิทธิ์เต็ม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะส่งผลให้มีความรับผิดทางภาษีน้อยหรือไม่มี

นี่เป็นหนึ่งในงานดูแลสำคัญพื้นฐานสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพในช่วงแรก อย่าลืมการเลือกยื่นภาษีแบบ 83(b) พูดคุยกับนักบัญชีหรือนักกฎหมายเพื่อดูว่าคุณควรยื่นแบบดังกล่าวหรือไม่และจะยื่นให้ถูกต้องได้อย่างไร ปัญหานี้ได้ทําให้ผู้เสียภาษีที่ฉลาดและซื่อสัตย์ ซึ่งมีข้อผิดพลาดเพียงอย่างเดียวคือการทํางานให้กับบริษัทที่มีมูลค่าแต่พลาดลืมส่งเอกสารที่มีเพียงหน้าเดียวภายในวันที่กําหนด

แล้วข้อกําหนดด้านภาษีและหลักทรัพย์ล่ะ

เมื่อบริษัทอเมริกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขายหุ้น บริษัทเหล่านี้จะลงทะเบียนการขายกับหน่วยงานรัฐหลายแห่ง เมื่อบริษัทเอกชนออกหุ้นให้แก่ผู้ก่อตั้ง บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะได้รับยกเว้นจากข้อกําหนดด้านการจดทะเบียนของรัฐบาลกลาง ซึ่งโดยทั่วไปบริษัทเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องยื่นเอกสารใดกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้รับสิทธิ์การยกเว้นนี้ อย่างไรก็ตามแต่ละรัฐในสหรัฐอเมริกามีข้อกําหนดของตนเองซึ่งบริษัทต่างๆ อาจต้องยื่นขอการยกเว้นการลงทะเบียนโดยขึ้นอยู่กับรัฐที่ผู้ก่อตั้งกิจการอยู่ ท้ังนี้ประเทศอื่นก็อาจมีกฎระเบียบที่ทำให้เกิดภาระผูกพันด้านกฎหมายและภาษีสำหรับผู้ก่อตั้งที่ไม่ใช่สัญชาติอเมริกัน

คุณควรพูดคุยกับทนายความเพื่อทําความเข้าใจว่ามีภาระผูกพันใดๆ เหล่านี้หรือไม่

หุ้นธุรกิจขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ (QSBS) คืออะไร

หุ้นธุรกิจขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ (QSBS) เป็นการจัดการทางภาษีที่เอื้ออํานวยต่อผู้ก่อตั้งบริษัทประเภท C หากหุ้นของคุณมีคุณสมบัติเป็น QSBS คุณอาจประหยัดภาษีได้สูงสุด 100% จากการขายหุ้นของคุณในอนาคต โปรดทราบว่าโดยทั่วไปแล้วคุณจะต้องเป็นเจ้าของหุ้นเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีนับจากวันที่รับสิทธิ์ในหุ้น (หรือจากวันที่ซื้อหุ้นหากคุณเลือกยื่นภาษีแบบ 83(b)) โปรดอ่านรายการหลักเกณฑ์การรับสิทธิทั้งหมดอย่างละเอียด รวมถึงเหตุการณ์ที่อาจทําให้หุ้นของคุณไม่เข้าคุณสมบัติตามเกณฑ์ดังกล่าวด้วย บริษัทเองก็ต้องทำตามกฎระเบียบบางประการเพื่อให้ผู้ถือหุ้นของตนมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ QSBS โปรดอ้างอิงคู่มือที่ลิงก์นี้

Stripe Atlas ช่วยเรื่องหุ้นของผู้ก่อตั้งได้อย่างไร

Stripe Atlas ช่วยผู้ก่อตั้งสร้างและลงนามในเอกสาร ทางกฎหมายที่อนุมัติและออกหุ้นให้กับทีมผู้ก่อตั้ง โดยเอกสารเหล่านี้ประกอบด้วยข้อกําหนดมาตรฐานที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนที่มีประสบการณ์ใช้ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ แบบฟอร์มเริ่มต้นใช้งาน Atlas ช่วยให้ผู้ก่อตั้งมีความยืดหยุ่นในการปรับกําหนดเวลาการมอบสิทธิ์ในหุ้นให้ตรงตามความต้องการของตน เมื่อผู้ก่อตั้งส่งแบบฟอร์มเริ่มต้นใช้งานแล้ว Atlas ก็จะสร้างเอกสารเหล่านี้โดยอัตโนมัติและเก็บรวบรวมลายเซ็นจากผู้ก่อตั้งทุกคนที่จะเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัท

เงื่อนไขมาตรฐานในเอกสารมีดังนี้

กําหนดเวลาการรับสิทธิ์ในหุ้น: รับสิทธิ์ใน 4 ปี รอ 1 ปี โดยรับสิทธิ์เดือนละเท่าๆ กันตลอดระยะเวลา 3 ปีหลังจากระยะเวลารอ โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ในแอปพลิเคชัน Atlas

การเร่งกำหนดเวลา: การเร่งกำหนดเวลาแบบสองทริกเกอร์ (ผู้ก่อตั้งจะได้รับสิทธิ์ทันทีหากถูกเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผล หรือลาออกโดยมีสาเหตุหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุม)

จํานวนหุ้นที่ออก: บริษัทประเภท C ทั้งหมดที่ใช้ Atlas จะอนุมัติหุ้นจำนวน 10 ล้านหุ้น โดยมีหุ้น 5 - 30% จากจำนวนทั้งหมดที่ยังไม่ได้ออก เพื่อให้สามารถออกให้กับพนักงาน ที่ปรึกษา หรือผู้ให้บริการในอนาคตได้ Stripe Atlas กําหนดค่าเริ่มต้นของ "จำนวนหุ้นสำหรับจัดสรร" ไว้ที่ 15% แต่ผู้ก่อตั้งสามารถเลือกตัวเลขต่างจากนี้ได้ในแอปพลิเคชัน Atlas

ราคาต่อหุ้น: Stripe Atlas ใช้ราคาพาร์ตามมาตรฐานที่ 0.00001 ดอลลาร์ต่อหุ้น

เมื่อใช้ค่าเริ่มต้นเหล่านี้ ผู้ก่อตั้ง Stripe Atlas จะชําระค่าหุ้นผู้ก่อตั้งไม่เกินหลักสิบดอลลาร์สหรัฐ

หากต้องการปรับเปลี่ยนกําหนดเวลาการมอบสิทธิ์ในหุ้น คุณสามารถทําได้ในแอปพลิเคชัน Atlas

หากต้องการปรึกษากับนักกฎหมายเพื่อกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ คุณสามารถแก้ไขเอกสารที่ได้รับจาก Stripe Atlas กับนักกฎหมายได้

พูดคุยกับนักกฎหมาย

คุณควรพูดคุยกับทนายความก่อนออกหุ้นในบริษัทเป็นครั้งแรก หากไม่มีทนายความ เรายินดีแนะนําทนายความที่เคยช่วยเหลือผู้ใช้ Stripe Atlas คนอื่นๆ ให้

หากคุณไม่ใช่บริษัทที่ใช้ Stripe Atlas เราขอแนะนําให้คุณขอคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณโดยเฉพาะจากทนายความที่มีคุณสมบัติในเขตอํานาจศาลของคุณ

ตัวอย่างปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการออกหุ้นที่ควรทราบคือ หลายๆ รัฐในสหรัฐอเมริกามีข้อกําหนดด้านการกำกับดูแลเกี่ยวกับการจดทะเบียนการออกหุ้นกับรัฐ หากคุณอาศัยอยู่นอกสหรัฐอเมริกา การจัดการการเสนอให้หุ้นหรือการมอบสิทธิ์ในหุ้นอาจแตกต่างอย่างมากจากที่อธิบายไว้ในที่นี้ โดยคุณควรให้นักบัญชีหรือนักกฎหมายในท้องถิ่นที่มีคุณสมบัติอธิบายถึงผลกระทบและช่วยคุณเลือกโครงสร้างที่เหมาะกับความต้องการของผู้ก่อตั้งและบริษัท นอกจากนี้ยังอาจมีผลกระทบทางภาษีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกหุ้น และยังมีปัญหาอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณโดยเฉพาะ จึงควรขอคำแนะนำจากมืออาชีพ

คําปฏิเสธความรับผิด: คู่มือนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์และไม่ถือเป็นการให้คําแนะนําด้านกฎหมายหรือภาษี คําแนะนํา การไกล่เกลี่ย หรือการให้คําปรึกษาภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม คู่มือนี้และการใช้คู่มือนี้ไม่ได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบทนายความกับลูกค้ากับ Stripe, Orrick หรือ PwC โดยคู่มือนี้แสดงถึงความคิดของผู้เขียนเท่านั้น และไม่ได้รับรองหรือสะท้อนถึงความเชื่อของ Orrick ทั้งนี้ Orrick ไม่รับประกันหรือประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความเพียงพอ หรือสกุลเงินของข้อมูลในคู่มือ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความหรือนักบัญชีที่มีใบอนุญาตดําเนินงานในเขตอํานาจศาลของคุณ

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Atlas

Atlas

จัดตั้งบริษัทได้ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งและพร้อมที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า จัดจ้างทีมงาน และระดมทุน

Stripe Docs เกี่ยวกับ Atlas

ก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยใช้ Stripe Atlas