ฟังก์ชัน Maestro ในบัตร Girocard เป็นวิธีการชำระเงินยอดนิยมมานานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชำระเงินในต่างประเทศ ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของ Maestro และข้อดีที่ Maestro มอบให้กับบริษัทและลูกค้า
เนื้อหาหลักในบทความ
- Maestro คืออะไร
- ข้อดีของ Maestro คืออะไร
- การชำระเงินโดยใช้ Maestro นั้นเป็นอย่างไร
- ทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Maestro มีอะไรบ้าง
- Maestro แตกต่างจาก V-Pay และ Girocard อย่างไร
- Maestro แตกต่างจาก Mastercard อย่างไร
Maestro คืออะไร
Maestro เป็นระบบการชำระเงินที่ Mastercard ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชำระเงินให้บริการมาตั้งแต่ปี 1991 โดยสามารถใช้บัตร Girocard หรือบัตรเดบิตที่มีตราสัญลักษณ์ Maestro ได้ที่ร้านค้าหลายล้านแห่งทั่วโลก ซึ่งแตกต่างจากบัตรเครดิต เพราะลูกค้าสามารถใช้บัตร Maestro ได้ตามจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีกระแสรายวันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2023 เป็นต้นไป จะไม่สามารถใช้ฟังก์ชัน Maestro ได้กับบัตร Girocard ที่เพิ่งออกใหม่ Mastercard ระบุว่าระบบการชำระเงินไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการค้าทางออนไลน์ และมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ลูกค้ายังคงสามารถชำระเงินด้วยบัตรที่ออกให้แล้วได้จนถึงวันหมดอายุ แม้ว่าจะเดินทางไปต่างประเทศก็ตาม อย่างไรก็ตาม ร้านค้าบางแห่งจะไม่รับ Maestro อีกต่อไปนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ ดังนั้นลูกค้าควรตรวจสอบล่วงหน้าว่าธุรกิจนั้นๆ ยังคงรับบัตรอยู่หรือไม่ ปัจจุบัน Mastercard ให้บริการ "Debit Mastercard" เพื่อแทนที่ฟังก์ชัน Maestro ในบัตร Girocard
ข้อดีของ Maestro คืออะไร
Maestro มอบช่องทางการรับ การหักเงิน และการใช้จ่ายที่รวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบายให้กับธุรกิจและลูกค้า เนื่องจากตู้เอทีเอ็มและธุรกิจส่วนใหญ่รับบัตร Maestro จึงทำให้การชำระเงินเป็นเรื่องง่ายทั้งในร้านค้าและทางออนไลน์
ธุรกิจต่างๆ ก็สามารถทำงานร่วมกับ Maestro ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเทคโนโลยีราคาแพง หรือซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ สิ่งเดียวที่ธุรกิจต้องใช้คือเครื่องรูดบัตรเครดิตหรือซอฟต์แวร์รับชำระเงินจากบัตรในร้านค้าปลีกแต่ละแห่ง
ข้อได้เปรียบสำคัญของ Maestro คือเป็นบัตรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล (กล่าวคือ สามารถนำไปใช้ในต่างประเทศได้) เจ้าของบัตรสามารถใช้ Maestro เพื่อหักเงินและชำระเงินแบบไร้เงินสดในต่างประเทศ ดังนั้นการเสนอให้ใช้ Maestro เป็นวิธีการชำระเงินช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถสร้างยอดขายระหว่างประเทศและเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้
Maestro มีฟีเจอร์การรักษาความปลอดภัยที่หลากหลายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อโกง ซึ่งรวมถึงชิป NFC (NFC ย่อมาจาก "การสื่อสารระยะใกล้") พร้อมการยืนยันตัวตนด้วยรหัส PIN และการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 3D Secure (3DS) ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีเพียงบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะทำธุรกรรมได้ นอกจากนี้ Maestro ยังมาพร้อมการปกป้องเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เนื่องจากสามารถดำเนินธุรกรรมได้ภายในขีดจำกัดที่กำหนดไว้เท่านั้น
การชำระเงินโดยใช้ Maestro นั้นเป็นอย่างไร
เมื่อธนาคารออกบัตร Girocard บัตรดังกล่าวมักจะมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า Co-Badge (เช่น จาก Maestro หรือ Visa) ซึ่ง Co-Badge นี้ช่วยให้ลูกค้าหักเงินและชำระเงินแบบไร้เงินสดได้ทั่วโลก สำหรับการชำระเงินในร้านค้า เพียงแค่นำบัตรหรือชิป NFC ไปแตะที่เครื่องอ่านบัตร หลังจากส่งข้อมูลการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ลูกค้าจะต้องอนุมัติการชำระเงินที่มีมูลค่าเกิน 50 ยูโรโดยการป้อนรหัส PIN หรือใช้ลายเซ็น จากนั้นระบบจะหักธุรกรรมจากบัญชีกระแสรายวันที่บันทึกไว้โดยตรง
บัตร Maestro บางใบยังอนุญาตให้ลูกค้าชำระเงินออนไลน์ได้หากมีรหัส CVV ซึ่งเป็นรหัสการรักษาความปลอดภัย 3 หลักที่อยู่ด้านหลังบัตร เมื่อมีตัวเลือกเป็นการชำระเงินออนไลน์ ลูกค้าสามารถป้อนหมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัส CVV ในช่องที่เกี่ยวข้องในหน้าชำระเงินได้ หลังจากนั้น ระบบจะใช้ขั้นตอน Mastercard SecureCode หรือ 3DS เพื่อยืนยันธุรกรรม ซึ่งเป็นขั้นตอนการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมที่ทำให้ขั้นตอนการชำระเงินมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
โปรดทราบว่าบางธนาคารอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเมื่อใช้บัตรในต่างประเทศ ลูกค้าควรตรวจสอบล่วงหน้าว่าในมาร์เก็ตเพลสนี้มีการใช้ Maestro แพร่หลายแค่ไหน
ทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจาก Maestro มีอะไรบ้าง
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงล่าสุดของฟังก์ชัน Maestro ทำให้มีทางเลือกที่เป็นไปได้หลายทาง หนึ่งในนั้นคือธนาคารสามารถเปลี่ยนบัตร Girocard เป็นบัตรเดบิตใบอื่นได้ ฟังก์ชันของบัตรเดบิตอื่นๆ จะคล้ายกับบัตร Girocard ตรงที่หักเงินจากบัญชีโดยตรง อย่างไรก็ตาม ร้านค้าขนาดเล็กส่วนใหญ่ในเยอรมนีไม่รับบัตรเดบิตเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเมื่อใช้บัตรเดบิตที่ไม่ใช่ Girocard
อีกทางเลือกหนึ่งคือธนาคารต่างๆ ใช้ระบบบัตร 2 ใบ เช่น ใช้บัตร Girocard ภายในเยอรมนี และใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในต่างประเทศ นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีทางเลือกในการใช้ V-Pay ซึ่งเป็นฟังก์ชันการชำระเงินของ Visa แทน Maestro Badge อีกด้วย
ธนาคารจะต้องติดต่อลูกค้าโดยเร็วที่สุดพร้อมข้อมูลอัปเดตและทางเลือกอื่นๆ เนื่องจากลูกค้าต้องยินยอมกับการเปลี่ยนแปลงในบัญชีของตนเอง
Maestro แตกต่างจาก V-Pay และ Girocard อย่างไร
แม้ว่า Maestro จะเป็นผลิตภัณฑ์ของ Mastercard แต่ V-Pay เป็นระบบการชำระเงินของบริษัทบัตรเครดิต Visa ในทางกลับกัน Girocard ได้รับการพัฒนาโดย Deutsche Kreditgesellschaft ระบบเหล่านี้มีระดับการรับบัตรที่แตกต่างกัน โดยบัตร V-Pay สามารถใช้ได้ทั่วยุโรป บัตร Maestro สามารถใช้ได้ทั่วโลก และ Girocard (ที่ไม่มีฟังก์ชันเพิ่มเติม) เป็นที่ยอมรับเฉพาะในเยอรมนีเท่านั้น
Maestro แตกต่างจาก Mastercard อย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างบัตร Girocard ที่มีฟังก์ชัน Maestro กับ Mastercard คือบัตร Maestro ไม่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับบัตรเครดิต ธุรกรรมแต่ละรายการจะถูกหักออกจากบัญชีกระแสรายวันที่บันทึกไว้โดยตรง ส่วนบัตร Mastercard มีให้เลือกทั้งแบบบัตรเดบิต บัตรเครดิต และบัตรเติมเงิน โดยบัตรเครดิต Mastercard จะได้รับการเรียกเก็บเงินและโดยปกติจะชำระเมื่อสิ้นถึงเดือน นอกจากนี้ บัตรเครดิต Mastercard ยังมีวงเงินเครดิตที่กำหนดไว้แยกต่างหาก แต่สำหรับบัตรเติมเงิน ในบัตรจะต้องมียอดคงเหลือในบัญชีที่ต้องเติมไว้ล่วงหน้าก่อนใช้งาน
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ