การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลก: ทิศทางและการเปลี่ยนแปลงภาษีปี 2023

  1. บทแนะนำ
  2. 1. กฎหมายภาษีแบบใหม่ที่มีความครอบคลุม
  3. 2. ข้อกำหนดด้านการยื่นภาษีที่คล่องตัวยิ่งขึ้น
  4. 3. การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนอกสหรัฐอเมริกา
  5. 4. มาตรการควบคุมธุรกรรมต่อเนื่อง
  6. 5. การเปลี่ยนแปลงการเสียภาษีของบริการทางไกล
  7. 6. กฎหมายว่าด้วยผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลสฉบับใหม่และฉบับปรับเพิ่มความครอบคลุม
  8. แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี
  9. Stripe จะช่วยคุณรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทั่วโลกได้อย่างไร

กฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับภาษีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง ในปี 2022 กฎและอัตราภาษีการขายในสหรัฐอเมริกามีการปรับเปลี่ยนกว่า 600 ครั้ง ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มในสหภาพยุโรปเองก็มีการปรับแก้กันหลายครั้ง ปัจจัยนี้คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีอยู่เสมออาจเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องใช้เวลาสำหรับธุรกิจต่างๆ

เพื่อปูทางให้คุณพร้อมรับปี 2023 เราได้วิเคราะห์การแก้ไขระเบียบข้อบังคับที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ เพื่อระบุ 6 ทิศทางภาษีทั่วโลกที่มาแรงที่สุด รวมทั้งอธิบายว่าจะส่งผลอย่างไรกับธุรกิจของคุณ นอกจากจะพูดถึงแนวโน้มทิศทางที่มาเป็นอันดับต้นๆ แล้ว เรายังจะแชร์แหล่งข้อมูลบางส่วนที่จะช่วยให้คุณปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีได้ด้วย

1. กฎหมายภาษีแบบใหม่ที่มีความครอบคลุม

สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดก็คือเศรษฐกิจมักจะก้าวหน้าไปรวดเร็วกว่าพัฒนาการด้านกฎหมายภาษีของรัฐมาก สาเหตุที่ยอดการดาวน์โหลดผ่านทางดิจิทัลและยอดการสตรีมไม่ถูกเก็บภาษีการขายไม่ใช่เพราะสมาชิกสภานิติบัญญัติมองว่าสมควรยกเว้นให้ไม่ต้องเก็บภาษี แต่เป็นเพราะสมัยที่ร่างตัวบทกฎหมายว่าด้วยภาษีการขายขึ้นมานั้นยังไม่เคยมีการดาวน์โหลดผ่านทางดิจิทัลหรือการสตรีมเลย"

Carl Davis, ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัย, สถาบันนโยบายภาษีและเศรษฐกิจ

กฎหมายด้านภาษีมักจะล้าหลังและไล่ตามความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่ทัน โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าและบริการดิจิทัล ยกตัวอย่างเช่น บางรัฐในสหรัฐอเมริกาจะเก็บภาษีจากการบริการเฉพาะในกรณีที่มีการแลกเปลี่ยนสินค้าที่จับต้องได้อย่างแฟลชไดรฟ์หรือพิมพ์เขียว ในรัฐอื่นๆ อย่างเช่นลุยเซียนา นอกจากบริการตกแต่งห้องพักในโรงแรมและการจำหน่ายตั๋วเข้าใช้บริการสวนสนุกแล้ว บริการต่างๆ ได้รับการยกเว้นภาษีการขายแทบจะทั้งหมด ขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ แคนาดาก็ได้กำหนดกฎเป็นกรณีพิเศษสำหรับบริษัทต่างชาติที่ให้บริการดิจิทัลและจัดส่งสินค้าดิจิทัล โดยเพิ่มข้อกำหนดด้านการจดทะเบียนภาษีที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม

ถึงแม้ว่าภาษีจะไม่ใช่รายรับเพียงแหล่งเดียวของภาครัฐ แต่ก็ถือว่าเป็นรายรับส่วนสำคัญ นอกจากนี้ ภาครัฐเองก็ประสบกับอุปสรรคอันเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการระบาดใหญ่ทั่วโลก เขตอำนาจศาลหลายๆ แห่งจึงเริ่มที่จะมีพัฒนาการตามเศรษฐกิจสมัยใหม่ผ่านการเรียกเก็บภาษีจากสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยต้องเสียภาษีกันมากขึ้น

คุณจะได้รับผลกระทบอย่างไร ธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าและบริการซึ่งแต่ก่อนไม่เคยต้องเสียภาษี (บริการ SaaS และบริการอื่นๆ เป็นต้น) ควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดด้านภาษี อีกทั้งควรเตรียมมาตรการเฝ้าสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลอย่างไรบ้างกับพื้นที่ซึ่งธุรกิจมีภาระผูกพันในการเสียภาษี

2. ข้อกำหนดด้านการยื่นภาษีที่คล่องตัวยิ่งขึ้น

ธุรกิจต่างๆ เริ่มขัดข้องใจกับข้อกำหนดด้านการยื่นภาษีที่มีความซับซ้อนกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหว โดยในปี 2022 มีผู้ขายยื่นฟ้องรัฐโคโลราโดและรัฐลุยเซียนา พร้อมชี้แจงว่าภาระผูกพันในการเสียภาษีที่มีความยุ่งยากซับซ้อนเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างรัฐ แม้ว่าคดีความดังกล่าวจะยังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณา แต่ประเด็นที่เป็นมูลฟ้องครั้งนี้ก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้

Diane Yetter ผู้ก่อตั้งสถาบันภาษีการขายได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับอุปสรรคเหล่านี้ขึ้นมาพูดในระหว่างการไต่สวนของวุฒิสภาช่วงก่อนหน้าในปีนี้ เธออธิบายว่าข้อกำหนดด้านการยื่นภาษีที่ละเอียดซับซ้อนเป็นผลเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่ได้มีทรัพยากรที่จะช่วยให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดอยู่เสมอได้ คดีความที่เกิดขึ้นอาจกระตุ้นให้หน่วยงานด้านภาษีของสหรัฐอเมริกากำหนดกระบวนการที่มีความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจปฏิบัติตามภาระผูกพันในการเสียภาษีของตนได้โดยอาศัยทรัพยากรน้อยลง

คุณจะได้รับผลกระทบอย่างไร การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและอัตราภาษีเป็นเพียงแง่มุมเดียวของการปฏิบัติตามข้อกำหนด กระบวนการยื่นและนำส่งภาษีเองก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน แม้ว่าข้อกำหนดด้านการยื่นภาษีที่คล่องตัวยิ่งขึ้นจะส่งผลดีกับผู้ขาย แต่ธุรกิจก็จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับกับข้อกำหนดด้านการยื่นภาษีใหม่เมื่อมีการประกาศใช้ออกมาด้วย

3. การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนอกสหรัฐอเมริกา

รัฐบาลประเทศต่างๆ จะลดอัตราภาษีเพื่อตอบสนองต่อปัญหาความขัดข้องด้านซัพพลายเชนที่มีมาอย่างต่อเนื่องและปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูง แม้เกือบทุกประเทศจะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม/ภาษี GST ที่เก็บจากปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นอย่างพลังงานและอาหาร แต่ลักเซมเบิร์กจะลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มทั่วไป (17%, 14%, 8%) ของประเทศลง 1% เป็นการชั่วคราว โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มมาตรการรับมือภาวะเงินเฝ้อ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปรับลดลงจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2023 ตลอดไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2023

อย่างไรก็ดี รัฐบาลบางแห่งก็ไม่ได้ใช้แนวทางนี้ โดยบางประเทศมีมาตรการที่จะเพิ่มอัตราภาษีทั่วไปเพื่อเป็นการชดเชยให้กับรายรับที่อาจขาดหายไป ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์จะปรับเพิ่มอัตราภาษี GST เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี โดยอัตราภาษี GST ปัจจุบันที่ 7% จะเพิ่มเป็น 8% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2023 แล้วจึงเพิ่มเป็น 9% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไป แม้ว่าจะมีการปรับเพิ่มถึงสองครั้งด้วยกัน แต่อัตราภาษี GST ของสิงคโปร์ก็จะยังมีตัวเลขต่ำกว่าอัตราภาษีของประเทศเพื่อนบ้านอยู่ดี นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าอัตราภาษีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในไทย (จาก 7% เป็น 10%) และในมัลดีฟส์ (จาก 6% เป็น 8%) ด้วยเช่นกัน

คุณจะได้รับผลกระทบอย่างไร ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีใดๆ ก็ตาม ธุรกิจควรพิจารณาถึงผลกระทบต่อการกำหนดราคาสินค้า การออกใบแจ้งหนี้ ตลอดจนระบบ ERP เนื่องจากจะต้องมีการอัปเดตอัตราภาษีในทั้งสามส่วนที่ว่ามานี้เพื่อความถูกต้องแม่นยำ และที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษก็คือบริษัทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยจะต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเกินไปกว่าที่กำหนด เพราะจะหักลบภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระไปกับสินค้าและบริการที่ซื้อไม่ได้

4. มาตรการควบคุมธุรกรรมต่อเนื่อง

ตามปกติแล้วธุรกิจต่างๆ จำเป็นจะต้องยื่นและนำส่งแบบแสดงภาษีเป็นประจำทุกเดือน ทุกไตรมาส หรือทุกปี ภาครัฐต้องการรับรายงานยอดขายของธุรกิจทั้งหมดในลักษณะใกล้เคียงกับเรียลไทม์ เพื่อให้ติดตามจำนวนภาษีที่พึงชำระได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อการนี้ หน่วยงานด้านภาษีบางแห่งของยุโรปจึงได้กำหนดสิ่งที่เรียกว่า "มาตรการควบคุมธุรกรรมต่อเนื่อง" (Continuous Transaction Control หรือ CTC) ขึ้นมา CTC หมายถึงวิธีการต่างๆ ที่หน่วยงานอาจกำหนดให้ธุรกิจใช้เพื่อรายงานข้อมูลยอดขายในแบบเรียลไทม์ (หรือใกล้เคียงกับเรียลไทม์)

ตัวอย่างหนึ่งของ CTC ได้แก่ โมเดลการตรวจผ่านใบแจ้งหนี้ โมเดลนี้มีไว้สำหรับธุรกรรมระหว่างธุรกิจ (B2B) อีกทั้งยังเป็นวิธีการหนึ่งที่ธุรกิจสามารถใช้ลงทะเบียนใบแจ้งหนี้กับแพลตฟอร์มของภาครัฐ ประเทศที่จะกำหนดให้ใช้แนวทางดังกล่าวมีทั้งสเปน ฝรั่งเศส อิตาลี ตลอดจนเบลเยียม และเราก็คาดว่าจะมีประเทศอื่นๆ มาเพิ่มในรายชื่อนี้อีก อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะยังไม่มีการใช้งานจริงก่อนปี 2024

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2022 คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศกลุ่มมาตรการปฏิรูปแบบครบวงจรที่มีชื่อเรียกว่า "VAT in the Digital Age" (ViDA) ภายใต้มาตรการที่มีการเสนอขึ้นมานี้ ธุรกิจทุกรายจะต้องออกใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์สำหรับการขายสินค้าหรือบริการแบบ B2B ให้แก่ลูกค้าในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประเทศอื่น รวมทั้งรายงานข้อมูลใบแจ้งหนี้บางส่วนไปยังหน่วยงานด้านภาษีภายในไม่เกิน 2 วันทำการหลังออกใบแจ้งหนี้ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ประสงค์จะปรับใช้ข้อกำหนดด้านการรายงานธุรกรรมสำหรับการขายภายในประเทศจะต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าตนปฏิบัติตามแผนปฏิรูปสำหรับการขายข้ามพรมแดนเหล่านี้ ในกรณีของประเทศสมาชิกที่มีการใช้ข้อกำหนดด้านการรายงานธุรกรรมอยู่แล้ว จะต้องดำเนินการอย่างสอดคล้องตามมาตรฐานใหม่ของสหภาพยุโรปภายในปี 2028 

คุณจะได้รับผลกระทบอย่างไร หากคุณจัดตั้งธุรกิจในประเทศที่จะปรับใช้โมเดลการตรวจผ่านใบแจ้งหนี้ (สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี หรือเบลเยียม) คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าธุรกิจของตัวเองสามารถออกและรับใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ได้

5. การเปลี่ยนแปลงการเสียภาษีของบริการทางไกล

กว่า 90 ประเทศมีกฎหมายว่าด้วยจุดเกาะเกี่ยวทางเศรษฐกิจ (Economic Nexus) ลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่กำหนดให้ธุรกิจต่างชาติมีภาระผูกพันในการจดทะเบียนและเก็บภาษี ในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา ข้อกำหนดด้านภาษีเหล่านี้มักจะมีผลบังคับใช้กับบริการดิจิทัล

อย่างไรก็ดี ประเทศที่จะขยายข้อกำหนดด้านการเก็บภาษีให้ครอบคลุมบริการทางไกลอย่างบริการทำบัญชี บริการด้านกฎหมาย บริการให้คำปรึกษา ตลอดจนสินค้ามูลค่าต่ำก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2023 เป็นต้นไป สิงคโปร์จะปรับใช้ข้อกำหนดตามออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยกำหนดให้ธุรกิจต่างชาติเรียกเก็บและนำส่งภาษี GST จากการจำหน่ายสินค้ามูลค่าต่ำและบริการที่ไม่ใช่บริการดิจิทัลให้แก่ผู้บริโภค (B2C) หากมีรายรับเกินเกณฑ์ที่กำหนด นอร์เวย์เองก็กำลังจะมีมาตรการกำหนดให้ธุรกิจต่างชาติที่ให้บริการทางไกลแก่ผู้บริโภคในท้องถิ่นมีภาระผูกพันในการเก็บภาษี แต่ยังไม่มีความชัดเจนออกมาว่าข้อกำหนดดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อใด

การเก็บภาษีจากบริการทางไกลทุกรูปแบบถือว่าสอดคล้องกับหลักการของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ระบุว่าควรจัดเก็บภาษี ณ จุดที่เกิดการบริโภค การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องแยกระหว่างบริการ "ดิจิทัล" กับบริการ "ที่ไม่ใช่ดิจิทัล" อีกต่อไป

คุณจะได้รับผลกระทบอย่างไร เมื่อประเทศต่างๆ เริ่มเก็บภาษีจากบริการทางไกลกันมากยิ่งขึ้น จำนวนของธุรกิจซึ่งมีภาระผูกพันในการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีต่างแดนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย บริษัทที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ยื่นภาษีในต่างประเทศจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการรายงานภาษีของตนเองให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับด้านภาษี

6. กฎหมายว่าด้วยผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลสฉบับใหม่และฉบับปรับเพิ่มความครอบคลุม

ประเทศต่างๆ ประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลสฉบับใหม่กันมากขึ้น รวมทั้งขยายความครอบคลุมของฉบับที่บังคับใช้อยู่แล้ว โดยมิสซูรีจะเป็นรัฐสุดท้ายในสหรัฐอเมริกาที่มีภาษีการขายประจำรัฐและจะบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยจุดเกาะเกี่ยวทางเศรษฐกิจและผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลส เมื่อปี 2022 บริติชโคลัมเบียเป็นรัฐสุดท้ายในแคนาดาที่ปรับใช้กฎว่าด้วยความรับผิดของผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลส

นอกจากนี้ บางประเทศและบางรัฐก็จะขยายกฎหมายว่าด้วยผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลสของตนให้ครอบคลุมธุรกรรมและอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยไม่นานมานี้ นิวซีแลนด์ได้อนุมัติกฎหมายที่กำหนดให้อิเล็กทรอนิกส์มาร์เก็ตเพลสมีความรับผิดชอบในการเก็บและนำส่งภาษี GST ที่ได้จากบริการที่พักอาศัย บริการร่วมรถโดยสาร ตลอดจนบริการจัดส่งอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป ส่วนในสหภาพยุโรป ข้อเสนอปฏิรูปผ่าน "VAT in the Digital Age" จะกำหนดให้แพลตฟอร์มต่างๆ ที่จัดอยู่ในภาคส่วนการให้เช่าที่อยู่อาศัยระยะสั้นและการขนส่งผู้โดยสารมีภาระผูกพันในการเก็บภาษี ทั้งนี้ ภาระผูกพันเหล่านี้จะมีผลกับยอดขายของผู้ขายที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วยเช่นกัน ส่วนธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและแจ้งหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ดำเนินการแพลตฟอร์มจะไม่อยู่ภายใต้มาตรการนี้ กฎที่มีการเสนอให้บังคับใช้กับเศรษฐกิจรูปแบบแพลตฟอร์มนี้จะเริ่มมีผลในปี 2025

เมื่อครั้งแรกที่มีการออกตัวบทกฎหมายว่าด้วยผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลส กฎหมายดังกล่าวมักจะมีผลบังคับใช้กับสินทรัพย์ส่วนบุคคลที่จับต้องได้ (ในสหรัฐอเมริกา) หรือยอดขายของบริการดิจิทัล (ในสหภาพยุโรป) กฎหมายว่าด้วยผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลสจะลดจำนวนธุรกิจที่มีความรับผิดชอบในการเก็บภาษี ยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการเก็บภาษี ตลอดจนลดโอกาสในการเลี่ยงภาษีที่อาจเกิดขึ้นในเศรษฐกิจรูปแบบแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ดี กฎหมายดังกล่าวจะเพิ่มความซับซ้อนให้กับมาร์เก็ตเพลส เนื่องจากตัวมาร์เก็ตเพลสก็จะมีความรับผิดชอบในการเก็บภาษีตั้งแต่นี้ไป

คุณจะได้รับผลกระทบอย่างไร การเปลี่ยนแปลงกฎหมายว่าด้วยผู้อำนวยความสะดวกด้านมาร์เก็ตเพลสส่งผลให้มาร์เก็ตเพลสต่างๆ ที่เข้าข่ายต้องเก็บภาษีการขายในนามของผู้ขายในรัฐที่มีภาษีการขายทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2023 เป็นต้นไป

แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษี

การคอยติดตามข่าวสารการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับภาษีอาจทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เราจึงขอแนะนำแหล่งข้อมูลบางส่วนเพื่อเป็นแนวทางในกระบวนการปฏิบัติตามข้อกำหนด ดังนี้

ข้อควรจำ ก้าวแรกของการตรวจสอบให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีอยู่เสมอคือการทำความเข้าใจว่ามีภาระผูกพันด้านภาษีที่ใดบ้าง จากนั้นคุณจะต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานภาษีในท้องถิ่น คำนวณและเก็บภาษีตามจำนวนที่ถูกต้องเหมาะสม เสร็จแล้วจึงยื่นและนำส่งภาษีที่เก็บได้เป็นขั้นตอนสุดท้าย

Stripe จะช่วยคุณรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทั่วโลกได้อย่างไร

การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและทิศทางของการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลา Stripe Tax ช่วยลดความซับซ้อนของการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีทั่วโลก เพื่อให้คุณมุ่งเน้นไปที่การขยับขยายธุรกิจของตัวเองได้ ผลิตภัณฑ์นี้จะคำนวณและเก็บภาษีการขาย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนภาษี GST โดยอัตโนมัติจากทั้งสินค้าที่จับต้องได้และสินค้าดิจิทัล รวมไปถึงบริการในทุกรัฐของสหรัฐอเมริกาและอีกกว่า 30 ประเทศ Stripe Tax สร้างขึ้นภายใน Stripe โดยเฉพาะ คุณจึงเริ่มใช้งานได้รวดเร็วขึ้นโดยที่ไม่ต้องมีการผสานการทำงานหรือใช้ปลั๊กอินของบุคคลที่สาม

Stripe Tax ช่วยคุณในด้านต่างๆ ดังนี้

  • ทำความเข้าใจว่าต้องจดทะเบียนและเก็บภาษีที่ใดบ้าง ดูข้อมูลว่าต้องเก็บภาษีจากที่ใดบ้างโดยอิงตามธุรกรรม Stripe ของคุณ และหลังจดทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณก็จะเปิดใช้การเก็บภาษีในรัฐหรือประเทศใหม่ได้ภายในไม่กี่วินาที คุณสามารถเริ่มเก็บภาษีได้โดยเพิ่มโค้ดบรรทัดเดียวใส่ลงไปในการผสานการทำงาน Stripe ของตัวเอง หรือจะเพิ่มฟังก์ชันการเก็บภาษีไปยังผลิตภัณฑ์แบบไร้โค้ดของ Stripe (เช่น Invoicing) โดยคลิกแค่ปุ่มเดียวก็ได้เช่นกัน
  • จดทะเบียนเพื่อชำระภาษี Stripe Tax จะมอบลิงก์ที่นำไปสู่เว็บไซต์สำหรับจดทะเบียนในกรณีที่ธุรกิจคุณมียอดเกินเกณฑ์ที่จะต้องจดทะเบียน
  • เก็บภาษีโดยอัตโนมัติ Stripe Tax จะคำนวณและเก็บภาษีในจำนวนที่ถูกต้องเหมาะสมเสมอ ไม่ว่าคุณจะจำหน่ายอะไรหรือจำหน่ายที่ใดก็ตาม ผลิตภัณฑ์นี้รองรับสินค้าและบริการหลายร้อยชนิด อีกทั้งยังมีการอัปเดตตามการเปลี่ยนแปลงกฎและอัตราภาษีให้เป็นปัจจุบันตลอด
  • ยื่นและนำส่งภาษีได้อย่างไม่ยุ่งยาก Stripe จะสร้างรายงานที่ระบุรายการแยกย่อย รวมทั้งข้อมูลสรุปภาษีสำหรับแต่ละตำแหน่งที่ตั้งที่จะต้องยื่นภาษี คุณจึงยื่นและนำส่งภาษีได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะดำเนินการด้วยตนเอง ผ่านเจ้าหน้าที่บัญชี หรือผ่านพาร์ทเนอร์ด้านการยื่นภาษีรายใดรายหนึ่งของ Stripe ก็ตาม สำหรับการยื่นภาษีอัตโนมัติในสหรัฐอเมริกา เราขอแนะนำให้ใช้โซลูชัน AutoFile ของ TaxJar ทั้งนี้ โปรดพูดคุยกับที่ปรึกษาด้านภาษีเพื่อทำความเข้าใจว่าข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงอาจมีผลบังคับใช้กับธุรกิจของคุณหรือไม่อย่างไร

อ่าน Stripe Docs เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนเพื่อใช้ Stripe Tax วันนี้เลย

Ready to get started?

Create an account and start accepting payments—no contracts or banking details required. Or, contact us to design a custom package for your business.