ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการชำระเงินของ WooCommerce พูดถึงการมอบ "ความยืดหยุ่นแบบไร้ขีดจำกัด" ให้ธุรกิจได้เติบโต

WooCommerce คือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบโอเพนซอร์สที่เป็นพลังขับเคลื่อนให้กับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซชั้นนำกว่า 25% จากจำนวนหลายล้านเว็บไซต์ แพลตฟอร์มทำงานบน WordPress และช่วยให้ผู้ค้าทุกขนาดมีเครื่องมือในการสร้างหน้าร้านออนไลน์ที่ปรับแต่งเองได้ตามความต้องการ โดยบริษัทร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Stripe มานานหลายปีเพื่อมอบโซลูชันเหล่านี้ให้กับลูกค้า

_เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ Keala Gaines ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการชำระเงิน ซึ่งจะมาอธิบายให้เราฟังกันว่า WooCommerce ทำให้พนักงานกว่า 300 คนมีความเข้าใจลูกค้าอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร รวมถึงความสำคัญของระบบโอเพนซอร์ส และเหตุผลที่บริษัทร่วมมือกับ Stripe มานานหลายปีขนาดนี้ _

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้

    Connect
    Capital
    Terminal
    Elements
ทั่วโลก
องค์กร

ผู้ใช้แพลตฟอร์มของคุณคือใครบ้าง

เราพูดได้เลยว่า WooCommerce เป็นขุมพลังที่ช่วยให้ทุกคนขายสินค้าและบริการได้ทุกประเภทและทุกที่ โดยมอบความสามารถในการขยายธุรกิจ ความยืดหยุ่น และการควบคุมอย่างไม่จำกัดในการพัฒนาธุรกิจของตัวเอง ลูกค้าของเรามีทุกแบบ ตั้งแต่คนที่เพิ่งจะเริ่มทำธุรกิจ เช่น ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจคนเดียวหรือกิจการที่มีเจ้าของคนเดียว ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีช่องทางจำหน่ายหลากหลาย ซึ่งมีความต้องการที่ซับซ้อน การมีลูกค้าจำนวนมากที่ทำธุรกิจหลากหลายขนาดแตกต่างกันไป ทำให้ WooCommerce ต้องมอบความยืดหยุ่นและความอิสระอย่างไร้ขีดจำกัดให้ผู้ประกอบการสามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้

เพราะอะไรผู้ประกอบการจึงสำคัญอย่างมากต่อสิ่งที่ WooCommerce กำลังพัฒนา

ผู้ประกอบการเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เรื่องราวของพวกเขาตราตรึงอยู่ในความคิดของเราหลายคนที่ WooCommerce อีกทั้งยังเป็นเหตุผลที่เรามาทำงานในแต่ละวันด้วย ซึ่งเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่เราสร้างขึ้นมาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือธุรกิจที่เพิ่งก่อตั้งและกำลังเติบโตก็ตาม

แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กที่สุดก็เชื่อมต่อกับผู้ซื้อจากทุกมุมโลกได้ทางออนไลน์ แล้ว WooCommerce ช่วยลดความซับซ้อนให้กับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กได้อย่างไร

อีคอมเมิร์ซซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริโภคเองก็คาดหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ คุณอยากซื้อของทางออนไลน์แล้วเดินทางไปรับที่ร้าน หรือเดินทางไปชมสินค้าในร้าน แล้วค่อยสั่งซื้อทางออนไลน์และให้ทางร้านส่งสินค้ามาถึงหน้าบ้าน จะเห็นได้ว่าเส้นแบ่งของช่องทางจำหน่ายและการทำการค้าเลือนลางลงเรื่อยๆ

ลองนึกถึงการจัดส่งสินค้าไปทั่วโลกและการนำสินค้าข้ามพรมแดนดู สมัยก่อนไม่ได้พบเห็นได้บ่อยๆ แต่ปัจจุบัน ผู้บริโภคซื้อสินค้าจากผู้ค้าได้จากทั่วทุกมุมโลก แต่ถึงกระนั้น ทุกคนยังคงต้องการประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่ตรงตามความต้องการของตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค ซึ่งในทางหนึ่ง WooCommerce ช่วยให้ลูกค้าก้าวข้ามความซับซ้อนเหล่านั้นโดยการมอบเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานทุกอย่างได้อย่างราบรื่นในที่เดียว

ปัจจุบัน ลูกค้าของคุณให้ความสำคัญกับเรื่องใดมากที่สุดเมื่อทำธุรกรรมกับผู้ซื้อ

ธุรกิจทั้งหลายต่างก็ต้องการความปลอดภัย การรับชำระเงินได้หลากหลายรูปแบบ และฟังก์ชันการทำงานเพื่อการดำเนินธุรกิจ เช่น การรายงาน การจัดการคำสั่งซื้อ การดำเนินการตามคำสั่งซื้อ เป็นต้น

ธุรกิจบางแห่งอาจขายสินค้าที่จับต้องได้หรือบริการโดยอาจจะขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านเว็บไซต์ แต่ก็มีช่องทางจำหน่ายแบบ B2B ด้วย ความซับซ้อนเหล่านี้เปลี่ยนไปเมื่อผู้ค้าขายสินค้าทั้งทางออนไลน์และผ่านหน้าร้าน หรือขายข้ามพรมแดน และจำเป็นต้องรับชำระเงินเป็นสกุลเงินท้องถิ่น ดังนั้น คำตอบจริงๆ จะขึ้นอยู่กับผู้ค้าแต่ละรายและโมเดลธุรกิจของพวกเขาด้วย ซึ่ง WooCommerce ช่วยลดความซับซ้อนให้กับความต้องการหลายๆ แบบด้วยกัน

คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการขายผ่านทุกช่องทางที่เป็นผลมาจากการระบาดของโรคโควิด แล้วสิ่งนี้จะส่งผลอย่างไรหลังจากสถานการณ์โรคระบาดผ่านพ้นไปแล้ว

เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเยอะมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่การชำระเงินเท่านั้น แต่รวมถึงการที่ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนโมเดลการดำเนินงานของตัวเองเพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ด้วย

เมื่อโควิดทำให้โลกรอบตัวของเราเปลี่ยนแปลงไป การชำระเงินแบบไร้สัมผัส รวมถึงแนวทางการขายแบบผสมผสานที่ลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์และเดินทางไปรับด้วยตัวเองที่ร้าน หรือซื้อสินค้าในร้านที่ไม่ได้เก็บสต็อกสินค้าไว้ แต่จะส่งสินค้าให้ลูกค้าถึงบ้านในภายหลัง จึงแพร่หลายเร็วขึ้น

สถานการณ์เหล่านี้ขยายตัวเร็วมากเนื่องจากพฤติกรรมและความคาดหวังของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยาก แต่หลังจากลูกค้าปรับตัวได้แล้ว ก็จะยกระดับความคาดหวังเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจไปอย่างถาวร

คุณขยายธุรกิจของ WooCommerce อย่างไรโดยไม่สูญเสียแก่นที่ทำให้บริษัทพิเศษและแตกต่าง อย่างเช่น วัฒนธรรมการทำงานจากระยะไกล

WooCommerce และบริษัทแม่ Automattic (ซึ่งเป็นเจ้าของ WordPress.com ด้วย) เป็นบริษัทที่พนักงานทำงานจากระยะไกลอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เริ่มก่อตั้งและมีพนักงานกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก นั่นทำให้เราทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมงานทั่วโลกและได้รับมุมมองในระดับสากลว่าเราควรสร้างผลิตภัณฑ์อย่างไร นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราปรับขนาดธุรกิจได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ยังคงมองหาทางให้พนักงานทำงานจากระยะไกลกันอยู่

พอสังเกตทีมงานที่โตขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็นึกถึงการจดจำรูปแบบขึ้นมา ฉันคิดว่าเราจะ “มอบสิ่งดีๆ” ให้กับคนที่จะเข้ามาในอนาคตโดยการสร้างกระบวนการที่สามารถทำซ้ำและปรับขยายได้ด้วยวิธีใดบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังคิดเกี่ยวกับกระบวนการ ไม่ใช่ในแง่ลบนะคะ แต่เป็นกระบวนการในแง่บวกที่ช่วยให้ทีมของเราทำงานได้เร็วขึ้น และเมื่อเราทำสิ่งนั้นได้ดี ก็จะช่วยให้เราขยายการดำเนินงานและสร้างประสิทธิภาพให้กับทีมได้อย่างแท้จริง

คุณสร้างประสิทธิภาพให้กับทีมอย่างไรบ้างเพื่อตามให้ทันข้อมูลเชิงลึกและแนวโน้มของตลาดที่ช่วยให้ WooCommerce สร้างนวัตกรรมแทนผู้ใช้ และในขณะเดียวกับก็คำนึงถึงลูกค้าอยู่เสมอ

อย่างแรกคือ เราต้องทำให้ทุกคนได้ทำงานในแบบที่ตนเองรัก ซึ่งเป็นการนำมุมมองที่มองจากภายนอกเข้ามาภายในสำหรับสาขาการทำงานของพนักงานเอง อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะติดต่อกับลูกค้าด้วยตัวเองหรือติดต่อกับคนที่พูดคุยกับลูกค้าอีกทอดหนึ่ง หรือทำงานกับพาร์ทเนอร์ที่ช่วยเหลือลูกค้า สิ่งสำคัญก็คือ คุณจะต้องมีความสงสัยอยากรู้และเข้าใจลูกค้าอย่างถ่องแท้ เมื่อนำสองสิ่งนี้มาประกอบกัน ก็จะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่นวัตกรรมเติบโตขึ้นมาได้

คุณเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมในการเชื่อมต่อกับผู้ค้าและพาร์ทเนอร์อย่าง Google, Facebook (Meta), HubSpot ฯลฯ แล้วคุณมีวิธีการเลือกพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีอย่างไร

โดยการรับฟังเสียงของผู้ค้าและมองหาวิธีการที่ช่วยให้พวกเขาปรับตัวและขยายการดำเนินงานให้รองรับความต้องการของธุรกิจได้ค่ะ แต่ว่าความต้องการเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นในฐานะแพลตฟอร์ม เราจึงต้องพยายายามมองหาวิธีดำเนินการให้ครอบคลุมทุกขนาด โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ค้า

การจะทำแบบนั้นได้ เราต้องคอยติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผู้ค้านำไปปรับใช้อยู่เสมอ และทำให้ผู้ค้ารายย่อยเข้าถึงเครื่องมือที่เมื่อก่อนมีแต่บริษัทใหญ่ๆ ที่สามารถใช้ได้

นั่นคือความงดงามของการร่วมมือกันค่ะ เพราะเราพยายามผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ากับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ สิ่งที่เราตั้งคำถามกับตัวเองก็คือ เราจะผสานเครื่องมือที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าไว้ในแพลตฟอร์มได้อย่างไร เราจะนำคำติชมที่ได้รับจากผู้ค้าหลายๆ รายมาใช้ปรับปรุงแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการผู้ค้าแต่ละรายได้ในรูปแบบไหน

การร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทอื่น (โดยเฉพาะบริษัทอย่าง Stripe) คือตัวอย่างของการคำนึงถึงความต้องการของธุรกิจจำนวนมากและนำมาผสานรวมไว้ในแพลตฟอร์ม ดังนั้นอุปสรรคของผู้ค้าแต่ละรายในการเข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มจึงมีน้อยมากและดำเนินไปอย่างราบรื่น รวมทั้งช่วยให้มีการเข้าถึงเครื่องมือที่เหมาะสมบนแพลตฟอร์มได้ทั่วกัน

Stripe กับ WooCommerce มีอะไรเหมือนกันบ้างในแง่ของการคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ

ฉันเล่าไปเยอะมากก่อนหน้านี้เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม รวมทั้งพลังของการคำนึงถึงความต้องการของผู้คนและธุรกิจจำนวนมากเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจแต่ละราย ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โครงสร้างพื้นฐานของ Stripe รองรับความต้องการของธุรกิจและผู้คนจำนวนมากในแง่ของการชำระเงินโดยช่วยให้แพลตฟอร์มเสนอการชำระเงินให้แก่ลูกค้าของเรา ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าถึงฟังก์ชันของ Stripe ได้อย่างทั่วถึงกันยังช่วยให้เราปรับขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับฟังก์ชันการชำระเงินเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้านับล้านได้

Stripe กับ WooCommerce จะร่วมมือกันอย่างไรบ้างเพื่อมอบประโยชน์ให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Stripe ช่วยให้ WooCommerce มีฟังก์ชันการชำระเงินใหม่ล่าสุด ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมทั้งมอบเครื่องมือใหม่ล่าสุดที่ลูกค้าของเราต้องการ ที่สำคัญคือ Stripe ช่วยให้ผู้ค้าของ WooCommerce เข้าถึงเงินทุนได้เร็วขึ้น ยกระดับการเข้าถึงเงินทุนหมุนเวียน และเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินที่จุดขาย ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ซึ่งการทำงานร่วมกันช่วยให้เราสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีต่อชีวิตของลูกค้าค่ะ

รู้เสมอว่าคุณต้องจ่ายเท่าไร

ค่าบริการต่อธุรกรรมที่รวมไว้หมดแล้วโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง

เริ่มต้นผสานการทำงาน

เริ่มใช้งาน Stripe ได้ภายใน 10 นาที