ความท้าทาย

Zapier ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านเวิร์กโฟลว์และระบบอัตโนมัติให้กับธุรกิจมีการสนับสนุนผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 7 ล้านคนและเชื่อมโยงเทคโนโลยีหลายพันรายการ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ Stripe นั้น Zapier เคยใช้ผู้ให้บริการประมวลผลการชำระเงินที่มีอัตราการอนุมัติวงเงินไม่ดีนักและไม่มีรายงานที่ชัดเจนโดยขาดรายละเอียดระดับธุรกรรม ทำให้ทีมการชำระเงินของ Zapier ไม่สามารถระบุปัญหาในการประมวลผลและปรับปรุงอัตราการอนุมัติวงเงินได้ Zapier จึงเริ่มมองหาแพลตฟอร์มการชำระเงินที่ดีกว่าซึ่งให้อัตราการอนุมัติวงเงินที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังต้องการตัวเลือกการชำระเงินในแต่ละประเทศเพื่อรองรับฐานลูกค้าทั่วโลก และการรายงานที่โปร่งใสเพื่อจัดการอัตรา Interchange และค่าธรรมเนียมโดยไม่ให้มีรอยรั่วหรือช่องโหว่

โซลูชัน

Zapier ทำการทดสอบ A/B กับผู้ประมวลผลการชำระเงินเจ้าเดิมเทียบกับ Stripe การทดสอบนี้ออกแบบให้สุ่มการจัดเส้นทางผู้ประมวลผลเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกับตัวทดสอบทั้งสองรายการ จากนั้น Zapier ก็วิเคราะห์ผลลัพธ์โดยพิจารณาคุณสมบัติหลายอย่างของธุรกรรม รวมถึงประเภทบัตร แบรนด์ของบัตร และจำนวนเงินในธุรกรรม

"ในระหว่างการประเมิน เรานำการเรียกเก็บเงินที่ชำระไม่ผ่านจากผู้ให้บริการรายเดิมมาประมวลผลด้วย Stripe และพบว่า 25% ของการชำระเงินที่แต่เดิมไม่ผ่านกลับได้รับการยอมรับเมื่อใช้ Stripe ซึ่งอาจทำให้เราสูญเสียรายรับส่วนนี้ไปเลย" Ryan Roccon ผู้ควบคุมระบบที่ Zapier กล่าว

Stripe มีเครื่องมือรายงานที่ให้ข้อมูลครบถ้วนและใช้งานง่าย ซึ่งช่วยให้ทีมการเงิน Zapier สามารถดูอัตราค่าบริการ Interchange จำนวนการปฏิเสธ และการคืนเงินเพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดอัตราการยอมรับ ตลอดระยะเวลาของการทดสอบ Zapier พบว่า Stripe มีอัตราการอนุมัติสูงกว่าผู้ให้บริการรายเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ Stripe เป็นเรื่องง่าย

การผสานการทำงาน Stripe ใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ โดย Roccon บอกว่า "การผสานการทำงาน Stripe ช่วยให้เราประหยัดเวลาในการทำงานด้านวิศวกรรมไปได้หลายร้อยชั่วโมงเพราะเอกสารประกอบ API ที่ชัดเจนและทีมสนับสนุนของ Stripe ที่ช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าเราจะเป็นการทำงานทั่วโลกที่ซับซ้อนก็ตาม"

ผลลัพธ์

"Stripe ยังคงเดินหน้าพัฒนาไม่หยุดนิ่งด้วยการลงทุนในแมชชีนเลิร์นนิงและการทำงานอัตโนมัติอันล้ำหน้าอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายที่จะมีอัตราการรับชำระเงินที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม ตั้งแต่เปลี่ยนผู้ให้บริการด้านการประมวลผล อัตราการอนุมัติวงเงินของเราก็เพิ่มขึ้น 4% ซึ่งนับเป็นรายรับที่ธุรกิจได้รับเพิ่มขึ้น 3 ล้านดอลลาร์ เราคงจะทำไม่ได้เท่านี้หากไม่มี Stripe" Roccon กล่าว

ด้านล่างนี้เป็นการแจกแจงรายรับที่เพิ่มขึ้น 4% ของ Zapier จากการใช้ Stripe

Adaptive Acceptance เพิ่มอัตราการอนุมัติได้ 1.24% ซึ่งคิดเป็นเงินรายรับที่เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านดอลลาร์ Stripe สามารถดูพฤติกรรมของเครือข่ายและผู้ออกบัตรได้อย่างทั่วถึงเนื่องจากเป็นทั้งผู้ออกบัตรและผู้ประมวลผลบัตร สิ่งนี้เองจึงช่วยเพิ่มอัตราการอนุมัติวงเงินให้ Zapier ได้ Adaptive Acceptance จะใช้แมชชีนเลิร์นนิงในการเพิ่มประสิทธิภาพข้อความขออนุมัติวงเงิน โดยโมเดลแมชชีนเลิร์นนิงจะนำข้อมูลประวัติจำนวนมหาศาลของ Stripe เช่น ประเภทธุรกรรม บริษัทผู้ออกบัตร และประเภทผู้ค้า ซึ่งได้จากการประมวลผลการชำระเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ในแต่ละปีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและวิศวกรของ Stripe มีการปรับปรุงพัฒนาโมเดลเหล่านี้อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ผู้ค้ายอมรับธุรกรรมที่ถูกต้องได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งนำไปสู่รายรับที่เพิ่มมากขึ้น

ระบบอัปเดตข้อมูลบัตรอัตโนมัติ (CAU) เพิ่มอัตราการอนุมัติได้ 2.76% ซึ่งคิดเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์ การที่ลูกค้าของ Zapier ต้องอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับบัตรที่บันทึกไว้ซึ่งหมดอายุหรือมีการเปลี่ยนใหม่ด้วยตัวเองอาจเป็นงานซ้ำซากและใช้เวลามาก ส่งผลให้เกิดการสูญเสียรายรับ Stripe มีการร่วมมือกับเครือข่ายบัตรต่างๆ เพื่ออัปเดตรายละเอียดของบัตรที่บันทึกไว้โดยอัตโนมัติเมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าได้รับบัตรใบใหม่ (เช่น เปลี่ยนบัตรที่หมดอายุ สูญหาย หรือถูกขโมย) ระบบนี้ช่วยให้ลูกค้าของ Zapier ใช้บริการต่อได้โดยไม่สะดุด ทำให้ Zapier เองไม่ต้องขอรายละเอียดบัตรใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนบัตร และลดโอกาสที่จะถูกปฏิเสธ สำหรับ Zapier การใช้ CAU ทำให้มีอัตราการอนุมัติวงเงินเพิ่มถึง 2.76%