คุณจะอธิบายเกี่ยวกับแนวทางการเป็นผู้นำของตัวเองอย่างไร
เราทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้งกับการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ค้าและช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในโลกแห่งการขายผ่านทุกช่องทาง ซึ่งผมดำเนินงานตามกลยุทธ์นี้มาตั้งแต่แรก เรามุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เดียว แต่เราจะทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นยอดเยี่ยมที่สุดในการช่วยให้ผู้ค้าสามารถรับมือกับอีคอมเมิร์ซที่ซับซ้อน
ตัวอย่างของปัญหาที่พบได้บ่อยซึ่งลูกค้าของคุณกำลังมองหาหนทางแก้ไขได้แก่อะไรบ้าง
อย่างแรกคือ ผู้ค้าต้องการแสดงแบรนด์และอยากให้เว็บไซต์สวยงาม น่าสนใจ และมีอัตราการแปลงเป็นลูกค้าสูง ซึ่ง BigCommerce แก้ไขปัญหาได้สองต่อ โดยให้ผู้ค้าสามารถออกแบบและจัดการเว็บไซต์ที่สวยงามสะดุดตาได้โดยใช้เฟรมเวิร์กและธีมการออกแบบของเรา หรือสามารถใช้ตัวเลือกฟรอนท์เอนด์ของบริษัทอื่นอย่างเช่น WordPress หรือ Bloomreach โดยเราช่วยให้ผู้ค้าเลือกได้อย่างยืดหยุ่น
ผมภูมิใจมากกับหน้าร้านแบบมัลติฟังก์ชันของเรา ซึ่งช่วยให้ผู้ค้าของ BigCommerce สร้างและจัดการหน้าร้านเพิ่มเติมสำหรับแบรนด์ กลุ่มลูกค้า พื้นที่ภูมิศาสตร์ ภาษาที่แตกต่างกันได้จากภายในร้านค้าบน BigCommerce และทำทุกอย่างครบจบในที่เดียว
คุณมีแนวทางอย่างไรในการปรับใช้นวัตกรรมที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งในกลยุทธ์โดยรวมของ BigCommerce
ตอนผมเข้ามาทำงานกับ BigCommerce ในปี 2015 เรายังเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ SaaS ที่มีใหญ่เป็นอันดับ 2 ผมทราบอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าเรายังทำแบบเดิมไปเรื่อยๆ เราก็จะเป็นอันดับ 2 ไปตลอด
ผมตัดสินใจว่าเราจะขยายตลาดระดับบน และกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นตลาดระดับกลางและองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้มีความซับซ้อนและใช้ซอฟต์แวร์ภายในขององค์กร เราจึงตั้งใจจะสร้าง SaaS ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนและทำให้กลายเป็นแพลตฟอร์มโอเพนซอร์สที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นที่สุด แต่ก่อนอื่น เราต้องแยกองค์ประกอบแต่ละอย่างของทั้งแพลตฟอร์มของเราออกมา หรือใช้ API เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีของบริษัทอื่นอย่างเช่น Stripe ซึ่งความก้าวหน้าของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ BigCommerce เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างมากที่สุด ทำให้ผู้ค้าพัฒนานวัตกรรมไปพร้อมกับเราได้
เราตั้งใจจะสร้าง SaaS ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และทำให้กลายเป็นแพลตฟอร์มโอเพนซอร์สที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นที่สุด
ในขณะที่คุณเปลี่ยนเป้าหมายมายังตลาดระดับบนเพื่อให้การสนับสนุนผู้ค้าปลีกรายใหญ่ขึ้น คุณทำอย่างไรบ้างเพื่อให้สามารถมอบบริการแก่กลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น
ยิ่งธุรกิจใหญ่เท่าไหร่ การดำเนินงานก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเท่านั้น เราอยากจะเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในโลกในการช่วยผู้ค้าและธุรกิจที่ซับซ้อนขยายธุรกิจให้เติบโตผ่านแพลตฟอร์ม SaaS แบบโอเพน โดยเราจะทำหน้าที่โฮสต์ แก้ไขปัญหา ดูแลด้านความปลอดภัย และรับมือกับสิ่งที่ยุ่งยากทั้งหลายในการจัดการและใช้งานเทคโนโลยี แต่เราจะทำด้วยความเปิดเผยและยืดหยุ่น โดยนำ API และโซลูชันเชื่อมต่อมาใช้ เพื่อให้สามารถปรับตามความต้องการของแต่ละธุรกิจได้
ผู้ค้าของเราสามารถเลือกใช้โซลูชันการชำระเงิน การบัญชี และการตลาดแบบใดก็ได้ที่ต้องการ ในอดีต ธุรกิจที่ซับซ้อนจะต้องเป็นเจ้าของและจัดการซอฟต์แวร์ของตัวเองเพื่อจะได้มีฟังก์ชันและความยืดหยุ่นในระดับองค์กร แต่ตอนนี้ BigCommerce จัดเตรียมทุกอย่างให้ พร้อมมอบประโยชน์จากการเป็นแพลตฟอร์ม SaaS แบบโอเพน
คุณลงทุนในระบบนิเวศพาร์ทเนอร์ของ BigCommerce อย่างจริงจัง การทำแบบนี้ส่งผลต่อลูกค้าอย่างไรบ้าง
สิ่งที่เป็นเป้าหมายของเราเสมอมาก็คือ การผสานการทำงานที่ดีที่สุดกับผู้นำของหมวดหมู่ธุรกิจต่างๆ
ตัวอย่างเช่น Stripe เราใช้ประโยชน์จากฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยที่สุดเท่าที่ Stripe มีอยู่ สำหรับผู้ค้าที่บอกว่า “เราอยากใช้ประโยชน์จากทุกอย่างที่ Stripe มีให้” BigCommerce จะเป็นแพลตฟอร์มที่พวกเขาควรใช้งานเพราะผสานการทำงานมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการนำเสนอการผสานการทำงานที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันเช่นนี้ ทำให้ลูกค้าได้รับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละธุรกิจได้อย่างดีที่สุด ซึ่งนั่นคือโมเดลที่เรานำเสนอให้กับตลาด กล่าวโดยสรุปก็คือ เป็นโมเดลแบบโอเพนที่ดีที่สุดในกลุ่มเดียวกันและออกแบบมาให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายรับดีที่สุด
Stripe ตอบโจทย์จุดมุ่งหมายของคุณในการมอบตัวเลือกที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าอย่างไร
Stripe เป็นโซลูชันการชำระเงินที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากที่สุด และพัฒนาขึ้นมาโดยคนที่มีภูมิหลังด้านการชำระเงินมาอย่างโชกโชนจากการทำงานให้กับ Paypal มาตลอด 8 ปี สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชม Stripe มากที่สุดก็คือความสง่างามและประโยชน์ใช้สอยของ API ที่ช่วยให้ธุรกิจผสานการทำงานกับฟังก์ชันต่างๆ ของ Stripe ได้ง่าย และยังครอบคลุมไปถึงแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ร้านค้าอีคอมเมิร์ซ และอื่นๆ ด้วย ซึ่งความเปิดกว้างและความยืดหยุ่นในระดับนี้คือคุณค่าที่ทั้ง BigCommerce และ Stripe มีเหมือนกัน
ในฐานะแพลตฟอร์ม ผมอยากทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่สร้างความแตกต่างและมอบสิ่งที่ดีกว่าให้กับโลกของเรา รวมทั้งมีการผสานการทำงานที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ในการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Stripe นั้น งานหลักๆ ก็คือดูแลให้แน่ใจว่าเราผสานการทำงานฟังก์ชันที่ดีที่สุดทั้งหมดของ Stripe และมอบฟังก์ชันเหล่านั้นให้ผู้ค้าทั่วโลกบนแพลตฟอร์มของเรานำไปใช้ ตัวอย่างเช่น เรากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยการผสานการทำงานกับฟังก์ชันการเรียกเก็บเงิน การชำระเงินตามรอบบิล และการบันทึกการขายของ Stripe
และสุดท้าย เราจะไม่เรียกเก็บเงินจากผู้ค้าเพื่อเป็นค่าใช้บริการของ Stripe ผู้ค้าของเราจะสามารถใช้ฟังก์ชันที่ดีที่สุดของ Stripe ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ในฐานะแพลตฟอร์ม ผมอยากทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่สร้างความแตกต่างและมอบสิ่งที่ดีกว่าให้กับโลกของเรา รวมทั้งมีการผสานการทำงานที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
BigCommerce ใช้ Stripe มารองรับเป้าหมายการเติบโตโดยรวมได้อย่างไร
เรามีเป้าหมายหลายอย่างที่ Stripe ช่วยเราได้ อันดับแรกคือการขยายพื้นที่ให้บริการ ซึ่ง Stripe ขยายบริการไปยังหลายๆ ประเทศที่ธุรกิจท้องถิ่นแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยเราอยากจะเพิ่มประเทศเหล่านั้นใน BigCommerce โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกทั้ง Stripe ยังเพิ่มวิธีการชำระเงินแบบใหม่ๆ อยู่ตลอด เราจึงเปิดตัววิธีการชำระเงินเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ค้าสามารถกำหนดค่าขั้นตอนการชำระเงินของตัวเองและเลือกใช้วิธีการชำระเงินที่ตอบโจทย์พวกเขามากที่สุด
อีกประการหนึ่ง Stripe สร้างนวัตกรรมใหม่ในด้านต่างๆ อย่างเช่นฟังก์ชันการชำระเงินตามรอบบิล ซึ่งสำคัญและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งสำหรับผู้ค้าหลายรายของเราพอๆ กับฟังก์ชันบันทึกการขาย โดยนวัตกรรมและประสบการณ์ด้านการชำระเงินของ Stripe ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ค้าของ BigCommerce ได้เป็นอย่างดี
สุดท้ายคือ ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของ Stripe นั้นน่าทึ่งมาก ผู้ค้าของเราไม่อยากมานั่งกังวลว่าจะต้องจ่ายค่าประมวลผลบัตรเครดิตเพิ่มเติม ค่าบริการแบบเบ็ดเสร็จจำนวนมากของ BigCommerce ที่จริงแล้วถูกกว่าเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ ในวงการ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผู้ค้าของเราชื่นชอบมาก
คุณขยายธุรกิจ BigCommerce อย่างไรให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนมาเป็นอีคอมเมิร์ซมากขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
สิ่งสำคัญที่สุดในการขยายธุรกิจก็คือความครอบคลุมทั่วโลก ทุกวันนี้ เราประจำอยู่ในสหรัฐอเมริกา ทว่าแต่เดิมเราก่อตั้งบริษัทในเมืองซิดนีย์ ดังนั้น เราจึงดำเนินธุรกิจในออสเตรเลียได้อย่างมั่นคงและเรายังได้ขยายธุรกิจครั้งใหญ่ไปยุโรปด้วย ส่วนในลาตินอเมริกา เราได้เปิดสำนักงานแห่งแรกที่นั่นและวางแผนว่าจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้นในภูมิภาค นอกจากนี้ เราตั้งเป้าว่าจะเจาะตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยเราให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถของนักพัฒนาเพื่อส่งเสริมการขยายธุรกิจไปทั่วโลก ปัจจุบันเรามีสำนักงานพัฒนา 5 แห่ง และวางแผนจะเพิ่มสำนักงานไปทั่วโลก
ตลาดอีคอมเมิร์ซจะเป็นอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้า
ในอุตสาหกรรมนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่น่าสนใจมาก หนึ่งในนั้นคืออีคอมเมิร์ซที่แยกการทำงานระหว่างส่วนแบ็กเอนด์กับฟรอนท์เอนด์ ซึ่งผู้ค้าไม่ถูกจำกัดด้วยเทคโนโลยีที่ใช้มอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าและการออกแบบในส่วนฟรอนท์เอนด์ โดยเราอยากจะทำเรื่องนี้ให้ดียิ่งกว่าแพลตฟอร์มไหนๆ ในโลก อีกอย่างหนึ่งคือ การขายผ่านหลายช่องทางและการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ค้าในการสร้างความต้องการ รวมถึงการขายสินค้าและบริการได้ทุกที่ ทั้งทางออนไลน์หรือแบบออฟไลน์ผ่านหน้าร้าน เห็นได้จากการที่เราเข้าซื้อกิจการของ Feedonomics ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดในการแสดงรายการผลิตภัณฑ์บน Google, Facebook, เครือข่ายโซเชียลทั้งหมด ช่องทางแสดงโฆษณาทั้งหลาย รวมถึงมาร์เก็ตเพลสชั้นนำทุกแห่ง โอกาสอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานมานี้ก็คือ การที่ผู้ค้าสามารถขายสินค้าและบริการทั้งแบบ B2C และ B2B โดยเราอยากให้ BigCommerce เป็นผู้นำในการช่วยให้ผู้ค้ารองรับความต้องการของทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ
คุณมองเห็นเทรนด์อีคอมเมิร์ซแบบไหนในปัจจุบันในขณะที่เรากำลังก้าวผ่านสถานการณ์โรคระบาดที่กินเวลานานกว่า 2 ปี และคุณคาดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซเฟื่องฟูอย่างมากในปี 2020 และต้นปี 2021 เห็นได้จากอัตราการยอมรับอีคอมเมิร์ซของฝั่งธุรกิจและลูกค้าที่เติบโตในอัตราเร่งมาตลอดหนึ่งปีครึ่ง ส่วนในแง่ของความหลากหลายของการยอมรับอีคอมเมิร์ซ ผู้บริโภคคิดอย่างไรกับทางเลือกในการซื้อ และธุรกิจคิดอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตนั้น เรามองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ผู้คนซื้อสินค้าจากหลายแหล่งกว่าในอดีต และสัดส่วนการซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์ก็เพิ่มสูงขึ้น
สิ่งที่ผมคาดไว้ก็คือการยอมรับอีคอมเมิร์ซจะแพร่หลายมากขึ้น และจะยังคงเป็นแบบนั้นทั้งกับอีคอมเมิร์ซแบบ B2C และ B2B ปัจจุบันตัวเลขอยู่ที่ 20% ของการซื้อทั้งหมด นั่นแปลว่า 20% เป็นการซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์ ส่วนอีก 80% เป็นการซื้อทางออฟไลน์ แต่หากตลาดยังเติบโตในระดับนี้ต่อไป ตัวเลขนี้ก็จะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเราจะได้เห็นการเติบโตขึ้นประมาณ 2 จุดต่อปี และหากเป็นเช่นนี้ ก็จะใช้เวลาแค่ 5 ปีเท่านั้นในการเพิ่มสัดส่วนจาก 20% เป็น 30% และบางทีอาจจะใช้เวลาอีก 5 ปี เพิ่มจาก 30% เป็น 40% ผมคิดว่าในที่สุดแล้ว เราจะได้เห็นตัวเลขประมาณ 40% ถึง 50% ทั้งสำหรับ B2C และ B2B ครับ เมื่อถึงตอนนั้น โลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและทุกธุรกิจควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น