ความท้าทาย
สําหรับกิจการที่มีเจ้าของคนเดียวหลายๆ ราย การส่งมอบบริการอันเป็นเลิศนั้นเป็นเรื่องง่าย ความท้าทายจริงๆ คือการได้รับเงินสําหรับบริการนี้ เจ้าของธุรกิจเหล่านี้มักจะพึ่งพาเครื่องมือแบบแยกส่วนที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ดีนัก ซึ่งต่างจากบริษัทขนาดใหญ่กว่าที่มีทีมงานด้านการเรียกเก็บเงินโดยเฉพาะและขั้นตอนการชำระเงินแบบกำหนดเอง PayFunnels ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ที่เมืองฮิวสตัน ช่วยให้กิจการที่มีเจ้าของคนเดียวและธุรกิจขนาดเล็กอื่นๆ มีวิธีง่ายๆ ในการเปิดใช้งานหน้าการชำระเงินที่มีแบรนด์ และเริ่มเรียกเก็บการชำระเงินจากลูกค้าได้ภายในไม่กี่นาที
เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น บริษัทจึงต้องปรับตัวตามความต้องการใหม่ๆ ของผู้ใช้ แต่การสร้างและดูแลรักษาโซลูชันการชําระเงินแบบกำหนดเองจะใช้เวลานานสําหรับทีมวิศวกรแบบลีน โซลูชันแบ็กเอนด์สำเร็จรูปนั้นยากต่อการผสานการทํางาน หรือขาดการปรับแต่งและการควบคุมในระดับที่ PayFunnels ต้องการมอบให้
PayFunnels เริ่มทำงานร่วมกับ Stripe ในปี 2015 โดยในช่วงแรกเลือก Stripe เพราะมี API ที่ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา และรองรับการเรียกเก็บเงินตามรอบบิลอย่างตรงไปตรงมา Stripe ช่วยให้บริษัทสามารถถ่ายโอนฟังก์ชันการทำงานแบ็กเอนด์ที่ซับซ้อน เช่น รอบการเรียกเก็บเงินและการตรวจสอบสิทธิ์ ซึ่งทำให้ PayFunnels สามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างชั้นบริการเสริมมูลค่าเพิ่มของตนเองได้
ในตอนแรก PayFunnels ได้ผสานการทํางาน Stripe โดยใช้ Card Element ซึ่งเป็นองค์ประกอบ UI ที่ปรับแต่งได้สําหรับการเก็บรวบรวมรายละเอียดของบัตร การดำเนินการนี้ทำให้สามารถควบคุมขั้นตอนการชำระเงินได้เต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้ PayFunnels ปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะกับความต้องการได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก PayFunnels เติบโตในระดับสากลและมีข้อกำหนดที่ซับซ้อนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องรองรับวิธีการชำระเงินมากขึ้น รวมถึงนำเสนอฟังก์ชันการทำงานในการเรียกเก็บเงินและการชำระเงินเพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็รักษาความยืดหยุ่นในระดับขนาดใหญ่ บริษัทหันมาใช้ Stripe เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้
Imtiyaz Momin หุ้นส่วนผู้จัดการของ PayFunnels กล่าวว่า “เราต้องการแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา, API ที่ชัดเจน, SDK ที่แข็งแกร่ง และเอกสารประกอบที่ยอดเยี่ยมเพื่อให้สามารถพัฒนาแบบวนซ้ำได้”
โซลูชัน
เพื่อมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ยืดหยุ่นยิ่งขึ้นแก่กิจการที่มีเจ้าของคนเดียว PayFunnels จึงเริ่มใช้ชุดเครื่องมือด้านการชำระเงินที่เพิ่มประสิทธิภาพในปี 2022 อันได้แก่ Stripe Elements ซึ่งเป็นชุดองค์ประกอบ UI ที่ปลอดภัยและสร้างไว้ล่วงหน้าที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างประสบการณ์การชำระเงินแบบกำหนดเองได้ ความง่ายในการใช้งานและเอกสารประกอบที่รัดกุมของ Stripe ทำให้บริษัทสามารถผสานการทำงาน Elements ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้า การตรวจสอบในตัว การส่งข้อความแสดงข้อผิดพลาด การเข้าถึง และคำแนะนำอัตโนมัติ ช่วยเร่งการพัฒนาและลดข้อผิดพลาด
ต่อมา PayFunnels ได้เปลี่ยนการผสานการทำงาน API มาเป็น Checkout Sessions API เพื่อลดความซับซ้อนของแบ็กเอนด์ให้มากขึ้นด้วยการสร้างโมเดลการชำระเงินทั้งหมดของลูกค้าในคำขอเดียว ซึ่งรวมถึงบรรทัดรายการ การชำระเงินตามรอบบิล ส่วนลด ภาษี และการจัดการบัตร 3DS การใช้ Checkout Sessions ทำให้ PayFunnels สามารถรองรับโมเดลการชำระเงินได้หลากหลาย ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินครั้งเดียวและเงินฝากไปจนถึงการชำระเงินค่าบริการตามแบบแผนล่วงหน้าและแพ็กเกจการผ่อนชำระ ซึ่งมักจะรวมอยู่ภายในประสบการณ์การชำระเงินครั้งเดียว
PayFunnels ใช้ Elements ร่วมกับ Checkout Sessions API เพื่อให้มั่นใจว่าประสบการณ์การชำระเงินของลูกค้าแต่ละรายสะท้อนถึงแบรนด์อันเป็นเอกลักษณ์ของตน โดยสามารถควบคุมการออกแบบ เค้าโครง และฟังก์ชันการทำงานได้อย่างเต็มที่ เมื่อใช้โซลูชันเหล่านี้ กิจการที่มีเจ้าของคนเดียวที่ใช้ PayFunnels สามารถเปิด/ปิดฟังก์ชันต่างๆ เช่น วิธีการชำระเงินที่ปรับให้เข้ากับท้องถิ่น, กระเป๋าเงินดิจิทัลของ Stripe, Link เพื่อกรอกรายละเอียดการชำระเงินโดยอัตโนมัติ และ Adaptive Pricing ซึ่งแสดงราคาเป็นสกุลเงินท้องถิ่นในตลาดมากกว่า 150 แห่ง
“API ของ Stripe จัดการกรณีการใช้งานของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ” Momin กล่าว
ผลลัพธ์
การชำระเงินที่มีแบรนด์ช่วยให้กิจการที่มีเจ้าของคนเดียวรักษามาตรฐานได้
เมื่อฝัง Elements ลงในหน้าการชำระเงินโดยตรง PayFunnels ช่วยให้กิจการที่มีเจ้าของคนเดียวสามารถนำเสนอการชำระเงินที่มีแบรนด์ให้กับลูกค้าของตน ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์การชำระเงินมีความสอดคล้องกันมากขึ้น
“การฝัง Elements จะช่วยให้ลูกค้าใช้งานแอปของเราได้อย่างต่อเนื่อง แทนที่จะต้องเข้าไปยังหน้าการชำระเงินที่โฮสต์ไว้ ซึ่งช่วยลดภาระด้านการรับรู้ของลูกค้าและเพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน เราสามารถปรับแต่งการชำระเงินแต่ละครั้งให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้โดยการปรับแต่ง UI ซึ่งถือเป็นข้อดีสำหรับลูกค้าของเรา” Momin กล่าว
PayFunnels ขยายการเข้าถึงทั่วโลกด้วยวิธีการชำระเงินในท้องถิ่น
โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ Stripe ช่วยให้ PayFunnels ขยายข้อเสนอการชำระเงินให้ครอบคลุมถึง ACH, SEPA, iDEAL, Revolut Pay รวมถึงตัวเลือกซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง Affirm, Klarna และ Afterpay นอกจากนี้ Adaptive Pricing ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเติบโตข้ามพรมแดนโดยให้ลูกค้าชําระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของตนในขณะที่กิจการที่มีเจ้าของคนเดียวยังคงชําระเงินด้วยสกุลเงินที่ตนต้องการ
PayFunnels เปลี่ยนไปใช้ Checkout Sessions API ในเวลาสามสัปดาห์โดยมีนักพัฒนาสองคน
นักพัฒนาเต็มเวลาเพียง 2 คนและวิศวกรระดับอาวุโส 1 คนช่วยให้ PayFunnels ผสานการทำงาน Elements และ Checkout Session API ในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาลง 25% อกสารประกอบที่รัดกุมทำให้กระบวนการเริ่มต้นใช้งานเป็นไปอย่างง่ายดาย ซึ่งช่วยให้ทีมสามารถมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์จำลองการทดสอบได้
“มันช่วยได้เยอะ” Momin กล่าว “ส่วนใหญ่เราใช้เวลาไปกับการทดสอบสถานการณ์จำลองทางธุรกิจต่างๆ เช่น แพ็กเกจแบบกำหนดเอง คูปอง และค่าธรรมเนียมครั้งเดียว มากกว่าการเขียนโค้ดตรรกะการชำระเงินหลัก”
Checkout Sessions API ช่วยให้ PayFunnels เปิดตัวโมเดลการเรียกเก็บเงินแบบยืดหยุ่นได้เร็วขึ้น
การย้ายไปใช้ Checkout Sessions API และ Elements ช่วยให้บริษัทปรับเปลี่ยนจุดมุ่งหมายด้านวิศวกรรม เมื่อ Stripe จัดการความซับซ้อนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI ข้อกำหนดของ SCA และการอัปเดตวิธีการชำระเงิน ทำให้ PayFunnels สามารถลงทุนมากขึ้นในการสร้างเครื่องมือเฉพาะอุตสาหกรรม เช่น การกำหนดตารางปฏิทิน ขั้นตอนการทำงานอัตโนมัติของบุคคลที่สาม และโครงสร้างการเรียกเก็บเงินแบบยืดหยุ่น ฟีเจอร์เหล่านี้ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์การรักษาลูกค้าของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ Stripe ยังคงเพิ่มการสนับสนุนแบบเนทีฟให้กับฟังก์ชันที่ PayFunnels เสนอให้เป็นตัวสร้างความแตกต่างไปแล้ว เช่น แพ็กเกจการผ่อนชำระ
“การสร้างขึ้นโดยอาศัย Stripe เป็นหลักและไม่ใช่การสร้างแบบต่อยอด ทำให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่มและอุตสาหกรรมเฉพาะได้” Momin กล่าว
ในด้านการชำระเงิน Stripe ช่วยให้เราประหยัดเวลาได้ เราไม่จำเป็นต้องสร้างส่วนการดำเนินการด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงสามารถมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้าและข้อกำหนดเฉพาะของอุตสาหกรรมได้