ทําความเข้าใจแนวโน้มธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงวิธีที่ความต้องการและความสนใจของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มีนัยสําคัญ ไม่ว่าคุณจะกำลังคิดจะเริ่มต้นบริษัทใหม่หรือคิดทบทวนการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน การติดตามแนวโน้มจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น และวางตำแหน่งธุรกิจของคุณให้ประสบความสำเร็จ เมื่อคุณเข้าใจสิ่งที่จะเกิดขึ้น คุณก็สามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกันได้
ด้านล่างนี้ เราจะมาดูแนวโน้มของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องติดตามในปี 2025 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของลูกค้า และอื่นๆ อีกมากมาย การศึกษาหัวข้อเหล่านี้จะช่วยให้คุณคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับธุรกิจคุณ และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้โดยอิงตามการพัฒนาอุตสาหกรรมและเหตุการณ์ระดับโลก
บทความนี้ให้ข้อมูลอะไรบ้าง
- แนวโน้มที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสตาร์ทอัพในปี 2025
- Generative AI และเทคโนโลยีอิสระ
- การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค)
- โลจิสติกส์และนวัตกรรมการผลิต
- ข้อเสนอเฉพาะบุคคลแบบ Hyper
- เทคโนโลยี Climate และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยั่งยืน
- การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) แนวตั้ง และโซลูชันเฉพาะสําหรับอุตสาหกรรม
- แอปพลิเคชันใหม่ของ Web3
- แนวโน้มแรงงาน: จากการทำงานแบบไฮบริดสู่มาร์เก็ตเพลสผู้มีความสามารถ
- ธุรกิจสตาร์ทอัพออนดีมานด์
- การบริโภคอย่างมีจิตสำนึกและการเริ่มต้นธุรกิจอย่างมีจริยธรรม
แนวโน้มที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสตาร์ทอัพในปี 2025
ในปีที่ผ่านๆ มา ธุรกิจสตาร์ทอัพมักถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือด้านที่น่าสนใจ แต่ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมา สตาร์ทอัพจำนวนมากถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการทำงาน การบริโภค และการเชื่อมต่อของเรา การค้นหาการใช้งานสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพ พบว่าตนเองจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างทุกภาคส่วนเพื่อให้ทันกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้สตาร์ทอัพต้องมีความคล่องตัวมากขึ้น มุ่งเน้นไปที่อนาคต และพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายระดับโลก ภาวะหยุดชะงักทั่วโลก เช่น ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตสภาพอากาศ ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนวัตกรรมในรูปแบบที่คาดไม่ถึง ธุรกิจสตาร์ทอัพสร้างระบบที่ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วและปรับตัวมากขึ้น ด้วยลอจิสติกส์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การผลิตในท้องถิ่น โซลูชันบล็อกเชน และอื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ แนวโน้มเหล่านี้ยังมาบรรจบกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังของลูกค้าด้วย ผู้คนต้องการประสบการณ์แบบเรียลไทม์ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลเป็นพิเศษที่ได้รับการส่งมอบอย่างถูกต้อง ยั่งยืน และโปร่งใส ยุคของโซลูชันแบบกว้างขวางและครอบคลุมทุกความต้องการกำลังจะสิ้นสุดลง ธุรกิจสตาร์ทอัพที่สามารถรองรับความต้องการเฉพาะทาง ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นอัจฉริยะและสามารถเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหน้าใหม่ ความยั่งยืนไม่ใช่ปัญหาเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่เป็นศูนย์กลางของทั้งกฎระเบียบและตัวเลือกของผู้ซื้อ
ในปัจจุบัน สตาร์ทอัพกำลังสร้างเทรนด์และติดตามเทรนด์เหล่านั้น เส้นแบ่งระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มเลือนลางลง และความต้องการด้านความสามารถในการฟื้นตัว การปรับแต่งตามความต้องการส่วนบุคคล และความยั่งยืนทั่วโลกเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาใหม่ๆ ขณะที่เรามุ่งหน้าสู่ปี 2025 แนวโน้มแต่ละข้อมีบทบาทสําคัญในการกําหนดอนาคตของธุรกิจสตาร์ทอัพ
Generative AI และเทคโนโลยีอิสระ
Generative AI สามารถปรับแต่งสิ่งที่เป็นไปได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การทําการตลาดไปจนถึงการแพทย์ ธุรกิจสตาร์ทอัพต่างก็ใช้ AI ไม่ใช่แค่สำหรับการทำงานอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังผลักดันการปรับแต่ง ประสิทธิภาพ และความสามารถในการคาดการณ์ที่ดีขึ้นอีกด้วย คาดว่าตลาดปัญญาประดิษฐ์ระดับโลกจะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นเกือบ 30% ตั้งแต่ปี 2024 ถึงปี 2030 โดยสหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ที่สุด ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยี AI คาดว่าจะเป็นผู้นํานวัตกรรมในก้าวต่อไป และเปิดโอกาสให้ธุรกิจดําเนินการได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และชาญฉลาดยิ่งขึ้นในภาคธุรกิจต่างๆ เรามาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร
Generative AI ในภาคธุรกิจสร้างสรรค์และการปฏิบัติงาน
ในด้านการสร้างเนื้อหา การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการมีส่วนร่วมของลูกค้า AI จะเข้ามาจัดการงานต่างๆ เช่น การสร้างต้นแบบ และแคมเปญการตลาดแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น เพื่อให้บริษัทสตาร์ทอัพสามารถมอบประสบการณ์ที่ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะให้กับผู้ใช้จำนวนมากได้ ลองนึกถึงคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่สร้างโดย AI หรือทรัพยากรทางการตลาดที่ปรับแต่งให้เหมาะกับผู้ซื้อแต่ละคน โดยส่งมอบด้วยความรวดเร็วและในระดับที่ทีมงานมนุษย์ไม่สามารถเทียบได้
ลอจิสติกส์อิสระ
บริษัทสตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์กําลังเดินหน้าไปสู่การจัดการกลุ่มอุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนโดย AI คลังสินค้าแบบดําเนินการด้วยตัวเอง และโดรนจัดส่งเพื่อลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น สตาร์ทอัพสามารถลดของเสียและสร้างการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น ด้วยการปรับปรุงเส้นทางแบบเรียลไทม์และการจัดการสินค้าคงคลังเชิงคาดการณ์
AI และหุ่นยนต์ในการผลิต
หุ่นยนต์อัตโนมัติช่วยลดความจําเป็นในการใช้แรงงานคนและเพิ่มความแม่นยําในสายการผลิต ธุรกิจสตาร์ทอัพจะใช้ AI คาดการณ์ความต้องการด้านการบํารุงรักษา ทําให้การควบคุมคุณภาพเป็นระบบอัตโนมัติ และปรับปรุงกระบวนการประกอบ เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ผู้ผลิตขนาดเล็กสามารถแข่งขันกับธุรกิจที่มีชื่อเสียงได้ด้วยการผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของต้นทุนแบบดั้งเดิม
การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค)
การเงินแบบกระจายศูนย์กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเกิดใหม่ ที่ซึ่งความเป็นอิสระทางการเงินและการเข้าถึงได้กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการเงินของผู้คน ตลาด DeFi มีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตรายปีทบต้นเกือบ 11% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2029 นอกจากนี้ Buy Now, Pay Later (BNPL) หรือซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลังยังคาดว่าจะเติบโตทั่วโลก และกลายเป็นตัวเลือกการชําระเงินที่เป็นมาตรฐานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทคที่ยังคงปรับปรุงและพัฒนาการโซลูชันการเงินแบบผสานรวมในตัว
ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ผสานการทํางานกับ DeFi และฟินเทคกําลังพลิกโฉมการธนาคารแบบเดิมๆ สร้างวิธีการใหม่ๆ ให้กับบุคคลในการโต้ตอบกับเงิน การให้กู้ยืม และการชำระเงินในระดับโลก ในปี 2025 คาดว่า DeFi จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับระบบธนาคารแบบดั้งเดิมมากยิ่งขึ้น โดยมีสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีทางการเงินอยู่แนวหน้าในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ นี่คือวิธีที่การพัฒนา DeFi และ Fintech กำลังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์
การขยายตัวของ DeFi
ธุรกิจสตาร์ทอัพต่างก็ใช้ DeFi และเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อสร้างระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ที่ขจัดความจําเป็นที่จะต้องอาศัยคนกลางแบบเดิมๆ เช่น ธนาคาร บุคคลสามารถยืม ให้ยืม และซื้อขายสินทรัพย์ได้โดยตรง โดยมักจะมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า ผ่านแพลตฟอร์มการกู้ยืมแบบเพียร์ทูเพียร์และการแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ ในปี 2025 คุณคาดหวังได้ว่าแนวโน้มนี้จะได้รับความสนใจในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งการเข้าถึงบริการธนาคารแบบดั้งเดิมยังมีจำกัด DeFi สร้างระดับใหม่ของการเข้าถึงทางการเงินและช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมเงินทุนและความเป็นส่วนตัวทางการเงินได้มากขึ้น
การให้สินเชื่อโดยใช้บล็อคเชน
อีกด้านหนึ่งที่ได้รับความนิยมคือการให้สินเชื่ิอโดยใช้บล็อคเชน ซึ่งสัญญาอัจฉริยะช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ สตาร์ทอัพกำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่ผู้กู้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้โดยไม่มีอุปสรรคแบบเดิมๆ เช่น การตรวจสอบเครดิตหรือกระบวนการอนุมัติที่ยาวนาน แพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังปลดล็อกสภาพคล่องใหม่ให้กับผู้ซื้อและปรับเปลี่ยนตลาดสินเชื่อ โดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลักประกัน
การเงินแบบผสานรวมในตัวและ BNPL
การเงินแบบผสานรวมในตัว การเชื่อมต่อบริการทางการเงินเข้ากับแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่การเงินโดยตรงก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน โซลูชัน BNPL มีความทันสมัยมากขึ้นและขยายเข้าสู่ภาคส่วนใหม่ๆ เช่น การดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยว และการศึกษา ธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทคผสานรวมโซลูชันการชําระเงินไว้ในแพลตฟอร์มค้าปลีกและบริการโดยตรง
โลจิสติกส์และนวัตกรรมการผลิต
การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่เกิดจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากการระบาดใหญ่ ผลักดันให้สตาร์ทอัพสร้างสรรค์โซลูชันใหม่ๆ ในด้านโลจิสติกส์และการผลิต คาดว่าธุรกิจสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและซัพพลายเชนจะดึงดูดเงินทุนหมุนเวียนจํานวนมาก เนื่องจากนักลงทุนให้ความสําคัญกับการสร้างซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น นี่คือวิธีที่ธุรกิจสตาร์ทอัพมีแนวโน้มที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในปี 2025
การผลิตอัจฉริยะ
ธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นผู้นําในโซลูชันการผลิตอัจฉริยะด้วยการใช้ AI หุ่นยนต์ และอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่ง (IoT) เพื่อยกระดับการผลิต ระบบที่ใช้ AI สามารถตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับประสิทธิภาพในโรงงาน คาดการณ์ความต้องการด้านการบํารุงรักษา และทําให้กระบวนการควบคุมคุณภาพทํางานโดยอัตโนมัติเพื่อให้มีระยะเวลาหยุดทํางานน้อยที่สุดและประสิทธิภาพการทํางานที่สูงขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพขนาดเล็กสามารถลดของเสีย มีความแม่นยํามากขึ้น และแข่งขันกับบริษัทที่มีฐานะมั่นคงกว่าได้
การจัดการสินค้าคงคลังที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ความยากลําบากที่สุดอย่างหนึ่งของซัพพลายเชนทั่วโลกคือไม่สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการได้อย่างแม่นยํา ในการตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าว สตาร์ทอัพจึงพัฒนาระบบการจัดการสินค้าคงคลังโดยใช้ AI ที่สามารถคาดการณ์ความต้องการ ปรับปรุงระดับสต๊อกสินค้า และลดการผลิตที่มากเกินไป ระบบเหล่านี้ใช้ข้อมูลเรียลไทม์จากซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต และผู้ค้าปลีก เพื่อจำลองสถานการณ์เชิงคาดการณ์ที่ช่วยลดสถานการณ์ที่สินค้าหมดหรือมีสต๊อกมากเกินไป
ความโปร่งใสของซ้พพลานเชน
ทั้งนักช้อปและบริษัทต่างเรียกร้องให้มีความโปร่งใสมากขึ้นในซัพพลายเชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและการจัดหาที่ถูกต้องตามจริยธรรม ธุรกิจสตาร์ทอัพใช้โซลูชันบล็อกเชนเพื่อสร้างซัพพลายเชนที่โปร่งใสและตรวจสอบติดตามได้ โดยที่ทุกขั้นตอนของการผลิตและการจัดจำหน่ายสามารถตรวจสอบได้ เทคโนโลยีนี้มีความสําคัญอย่างยิ่งสําหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหาร แฟชั่น และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับสามารถสร้างความเชื่อมั่นของผู้ซื้อสินค้าและช่วยให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
ข้อเสนอเฉพาะบุคคลแบบ Hyper
ในปี 2025 การปรับแต่งเฉพาะบุคคลแบบ Hyper มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของความต้องการของนักช้อป ปัจจุบัน นักช้อปคาดหวังจะได้รับประสบการณ์และผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่งตามความต้องการ นิสัย และความชอบเฉพาะของพวกเขาในแบบเรียลไทม์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทต่างๆ ได้ขยายขอบเขตการทำงานออกไปไกลกว่าโมเดลการแบ่งกลุ่มลูกค้าแบบเดิมๆ และสร้างกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กและแม้แต่โปรไฟล์เฉพาะของแต่ละบุคคลขึ้นมา ธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ในการให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคล สร้างหน้าแลนดิ้งที่ปรับให้เหมาะเฉพาะบุคคล และกลยุทธ์ค่าบริการเฉพาะบุคคล เรามาดูนวัตกรรมเหล่านี้กันอย่างละเอียดกัน
อีคอมเมิร์ซและอัลกอริทึมคาดการณ์
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเริ่มฉลาดขึ้น ธุรกิจสตาร์ทอัพต่างก็ใช้ AI และอัลกอริธึมคาดการณ์เพื่อคาดการณ์สิ่งที่ลูกค้าต้องการก่อนที่ลูกค้าจะรู้ด้วยซ้ำ แพลตฟอร์มเหล่านี้วิเคราะห์พฤติกรรมการชอปปิง รูปแบบการเรียกดู และการซื้อที่ผ่านมา เพื่อแนะนําผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้า ลองนึกถึงร้านค้าออนไลน์ที่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของคุณกำลังจะหมดและแนะนำให้ซื้อเพิ่ม หรือร้านค้าที่คัดสรรประสบการณ์การชอปปิงของคุณตามเทรนด์ในพื้นที่ของคุณ
การปรับแต่งเฉพาะบุคคลโดยใช้ข้อมูล
นอกจากนี้ สตาร์ทอัพยังมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วยการปรับแต่งเฉพาะบุคคลโดยใช้ข้อมูล การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าในระดับบุคคลช่วยให้ธุรกิจปรับแต่งทุกอย่างได้ ตั้งแต่การตลาดผ่านอีเมลไปจนถึงคำแนะนำผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่เป็นส่วนตัวและเกี่ยวข้อง แพลตฟอร์มต่างๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ด้วยการส่งมอบเนื้อหาและโปรโมชั่นที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละราย รวมถึงการโต้ตอบในอดีตของลูกค้ากับแพลตฟอร์มด้วย
เทคโนโลยี Climate และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยั่งยืน
ในปี 2025 สตาร์ทอัพที่เน้นด้านเทคโนโลยี Climate และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยั่งยืนอาจเติบโตอย่างมาก เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมมีความเร่งด่วนมากขึ้น ตลาดเทคโนโลยี Climate ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตที่อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นเกือบ 25% ตั้งแต่ปี 2023 ถึงปี 2033 โดยมีโซลูชันที่ยืดหยุ่นตามความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก เช่น พลังงาน การจัดการขยะ และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ยั่งยืน นี่คือจุดที่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดกำลังเกิดขึ้น
สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสีเขียว
สตาร์ทอัพที่เน้นด้านพลังงานสะอาดและการลดของเสียกำลังเติบโตขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของหลายๆ ประเทศ สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีพลังงานกำลังทำงานเกี่ยวกับโซลูชันพลังงานหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น แผงโซลาร์เซลล์ขั้นสูง ระบบกักเก็บพลังงาน และไมโครกริด ให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายพลังงานที่เหมาะกับท้องถิ่นและยืดหยุ่นได้ ในการจัดการรของเสีย บริษัทต่างๆ ใช้ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการรีไซเคิลและลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบ ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการชดเชยคาร์บอนกำลังช่วยให้ผู้ซื้อและธุรกิจชดเชยการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินท์ผ่านระบบเครดิตคาร์บอนที่ได้รับการสนับสนุนจากบล็อคเชนและโซลูชันตามธรรมชาติ เช่น การปลูกป่าใหม่และการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ
หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน
เศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นรูปแบบการผลิตบนพื้นฐานของการปรับปรุงใหม่ รีไซเคิล และแนวทางปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนอื่นๆ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น สตาร์ทอัพกำลังก้าวข้ามการฟอกเขียว (ซึ่งก็คือการสร้างความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับความยั่งยืน) และพัฒนาทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง บริษัทด้านการเกษตรแนวตั้งผลิตอาหารท้องถิ่นปลอดสารพิษในเขตเมืองเพื่อลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่งและทำให้ผลิตผลสดเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เนื้อสัตว์ที่เพาะเลี้ยงในห้องแล็ปกำลังกลายเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูดใจสำหรับทั้งผู้ซื้อที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืนและผู้ที่ต้องการลดการพึ่งพาแนวทางการเกษตรแบบดั้งเดิม บรรจุภัณฑ์ที่ไม่สร้างขยะเป็นอีกด้านหนึ่งที่กำลังเติบโต โดยมีบริษัทสตาร์ทอัพที่พัฒนาโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ทำปุ๋ยหมักได้ และนำกลับมาใช้ใหม่ได้สำหรับทุกสิ่งตั้งแต่อาหารไปจนถึงแฟชั่น แบรนด์ที่เปิดรับทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าและนักลงทุน
การให้บริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) ในแนวตั้งและโซลูชันเฉพาะอุตสาหกรรม
ธุรกิจสตาร์ทอัพ SaaS แบบ B2B กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องจากการเสนอ SaaS ในแนวราบที่กว้างขวางซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้ชมจำนวนมากไปเป็น SaaS แบบแนวตั้ง ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์เฉพาะอุตสาหกรรมที่ออกแบบมาสำหรับตลาดเฉพาะ เช่น กฎหมาย เกษตรกรรม และการดูแลสุขภาพ เนื่องจากอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องการโซลูชันเฉพาะทางมากขึ้น สตาร์ทอัพที่มีข้อเสนอเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผสานการทำงานอย่างลึกซึ้งจึงตอบสนองความต้องการของตลาดเหล่านี้และวางตำแหน่งตัวเองในฐานะพันธมิตรที่ขาดไม่ได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของด้านนี้
การปรับแต่งเฉพาะอุตสาหกรรม
SaaS แนวตั้งให้โซลูชันที่ปรับตามความเฉพาะตัวและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของภาคธุรกิจหนึ่งๆ โซลูชันเหล่านี้มีคุณสมบัติที่ออกแบบมาสําหรับขั้นตอนการทํางานของอุตสาหกรรมแต่ละอย่างโดยเฉพาะ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ผสานการทํางานกับเทคโนโลยีและเครื่องจักรของอุตสาหกรรมนั้นๆ และเป็นไปตามข้อบังคับ ยกตัวอย่างเช่น ในเทคโนโลยีด้านสุขภาพ สตาร์ทอัพ SaaS แนวตั้งกําลังสร้างแพลตฟอร์มที่ทํางานร่วมกับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMRs) และปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการปฏิบัติตามข้อกําหนดของข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพ (เช่น HIPAA) และปรับปรุงขั้นตอนการดูแลผู้ป่วย ในด้านเทคโนโลยีทางกฎหมาย สตาร์ทอัพกำลังสร้างแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือปฏิบัติตามกฎหมายในตัว ระบบการจัดการกรณี และระบบเรียกเก็บเงินอัตโนมัติ ในด้านเทคโนโลยีการเกษตร บริษัท SaaS สร้างโซลูชันที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์การเกษตร วิเคราะห์พืชผล และตรวจสอบสภาพดินได้แบบเรียลไทม์
ฟีเจอร์ตรงเป้าหมายและศักยภาพในการเติบโต
SaaS แนวตั้งช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพสร้างฟีเจอร์ที่ตรงเป้าหมายมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะทางได้เป็นอย่างมาก การมุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะทางช่วยให้นําไปใช้งานได้เร็วขึ้น บริการลูกค้าที่ดีขึ้น และความเชี่ยวชาญของอุตสาหกรรมที่ลึกกว่า ธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถขยายกิจการในภาคส่วนหนึ่งๆ ได้โดยการพัฒนาฟีเจอร์ที่ใกล้เคียงกันหรือเติบโตไปสู่กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
แอปพลิเคชันใหม่ของ Web3
เนื่องจาก Web3 เติบโตอย่างต่อเนื่อง สตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีแบบกระจายอำนาจกำลังขยายธุรกิจออกไปจากกลุ่มสกุลเงินดิจิทัลเริ่มต้น และนำเทคโนโลยีบล็อคเชนไปประยุกต์ใช้จริงในสถานการณ์จริงมากขึ้น ตั้งแต่การระบุตัวตนดิจิทัลไปจนถึงตลาดแบบกระจายอำนาจ ธุรกิจสตาร์ทอัพ Web3 กําลังสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่เปลี่ยนแปลงระบบดั้งเดิมและขยายขอบเขตความสามารถของเทคโนโลยีแบบกระจายอำนาจ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคส่วนต่างๆ เช่น ความบันเทิง อสังหาริมทรัพย์ และเกม ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาของ Web3
แพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัล
สตาร์ทอัพกำลังสร้างแพลตฟอร์มที่อนุญาตให้บุคคลสามารถควบคุมข้อมูลประจำตัวและข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหน่วยงานส่วนกลาง เช่น รัฐบาลหรือบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัลเหล่านี้ใช้สําหรับการเข้าสู่ระบบ การยืนยัน และการเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยโดยไม่จําเป็นต้องใช้รหัสผ่านหรือการตรวจสอบสิทธิ์ของบุคคลที่สาม การดําเนินการนี้จะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และอนุญาตให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองได้ แพลตฟอร์มอย่าง SelfKey และ Civic เป็นผู้บุกเบิกด้านนี้ โดยให้ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างเป็นอิสระ
เครือข่ายโซเชียลมีเดียแบบกระจายอำนาจ
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแบบดั้งเดิมมักจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การควบคุมเนื้อหา และการจัดการอัลกอริทึม สตาร์ทอัพ Web3 กำลังสร้างเครือข่ายโซเชียลแบบกระจายอำนาจ ซึ่งผู้ใช้เป็นเจ้าของเนื้อหาของตนเองและชุมชนเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ของแพลตฟอร์ม แพลตฟอร์มเหล่านี้สร้างขึ้นจากบล็อกเชน ซึ่งสร้างความโปร่งใสและการควบคุมผู้ใช้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Lens Protocol ช่วยให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของกราฟทางสังคมของตัวเองเกี่ยวกับการเชื่อมต่อและการโต้ตอบแทนที่จะต้องใช้อัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม
โปรแกรมการเป็นสมาชิกตาม NFT
โทเค็นที่ไม่สามารถแทนได้ (NFT) มีมากกว่างานศิลปะและของสะสม ธุรกิจสตาร์ทอัพใช้ NFT เพื่อสร้างโปรแกรมการเป็นสมาชิกที่มอบสิทธิ์การเข้าถึงเนื้อหาพิเศษ กิจกรรม และชุมชนต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้ NFT เหล่านี้ทําหน้าที่เป็นการเป็นสมาชิกดิจิทัลที่สามารถซื้อ ขาย หรือโอนได้ ซึ่งจะสร้างกระแสรายรับใหม่ให้กับธุรกิจ ยกตัวอย่าง เช่นด้านความบันเทิง การจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตและภาพยนตร์แบบ NFT กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากช่วยให้แฟนๆ สามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของตั๋วแบบดิจิทัลหรือสิทธิ์เข้าใช้งาน VIP ได้ ธุรกิจสตาร์ทอัพเช่น Tokenproof กำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ NFT เพื่อยืนยันการเป็นสมาชิกหรือความเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
อสังหาริมทรัพย์
ในด้านอสังหาริมทรัพย์ สตาร์ทอัพจาก Web3 กำลังแปลงการเป็นเจ้าของทรัพย์สินให้เป็นโทเค็น บุคคลทั่วไปสามารถซื้อและแลกเปลี่ยนหุ้นของอสังหาริมทรัพย์เป็นโทเค็นได้ผ่านรูปแบบการเป็นเจ้าของเศษส่วน ซึ่งจะลดอุปสรรคในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แพลตฟอร์มอย่าง Propy กําลังสร้างตลาดแบบกระจายอำนาจสําหรับธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยให้ขายอสังหาริมทรัพย์ผ่าน NFT ได้
เกม
ในเกม แพลตฟอร์มแบบกระจายอำนาจช่วยให้ผู้เล่นสามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในเกม เช่น สกินหรืออาวุธ ซึ่งสามารถซื้อขายข้ามแพลตฟอร์มต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยีบล็อคเชนได้ Axie Infinity และ The Sandbox คือสองตัวอย่างชั้นนำที่ผู้เล่นสามารถรับและแลกเปลี่ยน NFT ด้วยมูลค่าในโลกแห่งความเป็นจริงได้
แนวโน้มแรงงาน: จากการทำงานแบบไฮบริดสู่มาร์เก็ตเพลสผู้มีความสามารถ
สตาร์ทอัพกำลังแก้ไขปัญหาด้านแรงงานที่เกิดขึ้นใหม่ด้วยโซลูชันที่สร้างสรรค์สำหรับการทำงานแบบไฮบริด มาร์เก็ตเพลสผู้มีความสามารถ และการจ้างงานแบบแบ่งส่วน (เช่น บุคคลที่ทำงานพาร์ทไทม์ให้กับนายจ้างหลายๆ ราย) ในขณะที่โครงสร้างการทำงานแบบเดิมที่ทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นเริ่มหายไป สตาร์ทอัพกำลังสร้างแพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ธุรกิจและพนักงานสามารถปรับตัวได้ ด้านล่างนี้เป็นโซลูชันใหม่ที่ได้รับความนิยม
โซลูชันการทํางานแบบไฮบริด
การทำงานแบบไฮบริดได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และสตาร์ทอัพกำลังสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ จัดการทีมงานที่แบ่งเวลาทำงานระหว่างออฟฟิศและการทำงานที่บ้าน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่การกำหนดตารางวันทำงาน ไปจนถึงการจัดการการทำงานร่วมกันเป็นทีมในเขตเวลาต่างๆ สตาร์ทอัพอย่าง Envoy และ OfficeTogether ช่วยธุรกิจในการจัดการสํานักงานแบบไฮบริด ในขณะที่แพลตฟอร์มอย่าง Tandem เน้นการดูแลรักษาการทํางานร่วมกันแบบเรียลไทม์สำหรับทีมงานที่กระจายอยู่ทั่วโลก จุดมุ่งเน้นคือความยืดหยุ่นและการช่วยให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่ใดก็ตาม
มาร์เก็ตเพลสผู้มีความสามารถและการจ้างงานแบบแบ่งส่วนเวลา
นอกจากนี้ สตาร์ทอัพยังใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ฟรีแลนซ์ พนักงานพาร์ทไทม์ และพนักงานชั่วคราว สามารถติดต่อกับบริษัทต่างๆ ที่ต้องการทักษะเฉพาะทางอีกด้วย นี่คือการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจแบบรับจ้างชั่วคราว จากสัญญาระยะสั้นไปจนถึงโมเดลการจ้างงานตามทักษะที่ต้องใช้กลยุทธ์มากขึ้น แพลตฟอร์มเช่น Upwork และ Turing เป็นผู้นำในด้านนี้ แต่ตลาดเฉพาะกลุ่มจำนวนมากขึ้นกำลังเริ่มสร้างประสบการณ์ที่ได้คัดสรรสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น เทคโนโลยี กฎหมาย และการออกแบบ
เครื่องมือเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและประสิทธิภาพการทํางานของพนักงาน
การทำงานแบบไฮบริดนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ ในการรักษาพนักงานให้มีส่วนร่วมและมีสุขภาพดี แอปอย่าง Calm และ Headspace จะผสานการทํางานเข้ากับโปรแกรมการดูแลสุขภาพขององค์กร ในในขณะที่ Notion และ Monday.com มีโซลูชันการจัดการโครงการที่ช่วยให้ทีมงานทำงานอย่างสอดคล้องกันและมีประสิทธิผล แพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มผลงานขณะเดียวกันก็จัดการกับสุขภาพจิตและภาวะหมดไฟ
ธุรกิจสตาร์ทอัพออนดีมานด์
ในปี 2025 ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความพึงพอใจทันทีมีแนวโน้มที่จะผลักดันให้บริษัทต่างๆ กลับมาพิจารณารูปแบบการให้บริการแบบเดิมอีกครั้ง ลูกค้าคาดหวังให้สิ่งต่างๆ รวดเร็ว และสตาร์ทอัพก็กำลังนำเสนอโซลูชันสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
เนื่องจากลูกค้าคาดหวังประสบการณ์ที่รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น สตาร์ทอัพที่สามารถปรับปรุงด้านโลจิสติกส์ การชำระเงิน และการสนับสนุนลูกค้าแบบเรียลไทม์ได้ก็จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จ การพัฒนาบางอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในด้านนี้คือ
ร้านมืด
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในระบบเศรษฐกิจออนดีมานด์ (กล่าวคือ เศรษฐกิจที่ลูกค้าจะได้รับสินค้าและบริการโดยทันที) คือการเติบโตของร้านมืด ซึ่งมีทั้งคลังสินค้าขนาดเล็กและในท้องถิ่นเพื่อให้คุณดําเนินการตามคําสั่งซื้อออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ร้านค้มืดได้รับการปรับให้เหมาะสมในเรื่องความรวดเร็วโดยมีระบบคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งช่วยให้สามารถบรรจุและส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ซึ่งต่างจากร้านค้าปลีกทั่วไปหรือศูนย์ปฏิบัติการขนาดใหญ่ บริษัทอย่าง Getir และ Gopuff ต่างก็เป็นผู้นําในการจัดส่งสินค้าและของใช้ในครัวเรือนซึ่งดำเนินการภายในไม่กี่นาที แทนที่จะเป็นวัน ธุรกิจสตาร์ทอัพเหล่านี้พร้อมตอบสนองผู้ซื้อที่ต้องการทุกสิ่งในทันที ไม่ว่าจะเป็นนมกล่องหรือเครื่องปรุงสำหรับอาหารเย็นในนาทีสุดท้าย
ธุรกิจสตาร์ทอัพ Instant Pay
ในด้าน B2B สตาร์ทอัพกำลังปฏิวัติวิธีที่ธุรกิจจัดการการชำระเงิน สตาร์ทอัพที่จ่ายเงินทันที เช่น DailyPay และ Earnin ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงรายได้ของตนเองได้แบบเรียลไทม์ แทนที่จะต้องรอเงินเดือนสองสัปดาห์ต่อครั้งแบบเดิม นี่เป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับเศรษฐกิจแบบรับจ้างชั่วคราวและคนงานรายชั่วโมงซึ่งมักต้องการเข้าถึงเงินสดทันทีสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ความต้องการด้านการชําระเงินแบบเรียลไทม์ยังผลักดันให้ธุรกิจสตาร์ทอัพสร้างโครงสร้างพื้นฐานสําหรับการชําระเงินที่ราบรื่นและรวดเร็วขึ้นอีกด้วย เพื่อให้ธุรกิจสามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ให้บริการและพนักงานได้ทันที
การดูแลสุขภาพตามความต้องการ
Zocdoc, Heal และสตาร์ทอัพอื่นๆ ให้บริการดูแลสุขภาพตามความต้องการซึ่งคนไข้สามารถจองการนัดหมายการแพทย์หรือแม้แต่ขอให้แพทย์ตรวจรักษาที่บ้านได้ สตาร์ทอัพเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพได้ทันทีในยุคที่การรอคิวเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การแพทย์ทางไกลยังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยสตาร์ทอัพเหล่านี้ให้บริการปรึกษาทางไกลแบบทันที ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องรอคอยที่คลินิกเป็นเวลานาน
การบริโภคที่ใส่ใจและธุรกิจสตาร์ทอัพที่ใส่ใจต่อจริยธรรม
ในปี 2025 การบริโภคอย่างใส่ใจมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นกระแสที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ซึ่งผลักดันให้บริษัทสตาร์ทอัพต้องคิดทบทวนเรื่องความยั่งยืน การใช้แรงงานอย่างมีจริยธรรม การจัดหาที่โปร่งใส และแนวทางการค้าที่เป็นธรรม ลูกค้าต่างเรียกร้องความรับผิดชอบมากขึ้นจากแบรนด์ที่พวกเขาสนับสนุน พวกเขาต้องการให้การใช้จ่ายสอดคล้องกับค่านิยมของตนเอง
ในขณะที่การบริโภคอย่างมีจิตสำนึกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สตาร์ทอัพที่ให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติทางจริยธรรมและผสมผสานผลกำไรเข้ากับผลกระทบทางสังคมที่แท้จริงอาจประสบความสำเร็จได้มากกว่า ดูข้อมูลอย่างละเอียดว่าธุรกิจสตาร์ทอัพผสานการทํางานกับแนวทางเหล่านี้อย่างไรบ้าง
แนวปฏิบัติด้านแรงงานอย่างมีจริยธรรมและการค้าที่เป็นธรรม
สตาร์ทอัพที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติด้านแรงงานอย่างมีจริยธรรมอาจได้รับความนิยม เนื่องจากลูกค้ามีความตระหนักมากขึ้นถึงผลกระทบต่อพนักงานทั่วโลกของสินค้าที่ตนเองซื้อไป บริษัทต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การรับรองการค้าที่เป็นธรรมและการจ่ายค่าจ้างที่เหมาะสมแก่คนงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมแฟชั่น อาหาร และเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น Allbirds ได้สร้างแบรนด์โดยใช้วัสดุที่ยั่งยืนและปฏิบัติต่อคนงานอย่างยุติธรรมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน นักช้อปต่างแสวงหาแบรนด์ที่มีจริยธรรม และสตาร์ทอัพที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรมก็ได้รับความนิยมจากผู้ติดตาม
การจัดหาอย่างโปร่งใส
ความโปร่งใสกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้สำหรับลูกค้าที่ต้องการทราบว่าผลิตภัณฑ์ของตนมาจากที่ใด ธุรกิจสตาร์ทอัพใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและเครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ เพื่อติดตามซัพพลายเชน เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถดูข้อมูลได้ทุกอย่าง ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบไปจนถึงแนวปฏิบัติด้านแรงงานของซัพพลายเออร์ ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ทำให้ความโปร่งใสเป็นค่านิยมหลักก็กำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อทำสิ่งดีๆ
สตาร์ทอัพที่ผสมผสานการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อทำสิ่งดีๆ เข้ากับรูปแบบธุรกิจโดยตรงโดยไม่ลดความสามารถในการทํากําไรถือเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปมากขึ้น การรับรองบริษัทประเภท B กำลังกลายเป็นสถานะที่เป็นที่ต้องการ ซึ่งแสดงว่าบริษัทกำลังสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและจุดประสงค์ ธุรกิจเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการให้ความสำคัญกับจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติด้านแรงงาน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือการกำกับดูแลกิจการ ไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการสูญเสียทางการเงิน ในความเป็นจริง ธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีจริยธรรมกําลังดึงดูดฐานผู้ซื้อที่เติบโต ซึ่งเป็นผู้ที่ยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้นสําหรับผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมคุณค่าของพวกเขา
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ